ตอนที่ 1041 ตัดมือ
เริ่มต้นจากตรวจสอบกิจการที่ผิดกฎหมายในนามตระกูลหยาง ในจำนวนนี้มีสองกิจการใหญ่ที่น่าจับตามอง ก็คือสนามชมสัตว์ป่า สนามชมสัตว์ป่าภายนอกเป็นสนามสัตว์แห่งหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงเป็นสนามพนัน สนามพนันนี้ไม่เพียงแต่มีนำสัตว์มาต่อสู้ แต่ยังนำคนมาต่อสู้
ตระกูลหยางทำกิจการเช่นนี้ก็เพื่อดึงคุณชายเสเพลในแต่ละตระกูลมาเป็นพวก เดิมสนามพนันนี้หากพนันกันแค่สัตว์หรือคนก็แล้วไป ขอเพียงคนผู้นั้นยินยอมสู้กับสัตว์ แต่กลับมีคุณชายเสเพลไม่น้อยมักจะนำศัตรูตนเองมาขังให้ต่อสู้กับสัตว์ป่า การกระทำเช่นนี้ผิดกฎหมาย อีกแห่งก็คือสวนดอกท้อตระกูลหยาง เป็นสถานที่เริงรมย์ เพียงแต่ในสวนนี้ยังเกี่ยวข้องกับการบีบให้หญิงสาวดีงามมาเป็นนางคณิกาขายตัว
ฮูหยินอวิ๋นซานป๋อทำหน้านี่ล่อลวงหญิงเหล่านี้ ขอเพียงเป็นหญิงที่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักพึงใจ นางก็จะหาทางช่วยเขาล่อลวงมา หากล่อลวงมาไม่ได้ ก็จะใช้ทุกวิถีทางบีบบังคับพวกนาง ทำให้มีคนตายไปไม่น้อย
ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คุณชายใหญ่ตระกูลหยางเองก็มีเรื่องสกปรกปกปิดเช่นกัน ในปีนั้นเขารับหน้าที่ซ่อมแซมวัดเซี่ยงกั๋ว ปรากฏว่าใช้วัสดุคุณภาพต่ำ สุดท้ายศาลาหลังหนึ่งในวัดเซี่ยงกั๋วถึงถูกฟ้าผ่าถล่มลงมา แต่เพราะถล่มเพียงหลังเดียว วังโส่วฝู่จึงเก็บเรื่องนี้เงียบไว้ ไม่ได้ทูลรายงานฝ่าบาท
ตอนนี้หลังจากสายสืบสำนักจิ่วหลงซือสืบความมาได้กระจ่าง ก็ทูลต่อองค์หญิงสาม
องค์หญิงสามแค่นยิ้มเขียนสารลับส่งให้รองเจ้ากรมตรวจการฝ่ายซ้ายเฉิงโฮ่วไท่
วันรุ่งขึ้นประชุมท้องพระโรงยามเช้าเฉิงโฮ่วไท่ยื่นฎีกาเรื่องของอวิ๋นซานป๋อ ฮูหยินอวิ๋นซานป๋อ และบุตรชายคนโตอวิ๋นซานป๋อ
ตอนอยู่ในท้องพระโรงเซียวเหวินอวี๋ก็กริ้วหนักมาก สั่งการให้เสนาบดีกรมอาญาสืบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ตอนนี้เสนาบดีกรมอาญาก็คือเซี่ยเหวินเหยาแห่งตระกูลเซี่ย เขารีบรับพระบัญชาฝ่าบาทตรวจสอบเรื่องนี้ทันที
องค์หญิงสามสั่งการให้นำหลักฐานนี้ส่งไปถึงมือเซี่ยเหวินเหยาก่อนหน้านี้แล้ว จากนั้นคนตระกูลอวิ๋นทั้งหมด นอกจากราชบุตรเขยใหญ่ล้วนถูกคุมตัวส่งเข้าคุกหลวง
ราชบุตรเขยใหญ่โมโหเดือดดาลทันที ก่อนจะตกใจนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อ สุดท้ายคิดถึงว่าท่านพ่อกับท่านแม่เคยบอกว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกับวังโส่วฝู่ จึงได้นำคนไปหาวังโส่วฝู่ ขอให้วังโส่วฝู่ช่วยเหลือ
