709. สี่ระดับของการฝึกฝน มันมีอยู่หรือ…
ลำแสงสายฟ้าเส้นหนึ่งล่องไปในดวงดาว ข้างในสายฟ้าคืออสูรสายฟ้าเขาเงินแซมด้วยสีทองเล็กๆ ทั้งร่างหุ้มด้วยสายฟ้ากระพริบวาบและดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
หวังหลินนั่งสมาธิอยู่บนหลังของอสูรสายฟ้า เส้นผมพริ้วไหวไร้แรงลม ดวงตาส่องประกาย แม้จะดูธรรมดาแต่กลับปลดปล่อยกลิ่นอายพิเศษออกมา
หากใครเห็นเขาตอนนี้คงคิดว่าเขาคือผู้ส่งสาส์นแห่งอารามเทพอัสนีโดยไม่ต้องสงสัย ตอนนี้เขาช่างคล้ายกับผู้ส่งสาส์นเต๋าสายฟ้ามากเหลือเกิน
หากมีผู้ส่งสาส์นจากอารามเทพอัสนีมาพบหวังหลิน พวกเขาคงตกตะลึงเช่นกัน
หวังหลินบ่มเพาะฝึกเซียนมากกว่าเก้าร้อยปีจนบรรลุขั้นเทวะระดับปลายได้สำเร็จ ระดับเดียวกับจูเซว่จื่อเมื่อก่อน
หากจูเซว่จื่อไม่ตายแล้วมาเห็นสิ่งนี้จะรู้สึกอย่างไร? เซียนตัวน้อยที่เขาคิดว่าเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งเติบโตมาได้ขนาดนี้!
เซียนขั้นเทวะระดับปลายนับได้ว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลังอย่างยิ่งในดาวเซียนเล็กๆบางดวง ไม่มีใครกล้ามาตอแยพวกเขา
หลังจากใช้เวลาอีกหนึ่งปีเพื่อดูดซับปราณสวรรค์ ในที่สุดหวังหลินก็บรรลุระดับสูงสุด เขาเพียงต้องก้าวหน้าไปอีกก้าวเดียวและให้เขตแดนถึงจุดสมบูรณ์ หลังจากนั้นเขาก็จะสามารถก้าวเข้าหาระดับสองได้!
มีคนไม่มากนักที่สามารถบรรลุการฝึกเซียนในขั้นที่สองได้และมันยากยิ่งจนเซียนขั้นแรกไม่อาจจินตนาการถึง
แม้ว่าหวังหลินไม่ได้บรรลุระดับนั้น การต่อสู้ไม่กี่ครั้งกับเซียนขั้นมายาหยินก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่าเซียนขั้นสองแข็งแกร่งทรงพลังแค่ไหน
“การฝึกเซียนขั้นแรกก็ยากมากอยู่แล้ว เมื่อคิดกลับไปตลอดเก้าร้อยปีที่ฝึกฝน มีจุดวิกฤตเกิดขึ้นทุกช่วง หากไร้ความระมัดระวังเพียงเล็กน้อยคงทำให้วิญญาณของข้าถูกทำลาย หากไม่ใช่เพราะว่าผู้อาวุโสโจวยี่ ข้าคงกลัวตายจากการพยายามทะลวงขั้นเทวะไปแล้ว”
“หากระดับขั้นแรกเป็นแบบนี้แล้ว เช่นนั้นระดับขั้นที่สองต้องยากขึ้นไปอีก ระดับขั้นที่สองต้องมีบททดสอบแห่งชีวิตและความตายของตนเองเช่นเดียวกัน…ข้าสงสัยว่าข้าจะผ่านมันไปได้หรือไม่…อย่างไรซะ คนที่เดินตามความต้องการแห่งสวรรค์ก็เหมือนกับคนธรรมดา และคนที่เดินทางต่อต้านสวรรค์นับได้ว่าเป็นอมตะ ตราบใดที่เต๋าของข้ายังคงอยู่ ข้าสามารถพิชิตอันตรายได้ทั้งหมด!” ดวงตาหวังหลินส่องประกายเจิดจรัส
“ทั้งยังมีระดับฝึกเซียนขั้นที่สามด้วย แม้แต่คนแบบเทียนหยุนก็ไม่ได้บรรลุและดิ้นรนแสวงหา ขั้นที่สามนี้เป็นระดับอะไรกัน…หรือมันจะเทียบได้กับเทพโบราณ…” แววตาหวังหลินเผยความมุ่งหวัง
