ตอนที่ 512 น้องสามีควักเงินก้อนโต
สะใภ้รองลู่พยักหน้าเห็นด้วยจากนั้นก็เอ่ยตามน้ำขึ้นว่า “เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เข้าเมืองหลวงแล้ว น่าจะต้องเรียนหนังสือแล้วกระมัง”
ลู่เจียวพยักหน้า มองอย่างสงสัยพี่สะใภ้รองลู่ว่าแท้จริงต้องการกล่าวอันใด เอาแต่ห่วงใยเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ทำไมกัน
นางกำลังคิดอยู่ สะใภ้รองลู่ก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “น้องเจียว เจ้ารู้สึกว่าเถาจื่อบ้านเราเป็นอย่างไรบ้าง นับวันยิ่งน่ารักใช่หรือไม่”
เพราะพี่รองและสะใภ้รองมีเงินแล้ว ดังนั้นจึงเพียรพยายามแต่งตัวให้เถาจื่อ เถาจื่อถูกจับแต่งเสียจนน่ารักน่าเอ็นดู สะใภ้รองเห็นบุตรสาวเช่นนี้ก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น
แต่พอนางกล่าว ลู่เจียวก็เข้าใจความคิดนางได้ทันที
แววตานางเผยให้เห็นถึงความไม่พอใจ นี่คิดละโมบไม่รู้จักพออย่างนั้นหรือ เห็นครอบครัวนางมีกิจการสามโรงผลิต มีชีวิตที่ดี ถึงกับวาดหวังมาที่บุตรชายนางแล้วหรือ
ความจริงลู่เจียวก็ไม่ถือสาหากบุตรชายจะแต่งกับสะใภ้เช่นไร แต่สะใภ้คนนี้จะต้องเป็นคนที่เขาคิดแต่งด้วยตัวเขาเอง เขาต้องชอบด้วยตนเอง
นางไม่มีทางหมั้นหมายให้บุตรชายตั้งแต่ยังเล็ก ตอนนี้ถึงกับมีคนคิดหมายปองบรรดาบุตรชายนาง
เรื่องนี้ทำให้นางไม่พอใจอย่างมาก
ดูท่าพี่สะใภ้รองวาดหวังสูงไปแล้ว
ลู่เจียวสีหน้านิ่งเรียบ กล่าวว่า “เถาจื่อเป็นหลานสาวข้า ข้าย่อมชอบนาง ข้าไม่มีบุตรสาว มองดูเถาจื่อก็รู้สึกว่านางเหมือนบุตรสาวข้า”
เป็นบุตรสาว มิใช่สะใภ้
ลู่เจียวกล่าวจบไม่คิดสนใจสะใภ้รองลู่ หันหลังจะเดินไป สะใภ้รองลู่กลับฟังไม่เข้าใจ ยังคิดกล่าวต่อ
ลู่เจียวไม่สนใจนางแล้ว หันหลังเดินไปยังห้องครัวหาพี่สะใภ้ใหญ่
สะใภ้รองลู่คิดตามไป แต่มีคนมาตามนาง นางจึงไม่มีเวลาตามไปคุยกับลู่เจียวต่อ
แต่ในใจก็ดีใจมาก คิดสระตะแล้วว่าไว้ค่อยคุยกับน้องสามี น้องสามีเห็นเถาจื่อเป็นดังบุตรสาว นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่านางชอบบุตรสาวนาง หากได้เป็นลูกสะใภ้มิใช่ยิ่งดีหรอกหรือ
ในห้องครัวลู่เจียวคิดว่าตนเองกล่าวกับสะใภ้รองกระจ่างแล้ว นางน่าจะไม่คิดเรื่องพวกนี้แล้ว ผู้ใดจะรู้ว่านางฟังความนัยในวาจานางไม่เข้าใจ
สะใภ้ใหญ่เห็นสีหน้าลู่เจียวไม่ค่อยพอใจก็รีบถามว่า “น้องเจียว เจ้าเป็นอะไรหรือ”
ลู่เจียวเงยหน้ามองไปยังพี่สะใภ้ใหญ่ เรื่องนี้พี่สะใภ้ใหญ่กับท่านแม่ย่อมรู้แล้ว ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่พี่สะใภ้รองลู่จะเอ่ย พี่สะใภ้ใหญ่กับท่านแม่จึงได้เปลี่ยนบทสนทนา
ลู่เจียวก็มิได้อ้อมค้อม กล่าวออกไปตามตรงว่า “ความคิดพี่สะใภ้รอง คิดว่าพี่สะใภ้ใหญ่ก็คงรู้กระมัง”
