ตอนที่ 342 อาคันตุกะจากเหนือฟ้า ราวกวีบันดาล
กิเลนมังกรแกว่งหางไปมาแล้วขมวดคิ้ว “ข้าดูสง่างามกว่ามัน”
ฉินมู่พูดไม่ออก ขี่ลูกชิ้นอ้วนกลมลูกยักษ์ที่มีหางมันดูสง่างามตรงไหน
เขากินดีอยู่ดีกว่าสัตว์ขี่ทุกตัว และเขาวิ่งไม่ทันวัวเขียวนั้นก็ยัง พอรับได้ แต่บัดนี้แม้แต่หมาตัวนึงเขาก็วิ่งตามไม่ทัน
“จ้าวลัทธิ ท่านไม่ชอบข้าแล้วหรือ” กิเลนมังกรหันมามองเขา ด้วยดวงตาคลอเอ่อ “ท่านต้องไม่ชอบข้าแล้วแน่ๆ ใช่ไหม”
ฉินมู่แค่นเสียง และคิ้วเขาก็คลายลง “ไม่หรอก อีกแค่ไม่กี่เดือนเดี๋ยวก็ปีใหม่แล้ว ข้าจะไม่ชอบเจ้าได้อย่างไร เอาอย่างนี้ไหม ข้าจะให้เจ้ากินยาวิญญาณเพลิงฉาน 2 ถังต่อวันเลยเป็นอย่างไร เจ้าจะได้กินเยอะขึ้นอีก ขุนตัวเจ้าให้อ้วนพี”
กิเลนมังกรตัวสั่นเทิ้ม และเสียงฉีเอ๋อปีนขึ้นมาบนหัวของเขา นางจับกระจุกขนที่หลังหูของเขาไว้อย่างระมัดระวังจะได้ไม่ร่วงลง มา และกระซิบเข้าไปในหูของเขา “อย่ากินมากกว่านี้ เดี๋ยวเจ้าจะ โดนเชือดขึ้นโต๊ะจีนตอนปี ใหม่!”
กิเลนมังกรพูดด้วยเสียงเจือสะอื้นกับนาง เสียงของเขาแผ่ว “ข้ารู้! แต่ข้าคุมตัวเองไม่ได้นี่นา…”
นครหยกน้อยอยู่บนฟากฟ้าห่างไกลจากสํานักเต๋า ด้วย ความเร็วของกิเลนมังกร เขาจะต้องวิ่งไปเป็นเวลา 10 วันจึงจะถึงที่ นั่น ฉินมู่ต่อเก้าอี้โยกขึ้นมาตัวหนึ่ง และจัดวางไว้บนหลังกว้างใหญ่ ของกิเลนมังกรอย่างแน่นหนา จากนั้นเขาก็วางผู้ใหญ่บ้านไว้บน
นั้น ข้อดีหนึ่งจากความอ้วนพีของกิเลนมังกรนั้นก็คือเขาวิ่งอย่าง มั่นคงไม่กระทบกระเทือน ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าผู้ใหญ่บ้านจะร่วง ตกลงไป
บางครั้งเสียงซีอวี่ก็จะดื่มชากับผู้ใหญ่บ้านส่วนฉินมู่มักจะลงไป ซื้อหาสมุนไพรวิญญาณเมื่อพวกเขาผ่านเมืองต่างๆ เพื่อเยียวยา อาการบาดเจ็บของนางต่อ นางก็ไม่ได้ผิดสัญญาและถ่ายทอดวิชา หมื่นวิญญาณธรรมชาติแห่งตําหนักสวรรค์แท้ให้แก่ฉินมู่
วิชาหมื่นวิญญาณธรรมชาติมีความหมายว่าทุกสิ่งมีจิตและมี วิญญาณ วิธีการฝึกปรือของตําหนักสวรรค์แท้แห่งแผ่นดิน ตะวันตกนั้นแตกต่างจากวิธีการฝึกปรือของแผ่นดินภาคกลาง มัน ค่อนข้างคล้ายคลึงกับสํานักเต๋า ในเมื่อทั้งคู่ต่างก็เข้าใก ล้ ธรรมชาติ
แต่ทว่าสํานักเต๋าศึกษาตรรกะเหตุผลคณิตศาสตร์อ์ย่างทะลุปรุ โปร่ง ตามแนวคิดว่าเต๋าดําเนินตามครรลองธรรมชาติ ขณะที่ ตําหนักสวรรค์แท้มุ่งเน้นไปที่การสื่อสารปฏิสัมพันธ์กับสรรพสิ่ง ก่อกําเนิดดวงวิญญาณขึ้นมา