อย่างไรก็ตามเขารู้ตัวว่าขั้นที่สามตอนนี้นับว่าไกลเกินไป เขาอาจเอื้อมไม่ถึงก่อนที่อายุขัยจะหมดลง
“การฝึกฝนทั้งสามขั้นเสมือนกับการปีนขึ้นภูเขา แต่ละก้าวยากยิ่งกว่าก้าวก่อนหน้า ไม่รู้ว่าในขั้นที่สามจะมีขอบเขตมากเท่าไหร่กัน…ทั้งยังไม่รู้ว่ามีขั้นที่สี่หรือไม่!” มือขวาหวังหลินยื่นออกไปลูบศีรษะอสูรสายฟ้า สายฟ้าเคลื่อนผ่านแขนเขาแต่ไม่มีผลกระทบอะไร
“เซียนระดับสี่มีตัวตนอยู่หรือ…” หวังหลินพึมพำราวกับกำลังเอ่ยถามดวงดาว
ไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้ได้
สายฟ้าได้พาหวังหลินเข้าหาดาวพันมายา ดาวรานหยุนคือที่ที่ความทรงจำของเขาถูกปิดผนึกเอาไว้ ดังนั้นหวังหลินจึงไม่ต้องการไปอีกแล้ว
“ถึงเวลาที่จะสำรวจอสรพิษพิฆาตจันทร์บนดาวหยุนเซียน ข้าจำเป็นต้องใช้ผลทะยานสวรรค์จำนวนมาก ดังนั้นตระกูลฮวนจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด!” หวังหลินขับขี่อสูรสายฟ้าเข้าหา แม้ว่ามันจะช้ากว่าเข็มทิศดวงดาว มันก็ยังเร็วมาก
“ร่างดั้งเดิมได้ดูดซับพลังปราณบนดาวเคราะห์เล็กๆไปและมีความแข็งแกร่งระดับสี่ดาว ทว่ามันยังขาดกลิ่นอายของเทพโบราณวัยเยาว์ ข้าสงสัยว่าข้าจะหามันได้ในดาราจักทุกชั้นฟ้าได้ไหมนะ…” ดวงตาหวังหลินส่องสว่างราวกับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
“อสรพิษพิฆาตจันทร์เป็นปรสิตที่อาศัยอยู่ในร่างเทพโบราณ จะมีเศษกลิ่นอายของเทพโบราณอยู่ที่นั่นไหม…” หวังหลินรำลึกถึงสิ่งในอดีตที่ผ่านมา
“ตอนนั้นบนดาวเทียนหยุน ผู้ส่งสาส์นแห่งพันธมิตรเซียนมาพร้อมกับเซเบิลดารา สิ่งมีชีวิตนั่นมีสัมผัสไวต่อกลิ่นอายเทพโบราณ หากมันอยู่ที่นี่คงช่วยค้นหากลิ่นอายเทพโบราณได้มากนัก”
อสูรสายฟ้าร้องคำรามพร้อมกับล่องลอยผ่านอวกาศ ครึ่งเดือนถัดมาดาวพันมายาปรากฏในสายตาหวังหลิน เจ้าอสูรสายฟ้าเหาะเหินเข้าหาดาวพันมายาโดยมีหวังหลินมองด้วยความสงบนิ่ง
ขณะที่เขาเข้าไปใกล้ ก้อนเมฆสายฟ้านับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาและเกิดเสียงสายฟ้าดังสนั่นกึกก้องทั่วท้องฟ้า ปรากฏการณ์นี้ทำให้เหล่าเซียนบนดาวพันมายาสนใจทันที
อสูรสายฟ้าเข้ามาใกล้และแทงทะลุผ่านชั้นบรรยากาศตรงๆ มันลอยอยู่กลางอากาศ เงยหัวขึ้นและร้องคำรามแสดงตัวตนแห่งสายฟ้าในโลกใบนี้
ผลกระทบทั้งหมดได้สร้างก้อนเมฆสายฟ้าจึ้นมาจากการมาถึงของอสูรสายฟ้า ประกายสายฟ้าหลายเส้นสายตกลงมาจากท้องฟ้าก่อเกิดการระเบิดขึ้นเป็นชุด
นี่เหมือนกับตอนที่ผู้ส่งสาส์นมาถึงบนดาวรานหยุน เซียนทุกคนบนดาวพันมายาต่างตกตะลึง ทั้งร่างและวิญญาณสั่นสะท้านจากอำนาจแห่งสายฟ้า
หลังปลดปล่อยผนึกที่สาม ความแข็งแกร่งและสายเลือดของอสูรสายฟ้าที่ได้มาทำให้มันไม่ด้อยไปกว่าเซียนขั้นมายาหยินเลย!