ยามนี้ในจวนวังโส่วฝู่มีขุนนางราชสำนักอยู่กันหลายคน คนเหล่านี้ล้วนมองวังโส่วฝู่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ใต้เท้าวัง เรื่องนี้เกรงว่าจะ…”
วังโส่วฝู่สีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน เขานั่งครุ่นคิดถึงเรื่องสองวันก่อนที่พวกเขาเอาเรื่ององค์หญิงสาม ยามนี้ในใจรู้สึกอัดอั้นตันใจ เรื่องนี้คงมิใช่ว่าเกี่ยวข้องกับองค์หญิงสามกระมัง หากเป็นเช่นนี้ องค์หญิงสามย่อมต้องยังลงมือต่ออีกเป็นแน่
ใต้เท้าหลายคนที่นั่งอยู่เห็นวังโส่วฝู่นิ่งเงียบ ก็อดร้อนใจไม่ได้ เอ่ยว่า “ใต้เท้าวัง เฉิงโฮ่วไท่กินดีหมีมาหรืออย่างไร ถึงกับกล้ายื่นฎีกาจวนอวิ๋นซานป๋อ หรือว่าเขาไม่รู้ว่าอวิ๋นซานป๋อเป็นคนของใต้เท้า”
“ในเมื่อเขาไม่คิดอยากมีชีวิตอยู่ต่อ พวกเราก็ให้เขาไปตายก็แล้วกัน”
“ใช่ สังหารเขาเสีย”
วังโส่วฝู่ได้ยินเสียงคนข้างกายพากันร้อนใจ ก็ยกมือบอกให้ทุกคนนิ่งก่อน “เฉิงโฮ่วไท่กล้าทำเช่นนี้ น่าจะเพราะมีคนหนุนหลัง พวกเจ้าอย่าได้ร้อนใจไป”
“เบื้องหลังของเขาคือผู้ใด”
“หากไม่เหนือความคาดหมาย ก็คือองค์หญิงสาม”
วังโส่วฝู่รู้สึกว่าองค์หญิงสามกล้ามอบดาบนี้ให้เฉิงโฮ่วไท่ ก็ย่อมปกป้องคุ้มครองเขา
หากพวกเขาลงมือ ย่อมต้องตกหลุมพรางองค์หญิงสาม ดังนั้นพวกเขาไม่อาจเคลื่อนไหว
“องค์หญิงสาม นางคิดทำอันใด”
“คิดล้างแค้นพวกเราที่สกัดนางขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาทหญิงหรือ”
“ต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน นางต้องคิดลงมือต่อ คนเคราะห์ร้ายคนถัดไปจะเป็นผู้ใด”
ขุนนางตรวจการเฉาคิดถึงว่าก่อนหน้านี้ตนเองก็ร่วมด้วย ยามนี้พลันหวาดกลัวขึ้นมา คนเคราะห์ร้ายคนถัดไปคงไม่ใช่เขากระมัง
ขุนนางตรวจการเฉาสีหน้าซีดเผือด ลุกขึ้นยืนมองวังโส่วฝู่ “ใต้เท้า ท่านรีบคิดหาวิธีคุ้มครองพวกเราด้วย”
วังโส่วฝู่ส่งสายตาจ้องใส่เขาทีหนึ่ง “เจ้าร้อนใจอันใด หากข้ายังไม่ตาย ข้าจะต้องคุ้มครองคนจวนอวิ๋นซานป๋ออย่างแน่นอน การค้าครอบครัวอวิ๋นซานป๋อผลักไปให้ฮูหยินอวิ๋นซาน ส่วนเรื่องที่ซื่อจื่อทำนั้นก็หาคนมารับผิดแทนก็แล้วกัน”
ราชบุตรเขยใหญ่ได้ฟังวังโส่วฝู่ก็โล่งอก แต่ก็ยังเป็นห่วงท่านแม่ตนเอง มองวังโส่วฝู่เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นเรื่องพวกนี้ผลักไปที่ท่านแม่ข้า ท่านแม่ข้าจะไม่ต้องโทษประหารกระมัง”