วิชาฝึกปรือของตําหนักสวรรค์แท้จะบ่มเพาะพลังอํานาจอัน แข็งแกร่งแห่งปฏิสัมพันธ์ มอบดวงวิญญาณให้กับสรรพสิ่ง
ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง และรู้สึกว่าวิชานี้เหมาะสําหรับให้สตรี ฝึกปรือ ความคิดของสตรีนั้นละเอียดลออกว่า และการรับรู้สัมผัส ของพวกนางก็เฉียบไวกว่า ดังนั้นพวกนางย่อมเหนือลํ้ากว่าบุรุษใน ด้านนี้ หากว่าเขาฝึกปรือมัน เขาอาจจะสําเร็จได้บ้าง แต่มันก็คง ไม่ได้เป็นประโยชน์กับเขามาก แต่มีสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็คือศาสตร์ วิธีเสกสรรที่ฝังลึกอยู่ข้างใน
การมอบดวงวิญญาณให้สรรพสิ่งนั้นเป็นการเสกสรรรูปแบบ หนึ่ง เมื่อเทียบกับเจ็ดนิพนธ์เสกสรรในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต
แล้ว วิชาหมื่นวิญญาณธรรมชาตินั้นเน้นการเสกสรรอย่างตรงเป้า มากกว่า และยังเพริศแพร้วพิสดารกว่า มันมีหลายสิ่งที่เขาสามารถ สกัดออกมาปรับใช้ได้
“วิชาฝึกปรือจากตําหนักสวรรค์แท้นี้ดูไม่เหมือนสิ่งที่ถือกําเนิด ขึ้นในยุคสมัยนี้” เมื่อเสียงซีอวี่สอนวิชาหมื่นวิญญาณธรรมชาติ ให้กับฉินมู่ ผู้ใหญ่บ้านก็ได้ยินด้วย วิเคราะห์มันเมื่อเขาฟังจนจบ “เจ้าตําหนักเสียง วิชาฝึกปรือของตําหนักสวรรค์แท้ดูจะค่อนข้าง โบราณและแตกต่างจากวิชาฝึกปรือในยุคจักรพรรดิก่อตั้ง ตําหนัก สวรรค์แท้ก่อกําเนิดขึ้นมาเมื่อใดหรือ”
เสียงซีอวี่ส่ายหัว “ข้าไม่ทราบเรื่องนี้เลย ทันทีที่ข้าได้ขึ้นเป็น เจ้าตําหนัก ตระกูลอวี้ก็ก่อกบฏยึดอํานาจ ดังนั้นข้าจึงไม่มีเวลาดู บันทึกของตําหนักสวรรค์แท้ของข้า แต่ถึงอย่างไร ข้าก็พอรู้อยู่ว่า ตําหนักสวรรค์แท้นั้นดึกดําบรรพ์เป็นอย่างยิ่ง และมันสืบย้อนไปได้ ถึงอดีตกาลอันขมุกขมัวและห่างไกล ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินไหน่ขุยกล่าวว่าตําหนักสวรรค์แท้ของพวกเรานั้นยังเก่าแก่เสียยิ่งกว่าแดน ศักดิ์สิทธิ์ในดินแดนภาคกลาง…”
สีหน้าของนางหมองมัวลง แต่ไม่นานก็ปลุกปลอบใจขึ้นมาอีก ครั้ง “หากว่าพวกท่านทั้ง 2 สามารถช่วยเหลือข้ายึดอํานาจ ปกครองตําหนักสวรรค์แท้กลับคืนมา ข้าก็จะให้พวกท่านทั้ง 2 อ่านหนังสือและบันทึกใดๆ ในตําหนักตามแต่ท่านจะปรารถนา!”