หวังหลินขมวดคิ้ว เขาไม่ต้องการให้เป็นจุดสนใจมากเกินไป พลันตบศีรษะเจ้าอสูรสายฟ้าทำให้มันหยุดร้องคำรามและเหาะเหินตรงไปที่พื้น
อสูรสายฟ้าพุ่งเป็ฯเส้นตรงเข้าหาบ้านตระกูลฮวนตามความทรงจำของหวังหลิน
ก่อนที่เขาจะเข้าใกล้ เซียนทุกคนของตระกูลฮวนเหาะออกมาพร้อมกับมีฮวนเฟิงเฉินเป็นผู้นำ พวกเขามองสายฟ้าที่กำลังเข้ามาใกล้ด้วยแววตาหวาดกลัว
เมื่อพวกเขาเห็นชัดเจนว่าหวังหลินกำลังนั่งอยู่บนอสูรสายฟ้า คนบางส่วนร้องอุทานออกมาเสียงดัง
ผู้คนของตระกูลฮวนไม่เคยลืมเลือนหวังหลิน
หวังหลินนั่งอยู่บนศีรษะอสูรสายฟ้า สายตาเป็นประกายสายฟ้าแล่นวาบพร้อมกับเอ่ยอย่างสุขุม “หัวหน้าตระกูลฮวน ออกมา!”
ฮวนเฟิงเฉินสูดหายใจลึก ก้าวเท้าออกมาและเอ่ยอย่างเคารพ “ฮวนเฟิงเฉินแห่งตระกูลฮวนขอคารวะผู้ส่งสาส์นแห่งอารามเทพอัสนี ก่อนหน้านี้ข้าจำท่านผู้ส่งสาส์นไม่ได้ ข้าหวังว่าท่านจะไม่คิดมาก”
หวังหลินไม่อธิบายอะไรอยู่แล้วและเอ่ยขึ้นมา “ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องอดีต ข้าอยากจะถามว่าเจ้ามีหนทางในการได้ผลทะยานสวรรค์จำนวนมากหรือไม่!”
“ผลทะยานสวรรค์?” ฮวนเฟิงเฉินตกตะลึงและเอ่ยอย่างขมขื่นทันที “ท่านผู้ส่งสาส์น เรื่องนี้…”
หวังหลินขมวดสายตาและมองไปที่ฮวนเฟิงเฉิน อสูรสายฟ้าด้านล่างเขาเริ่มร้องออกมา
ฮวนเฟิงเฉินถอนหายใจและเผยแววตามุ่งมั่น เขาพยักหน้าและเอ่ยตอบ “ช่างมันเถอะ ตระกูลฮวนจะล้มเลิกโอกาสในการเข้าแดนสวรรค์ในอีกร้อยปีและส่งผลทะยานสวรรค์ทั้งหมดที่ได้มาให้ผู้ส่งสาส์น”
หวังหลินมีสีหน้าเป็นปกติแต่ก็เริ่มคิด คำพูดของฮวนเฟิงเฉินคนนี้มีเบาะแสอะไรบางอย่าง เป็นไปได้ว่าผลทะยานสวรรค์ต้องเกี่ยวข้องกับแดนสวรรค์อัสนี…
แดนสวรรค์อัสนีกำลังจะเปิดขึ้นในอีกร้อยปี หวังหลินได้ยินเรื่องนี้มาจากซุนซื่อมาก่อน
หวังหลินพยักหน้าอย่างเงียบๆโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าท่าทาง
ตระกูลฮวนมีผลทะยานสวรรค์จำนวนมาก แต่มันยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของหวังหลิน
“ดูเหมือนข้าต้องยืมชื่ออารามเทพอัสนีและท่องไปในดินแดนทางเหนืออีก!” หวังหลินลูบหัวเจ้าอสูรสายฟ้า