วังโส่วฝู่ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ถึงตอนนั้นให้ท่านพ่อเจ้าไปทูลขอฝ่าบาท บอกว่าท่านแม่เจ้าทุ่มเทเพื่อตระกูลหยางมาตลอด ขอให้ฝ่าบาทไว้ชีวิตนางด้วย ให้นางไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่อารามชี แต่ไรมาฝ่าบาททรงพระเมตตา ต้องทรงยินยอม”
วังโส่วฝู่กล่าวจบ แม้ว่าหยางป๋อไม่พอใจ แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว เขารีบลุกขึ้นเอ่ยอำลาวังโส่วฝู่ “เรื่องนี้รบกวนวังโส่วฝู่แล้ว”
“เอาละ ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร”
วังโส่วฝู่เป็นโส่วฝู่คุมอำนาจราชสำนักไว้ในมือมาเกือบสิบปี ยามนี้สั่งการออกไปได้ทันที จากนั้นเขาก็นำคนเข้าวังไปขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท
เพียงแต่พวกเขาไม่ทันได้พบฝ่าบาท กลับได้พบองค์หญิงสามก่อน
องค์หญิงสามอายุสิบห้าเอนกายพิงอยู่บนเกี้ยวอย่างเกียจคร้าน ยิ้มมองวังโส่วฝู่ แต่รอยยิ้มเช่นนั้นเห็นได้ชัดว่ามิใช่รอยยิ้มแท้จริง
“ใต้เท้าวังจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อข้าเพราะต้องการขอร้องแทนตระกูลหยางหรือ ท่านทำเพื่อตระกูลหยาง เตรียมชดเชยให้ตระกูลหยาง ตระกูลหยางไม่เสียทีที่ยอมเป็นสุนัขซื่อสัตย์ของท่าน”
เซียวหวงกล่าวจบก็ปรบมือด้วยสีหน้าชื่นชม
วังโส่วฝู่กลับรู้สึกว่ามองความคิดองค์หญิงสามไม่ออก เห็นอยู่ว่าอายุเพียงสิบห้า แต่การทำงานกลับลงมือโหดเหี้ยมเหมือนพวกแก่กล้าประสบการณ์ แต่มาคิดถึงคนอบรมสั่งสอนนางก็พลันเข้าใจ ผู้ใดให้ผู้ที่อบรมสั่งสอนนางมาคืออดีตโส่วฝู่เล่า
วังโส่วฝู่คิดไปก็เอ่ยด้วยท่าทีไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวจนดูต่ำต้อยว่า “องค์หญิงสามกล่าวอันใด กระหม่อมในฐานะโส่วฝู่แคว้นต้าโจว พบว่าคดีนี้มีทางออกจึงได้เข้าวังมาทูลต่อฝ่าบาท ไม่ใช่เรื่องสมควรหรอกหรือ”
องค์หญิงสามพยักหน้า “ก็ควรอยู่ ใต้เท้าวังทำได้ดีมาก แต่ข้าอยากให้ใต้เท้าวังดูของอย่างหนึ่ง”
นางกล่าวจบก็หยิบสมุดบันทึกที่เริ่มกลายเป็นสีเหลืองอยู่บ้าง ขึ้นโบกตรงหน้าวังโส่วฝู่ “ไม่รู้ว่าใต้เท้าวังอยากอ่านหรือไม่”
วังโส่วฝู่ไม่รีบร้อนตอบ เซียวหวงเรียกให้นางข้าหลวงใหญ่ชิงฉางนำไป “นำไปให้ใต้เท้าวัง”