ผู้ใหญ่บ้านอ้าปากหาวและปิดตาลงงีบหลับ เสียงซีอวี่มองไป ยังฉินมู่ แต่เขากําลังละเล่นอยู่กับเสียงฉีเอ๋อ เขาใช้พู่กันของตน วาดภาพนกสามสี่ตัว เมื่อพวกมันบินออกมา นกน้อยเหล่านั้นก็บิน วนไปรอบๆ เด็กหญิงตัวน้อยพลางร้องจิ๊บๆ ด้วยเสียงอันไพเราะ
สดใส ทําให้เสียงฉีเอ๋อหัวเราะคิกคักไม่หยุด เสียงซีอวี่ถอนหายใจและไม่กล่าวอะไรต่อ
เห็นได้ชัดว่าฉินมู่และผู้ใหญ่บ้านไม่มีจิตเจตนาที่จะช่วยนางชิง อํานาจกลับคืนมา การไปยังตําหนักสวรรค์แท้นั้นยิ่งยาก และนางก็ ไม่อาจหาสิ่งตอบแทนที่มีค่าเพียงพอออกมาได้ ดังนั้นทั้ง 2 คนจึง ไม่สนใจ
วิธีเดียวที่เหลืออยู่ของข้าคือรับตําแหน่งครูผู้สอนใน มหาวิทยาลัยจักรวรรดิแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ด้วยหวังว่าจะได้ ปรึกษาหารือเรื่องนี้กับราชครูสันตินิรันดร์โดยละเอียด
สายตาของนางวูบไหวระหว่างที่ครุ่นคิด แต่ทว่า จาก พฤติการณ์ของราชครูสันตินิรันดร์ ์ หลังจากที่เขายึดครองท้องทุ่ง หญ้าแล้ว เขาก็คงไม่หยุดแผ่ขยายดินแดนออกไป แม้แต่ทุ่งน้ำแข็ง ในทิศเหนือก็คงยากที่จะหยุดยั้งเขา หรือว่าแผ่นดินตะวันตกก็จะ กลายเป็นเป้าหมายของเขาเช่นกัน หากว่าข้าปรึกษาหารือกับเขา บางทีอาจจะกลายเป็นการชักนำหมาป่าเข้าบ้าน…
นางลังเลอยู่สักพัก แต่เมื่อนึกถึงว่าตระกูลเสียงทําลายกวาด ล้างจนเหลือเพียงพวกนางสองแม่ลูก นางก็ทําใจแข็ง ตระกูลอวี้ฆ่าล้างตระกูลเสียงของข้า ดังนั้นข้าต้องล้างแค้น ต่อให้เป็นการชักนำ หมาป่าเข้าบ้านก็แล้วอย่างไร อย่างไรข้าก็จะต้องล้างแค้น!
ฉินมู่มองดูนางแวบนึง สตรีเพศเป็นผู้ปกครองดูแลสิ่งต่างๆ ใน แผ่นดินตะวันตก และจากวิธีการของนาง เสียงซีอวี่นั้นไม่คู่ควรกับ การเป็นองค์หญิงแห่งตําหนักสวรรค์แท้ นางไม่มีความเฉียบขาด และสมรรถภาพมากพอ
สาเหตุที่ฉินมู่ไม่ต้องการช่วยนางนั้นก็เพราะว่านางขาดความสามารถ ดังนั้นต่อให้นางได้อํานาจกลับคืนมา ตําแหน่งของนางก็คงไม่มั่นคง ในฐานะยอดฝีมือที่ปลุกเปิดสมบัติเทวะสะพานเทวะ พละกําลังของนางเพียงพอ แต่การที่จะควบคุมทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์
เอาไว้ได้ มิได้อาศัยเพียงแค่กําลังฝีมือของตนเท่านั้น
การตกตํ่าของตระกูลเสียง และการที่มันถูกทําลายล้างในทันที ที่เสียงซีอวี่ขึ้นครองตําแหน่งเจ้าตําหนักนั้นเพียงพอที่จะชี้ให้เห็น นางนั้นไม่คุณสมบัติที่จะเป็นเจ้าตําหนัก
เมื่อฉินมู่แนะนําให้นางไปสอนที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ นั่นก็ เพื่อให้โอกาสนางได้พบปะกับราชครูสันตินิรันดร์ ผู้ซึ่งมีทั้งความ เฉียบขาดและสมรรถภาพ หากว่าเสียงซีอวี่ต้องการใช้มือของเขา ช่วยแก้แค้น นางก็จะต้องจ่ายด้วยราคาอันแพงและใหญ่เพียงพอ
แต่ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฉินมู่