ชิงฉางนำสมุดสีเหลืองส่งไปถึงมือวังโส่วฝู่ เริ่มแรกวังโส่วฝู่ไม่คิดว่าจะมีอันใด แต่พออ่านไปสองสามที สีหน้าก็พลันซีดเผือด อ่านอีกทีก็ต้องหลั่งเหงื่อเย็นหนาวยะเยือกไปถึงกระดูก
ชิงฉางที่รออยู่ ได้รับสัญญาณจากเซียวหวงก็ยื่นมือไปเก็บสมุดมาจากมือเขา มอบคืนให้องค์หญิงสาม
องค์หญิงสามยิ้มละไมมองวังโส่วฝู่ด้วยสีหน้าอารมณ์ดีอย่างมาก เอ่ยขึ้นว่า “ใต้เท้าวังคิดอย่างไรบ้าง”
ยามนี้วังโส่วฝู่รู้สึกเพียงแค่ตนเองลอยคออยู่กลางมหาสมุทร เลือนรางไร้หนทางไปหมด เขาเป็นขุนนางมาหลายปี ไม่เคยเกิดอาการเช่นยามนี้มาก่อน แท้จริงเป็นผู้ใดมอบสมุดบันทึกพวกนี้ให้องค์หญิงสาม
ในสมุดเหล่านี้มีบันทึกลับมากมาย คนผู้นั้นรู้ได้อย่างไร ตอนนี้องค์หญิงสามได้สมุดบันทึกเหล่านี้ไป นางคิดทำอันใด หากนางลงมือกับเขาและตระกูลวัง ย่อมนำพาตระกูลวังเข้าสู่คุกหลวง
วังโส่วฝู่คิดไปพลางมององค์หญิงสาม สาวน้อยงดงามราวเทพธิดา ยามก้าวเดินอรชรอ้อนแอ้นประหนึ่งไร้กระดูก แต่ในสายตาวังโส่วฝู่ รู้สึกว่านางคล้ายดังผีร้ายตนหนึ่ง
วังโส่วฝู่เบื้อใบ้ไปทันที “องค์หญิงสามคิดทำอันใด”
เซียวหวงยิ้มตาหยีมองเขากล่าวว่า “ข้าไม่ชอบพูดจามากความกับผู้อื่น หากท่านสามารถทำได้ ข้าก็จะไม่แตะต้องตระกูลวังท่าน แต่หากท่านหาเรื่องข้า ข้าเองก็ไม่ถือสาหากต้องตัดมือข้างหนึ่งนี้ของตระกูลวังทิ้ง”
วังโส่วฝู่พลันเข้าใจความคิดองค์หญิงสาม แต่เพราะเข้าใจ เขาจึงรู้สึกหนาวยะเยือกจับขั้วหัวใจ
นางเพิ่งจะอายุเท่าใด เหตุใดจึงได้มีอุบายในใจร้ายกาจเยี่ยงนี้
เขากุมอำนาจเป็นที่นับหน้าถือตาในราชสำนักมานาน นางลงมือกับคนของเขา หากเขาไม่อาจช่วยเหลือได้ ไม่นานคนของเขาก็ย่อมเอาใจออกหาก ถึงตอนนั้น เขาก็โดดเดี่ยวไร้พรรคไร้พวก จะยังมีคนให้ความเคารพเขาอีกหรือ แต่หากเขาไม่ฟังคำสั่งนาง
นางก็จะลงมือกับตระกูลวังเขา ถึงตอนนั้นตระกูลวังก็คงจบสิ้น
สีหน้าวังโส่วฝู่พลันไร้สีโลหิต ยามนี้เขานึกเสียใจภายหลังแล้ว นึกเสียใจที่ทูลคัดค้านฝ่าบาทแต่งตั้งองค์หญิงสามเป็นรัชทายาทหญิง
“หากกระหม่อมยอมเห็นด้วยกับเรื่องแต่งตั้งองค์หญิงสามเป็นรัชทายาท องค์หญิงสามจะยอมหยุดไหมพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวหวงยิ้มมองไปยังวังโส่วฝู่ “ใต้เท้าโส่วฝู่คิดอันใดกัน ตอนนี้กลางวันแสกๆ”
ดังนั้นอย่าได้คิดฝัน ในเมื่อนางลงมือแล้ว ก็ต้องตัดเส้นทางถอยของเขา วันหน้าเขาก็ควรดำรงตนสงบเสงี่ยมเป็นขุนนางแคว้นต้าโจวสงบเสงี่ยมไปดีๆ
“ใต้เท้าวังกลับไปได้แล้ว”