ทันใดนั้นผู้ใหญ่บ้านก็ลืมตาขึ้นมาและมองไปที่ไกลๆ ด้วยสีหน้าตกตะลึง
ฉินมู่ใจกระตุกเล็กน้อย “ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้าน มีอะไรผิดปกติหรือ” “มีใครบางคนท้าสู้กับข้า ศัตรูเก่าคนหนึ่ง” ผู้ใหญ่บ้านเลิกคิ้ว
ขึ้น แต่ก็กล่าว “ไม่ต้องสนใจพวกนั้น พวกเราเกือบจะถึงนครหยกน้อยล่ะ แล้วค่อยคุยกันเมื่อถึงที่นั่น”
“ท้าสู้กับท่าน?” ฉินมู่จ้องด้วยสายตาเซ่อ ท้าผู้ใหญ่บ้านสู้? พวกเขาไม่กลัวตายกันหรืออย่างไร
ในเวลานั้นเอง ซวีเซิงฮวาผู้ซึ่งอยู่ในนครหยกน้อยพลันผุดลุก ขึ้นและมองไปยังทิศไกลๆ สีหน้าฉงนสนเท่ห์ปรากฏอยู่บนใบหน้า ของเขา เจ้าสํานักเต๋าเฒ่าและยูไลเฒ่าก็อยู่ที่นั่นด้วย ดังนั้นพวก เขาจึงสัมผัสมันได้และหันไปมองทางทิศที่ตั้งของด่านชิงเหมิน
“รัศมีเหล่านั้นแข็งแกร่งมากทีเดียว” ชายตาบอดคนหนึ่งยืนพิง ไม้เท้าไผ่ของตนพลางกล่าวอย่างตื่นตะลึง “คนแล่เนื้อเฒ่า เจ้ารู้สึก เหมือนกันไหม”
คนแล่เนื้อกําลังใช้มีดเชือดหมูตัดเล็บของตนเอง เขาเลิกคิ้ว “คนพวกนั้นพอมีฝีมืออยู่บ้าง ทําให้ข้าสงสัยใคร่รู้ความเป็นมาของ พวกเขา”
อวี้หลิ่วและดรุณีอีก 3 คนไม่รู้สึกถึงอะไรผิดปกติ และถาม ด้วยความงงงวย “คุณชาย เกิดอะไรขึ้น”
“อาจารย์ของข้าลงมาที่นี่” ซวีเซิงฮวากล่าวอย่างตื่นตะลึง “มี เทพเจ้าลงมามายมายหลายตน หรือว่าเกิดอะไรขึ้นที่เหนือฟ้า”
ยูไลเฒ่าแย้มยิ้ม “คุณชายซวี รัศมีที่พวกเขาปลดปล่อย ออกมานั้นดูเหมือนจะท้าทายใครบางคน นี่น่าจะมิใช่เหนือฟ้าเกิด เรื่องร้ายหรอก”
ซวีเซิงฮวาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ท้าทายใครบางคน? บางคนที่ น่าท้าทายก็มีแต่กษัตริย์มนุษย์เฒ่าหรือไม่ก็ราชครูสันตินิรันดร์ ฝ่ายหลังนั้นอาจจะได้รับการขนานนามว่าอันดับหนึ่งใต้เทวะ แต่เขาก็ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ ดังนั้นย่อมต้องเป็นกษัตริย์มนุษย์เฒ่า ผู้สันโดษชิงโยว ขออภัยที่รบกวนท่านในช่วงหลายวันมานี้ ขอบคุณสําหรับการต้อ นรับด้วยมิตรไมตรี ข้าจะขอลาจากที่นี่ไปก่อน”
ผู้สันโดษชิงโยวพยายามรั้งเขาไว้ “ไฉนคุณชายซวีไม่อยู่ที่นี่ ต่อสักหลายๆ วันล่ะ แม้ว่านครหยกน้อยของพวกเราจะไม่อาจเทียบ ได้กับเหนือฟ้าของท่าน แต่ก็ยังนับว่าเป็นสถานที่อันสงบสันติอัน ยากจะพบพาน”
“ได้เห็นสุดยอดวิชาของนครหยกน้อยในช่วงหลายวันมานี้ ทํา ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตา และได้ประโยชน์ผลสําเร็จไปไม่น้อย แต่ทว่า ในเมื่ออาจารย์ของข้าลงมาเพื่อท้าทายกษัตริย์มนุษย์เฒ่า ข้าย่อม
ไม่อาจพลาดได้” ซวีเซิงฮวากล่าว ผู้สันโดษชิงโยวจึงไม่พยายามรั้งเขาไว้อีกต่อไป
ซวีเซิงฮวาพาจิงเอี้ยน อวี้หลิ่วและสาวๆ ที่เหลือลงจากภูเขา พวกเขามาถึงเรือสําราญ และขึ้นไปบนนั้นอย่างรวดเร็ว มันแล่นลอยผ่านน่านฟ้าอันใสกระจ่างดุจคันฉ่องวารี สร้างคลื่นกระเพื่อม อันกระจายออกไปที่ไกลๆ เมื่อเรือออกจากนครหยกน้อย น่านฟ้า อันใสกระจ่างดุจคันฉ่องวารีก็หายวับ และคลื่นกระเพื่อมก็ ปลาสนาการไปโดยไร้ร่องรอย กลับกลายเป็นน่านฟ้าจริง
เรือสําราญแล่นไปอย่างแช่มช้าผ่านนภากาศไปยังที่ไกลๆ คนแล่เนื้อปรายตาส่งสัญญาณให้กับเฒ่าบอด ผู้ซึ่งแย้มยิ้ม
และกล่าว “เจ้าจะปรายตาให้ข้าทําไม ข้ามองไม่เห็นหรอก ตาของ
ข้ามันบอด ศิษย์พี่ชิงโยว นักพรตเฒ่า หลวงจีนเฒ่า พวกเรา 2 คนก็จะลงจากภูเขาไปด้วยเช่นกัน”
ผู้สันโดษชิงโยวรีบกล่าวทันที “ศิษย์พี่ทั้ง 2 ล้วนแต่เป็นผู้คน ที่บรรลุเต๋า ไฉนจึงไม่อยู่ในนครหยกน้อยล่ะ โลกของมนุษย์ปุถุชน นั้นขุ่นคลั่กราวดินโคลน ทําไมพวกท่านจึงจะไปให้ตนเองแปด
เปื้ อนด้วยเล่า”
คนแล่เนื้อเขย่ามีดเชือดหมูของเขา อันขยายใหญ่ขึ้นมาใน อากาศกลายเป็นใบมีดบานใหญ่เท่าประตูที่เขาพาดไว้กับไหล่ เขา ยิ้มกล่าว “ข้าเป็นคนแล่เนื้อ และเจ้าจะให้ข้าเปิดร้านขายเนื้อสดที่นี่ หรือ หากว่าข้าขายเนื้อก็ไม่ได้เงินทองก็หาไม่ได้ เจ้าจะให้ข้ากิน ลมเหนือแทนข้าวหรืออย่างไร”
ผู้สันโดษชิงโยวสีหน้าแข็งค้าง และเฒ่าบอดก็โบกมือ “มีฤดูวสันต์มากมายในอุทยาน จะเก็บกักเอาไว้ได้หมดหรือ พบพานโดยบังเอิญ จําต้องคุ้นเคยกันมาก่อนหรือ ทิวทัศน์วสันต์ยามเย็น ลํ้าค่าประดุจทองพันชั่ง! ศิษย์พี่ชิงโยว ไม่จําเป็นต้องส่งข้า!”
ผู้สันโดษชิงโยวตกตะลึงด้วยเขากําลังเค้นสมองทําความเข้าใจว่าบทกวีเหล่านั้นมีความหมายว่าอย่างไร คนแล่เนื้อกับเฒ่าบอดก็เดินออกจากนครหยกน้อย
เสียงของคนแล่เนื้อดังมาจากน่านฟ้าคันฉ่องวารี “เฒ่าบอด ประโยคแรกของเจ้าหมายความว่าพวกเรากําลังจะจากไปใช่ไหม นั่นถึงว่าทําไมฤดูวสันต์จึงไม่อาจเก็บกัก ซึ่งก็แปลว่านครหยกน้อย
ไม่อาจรั้งตัวพวกเราไว้ ประโยคที่ 2 น่าจะเป็นถ้อยคําสุภาพ พูด ทํานองว่าเมื่อคนแปลกหน้ามาพบพานกันโดยบังเอิญ ได้สนทนา
กันข้ามคืนด้วยเรื่องมรรคา วิชา และทักษะเทวะ จนลงท้ายด้วยการ ผูกสหายกัน”
“ประโยคที่ 3 นั้นยิ่งเลิศลํ้า มันหมายความว่าพวกเรามีธุระ ด่วน และต้องรีบไปโดยเร็วที่สุด ดังนั้นวสันต์ยามเย็นจึงลํ้าค่าดุจ ทองพันชั่ง ข้าพูดถูกหรือไม่”
เสียงของเฒ่าบอดมีแววภาคภูมิใจ “คนแล่เนื้อ เจ้านี่เป็นคู่หู ทางวิญญาณของข้าจริงๆ! นี่คือความหมายของโคลง 3 บทของ ข้าจริงๆ นั่นแหละ ไอ้หมอนั่นไอ้เฒ่าหนวกชอบหาว่าข้าทําเป็นเท่ อวดสํานวนโวหาร แต่เขาจะมาเข้าใจความอัจฉริยะเฉียบแหลม ของข้าในการร่ายอารมณ์ความรู้สึกเป็นบทกวีได้อย่างไร”
ด้วยความทึ่งชื่นชมอย่างที่สุด คนแล่เนื้อก็เอ่ยชมเขา “เจ้านี่ยิ่ง มาก็ยิ่งมีพรสวรรค์ ความรู้สึกเจ้าราวบทกวี ทําให้ผู้สันโดษชิงโย วตะลึงลาน! แม้แต่นักพรตเฒ่าและหลวงจีนเฒ่าก็อึ้งจนพูดไม่ ออก!”
…
ผู้สันโดษชิงโยวอึ้งกิมกี่ เจ้าสํานักเต๋าเฒ่าและยูไลเฒ่าก็งงเป็น ไก่ตาแตก
ไม่นานนักหลังจากที่คนแล่เนื้อและเฒ่าบอดจากไป ก็พลันมี เสียงดังมาจากที่ไกลๆ “กษัตริย์มนุษย์รุ่นปัจจุบันได้มาเยือนนคร หยกน้อย!”
ผู้สันโดษชิงโยวสะท้านใจอย่างรุนแรง และเขาไม่กล้าเพิกเฉย เขารีบไปตีระฆังสําริดให้เสียงของมันก้องสะท้อนไปทั่วทั้งนครหยก น้อย ฤๅษีเฒ่าทั้งหลายต่างออกมาจากขุนเขาสวรรค์ พวกเขาเหาะ เหินออกมาด้วยไอเซียนอันหมุนเป็นเกลียววน มายังข้างกายผู้ สันโดษชิงโยว
ทุกคนมองไปยังคันฉ่องวารีบนน่านฟ้าและเห็นก้อนดําๆ ลอย เข้ามา สร้างแรงกระเพิ่มไปตามทิศทางที่มันพุ่ง
ผู้สันโดษชิงโยวสะบัดแขนเสื้อราวกับเขาสะบัดไล่ฝุ่นละอองใน เสื้อตนให้สะอาดเพียงพอ แต่ไหนเลยนครหยกน้อย แดนศักดิ์สิทธิ์ ของเซียนผู้อมตะจะมีฝุ่นละออง
ผู้สันโดษชิงโยวก้าวไปข้างหน้าและก้มหัวลง ยกมือขึ้นสูง เหนือศีรษะ ก้อนดําที่ดูธรรมดาสามัญนั้นตกลงมาใน 2 มือของ เขา จากนั้นผู้สันโดษชิงโยวก็ก้าวถอยหลัง 1 ก้าว และวางมือลง มา เซียนเฒ่าแห่งนครหยกน้อยทั้งหลายรีบเข้ามาดูด้วยสีหน้าอัน เคร่งขรึมเคารพ
“ลัญจกรกษัตริย์มนุษย์! พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติกับการเยี่ยม เยือนของท่าน กษัตริย์มนุษย์ เชิญ!”
ขณะที่พวกเขากล่าวเช่นนั้น พวกเขาก็เห็นกิเลนมังกรลากพุง อุ้ยอ้ายของมันเพื่อเดินผ่านน่านฟ้าคันฉ่องวารีมาอย่างระมัดระวัง พุงย้อยๆ ของมันสร้างคลื่นกระเพื่อมเมื่อร่วงลงไปแตะกับผิวนํ้า
เด็กหญิงน้อยน่ารักและเฉลียวฉลาดซึ่งเกาะอยู่ข้างๆ หูของกิเลนมังกรก็กล่าวด้วยเสียงเบา “มังกรอ้วน แขม่วพุงหน่อยสิ”
กิเลนมังกรแขม่วพุงตามที่บอก และยืดตัวตรงเดินไปข้างหน้า อย่างองอาจ แต่ทว่าเขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว พุงเขาก็หลุดแขม่ว ลง ไปกระทบผิวนํ้าดึ๋งๆ