สะใภ้ใหญ่สีหน้าแปรเปลี่ยน ไม่ได้การแล้ว นางเอ่ยอย่างโมโหว่า “นางไปพูดอันใดกับเจ้า”
“เปล่า แต่ข้าไม่ใช่คนโง่ พอได้ฟังก็เข้าใจความคิดนาง”
ลู่เจียวกล่าวจบก็มองพี่สะใภ้ใหญ่เอ่ยยืนยันว่า “การแต่งงานของบุตรชายข้า วันหน้าก็ให้พวกเขาตัดสินใจกันเอง ข้าจะไม่ยุ่งเรื่องแต่งงานของพวกเขาอย่างเด็ดขาด”
สะใภ้ใหญ่รีบพยักหน้า “สมควรแล้วๆ”
พอพยักหน้าก็คิดเข้าใจว่าลู่เจียวกล่าวอันใด พลันอึ้งไปทันที
ตอนนี้การแต่งงานล้วนเป็นคำสั่งบิดามารดา วาจาแม่สื่อ คิดไม่ถึงว่าน้องสามีถึงกับจะให้บุตรชายตัดสินใจเอง นางไม่เหมือนคนทั่วไปจริงๆ
แต่พอคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าน้องสามีเอาแต่ใจเช่นนี้ก็มีเหตุผล ผู้ชายชอบ แต่งมาจึงจะทะนุถนอม
นางรู้สึกว่าตนเองได้เรียนรู้แล้ว วันหน้าหู่จื่อแต่งภรรยา นางก็จะไม่ตัดสินใจแทนเขา จะให้หู่จื่อเลือกเอง
ลู่เจียวไม่คิดคุยเรื่องถึงพี่สะใภ้รองลู่อีก นางมองพี่สะใภ้ใหญ่กล่าวว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ อีกสองวันพวกเราก็จะเดินทางไปเมืองหลวงแล้ว วันหน้าท่านแม่ก็ฝากพวกพี่แล้ว”
สะใภ้ใหญ่รีบรับรองกล่าวว่า “น้องเจียววางใจได้ ข้ารับรองว่าจะกตัญญูต่อท่านพ่อและท่านแม่ ไม่ทำให้พวกเขากลัดกลุ้มใจ”
ลู่เจียวได้ฟังก็พึงพอใจ พร้อมกับควักเงินห้าร้อยตำลึงส่งให้พี่สะใภ้ใหญ่ “นี่คือตั๋วแลกเงินห้าร้อยตำลึง พี่สะใภ้ใหญ่เก็บเอาไว้ หากที่บ้านมีเรื่องฉุกเฉินใช้เงิน พี่ก็นำออกมาใช้”
บ้านตระกูลลู่เพิ่งสร้าง บ้านอิฐชิงจวนตอนนี้ยังต้องการเงินไม่น้อยจริงๆ
นี่ก็คือสาเหตุที่ลู่เจียวมอบเงินให้เถียนซื่อ แต่เถียนซื่อไม่รับ นางก็ได้แต่มอบให้พี่สะใภ้ใหญ่
สะใภ้ใหญ่ตื่นตะลึงกับตั๋วแลกเงินห้าร้อยตรงหน้า นางไม่ได้ตื่นตกใจกับเงินห้าร้อยตำลึง แต่เพราะการควักเงินใช้จ่ายก้อนโตของลู่เจียวทำให้นางตะลึง นี่มันห้าร้อยตำลึงเชียวนะ น้องสามีนางช่างใจกว้างเสียจริง
แต่สะใภ้ใหญ่ไม่กล้ารับ กลัวเถียนซื่อรู้แล้วจะโมโห
นางรู้ว่าแม่สามีไม่อยากรับเงินน้องสามี บอกว่าน้องสามีช่วยเหลือที่บ้านมามากแล้ว ตอนนี้บ้านตระกูลลู่ได้ดีเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะความช่วยเหลือของน้องสามีผู้นี้ ดังนั้นนางไม่อยากรับเงินของนางไว้ หากนางรับไว้ แม่สามีต้องโมโหเป็นแน่ น้องสามีไม่ได้ให้แม่สามี แต่เอามาให้นาง ย่อมต้องเพราะให้แม่สามีแล้ว แต่แม่สามีไม่รับ น้องสามีจึงได้หันมามอบไว้ที่นางแทน
สะใภ้ใหญ่รีบปฏิเสธ “น้องเจียว พวกเรามีอาชีพ ไม่ขาดแคลนเงินทอง เจ้าเก็บไว้เถอะ พวกเจ้าไปเมืองหลวงย่อมต้องการใช้เงินอีกมาก เงินนี่เจ้าเก็บไว้ใช้เองเถอะ”
ลู่เจียวไม่ได้สนใจนาง แต่ยัดใส่มือพี่สะใภ้ใหญ่ “พี่สะใภ้ใหญ่เก็บไว้ให้ดี ข้าให้พี่เก็บไว้ ขอเพียงวันหน้าพี่กตัญญูต่อท่านพ่อกับท่านแม่ให้ดีก็พอ อีกอย่างเรื่องนี้อย่าได้บอกท่านแม่”
ลู่เจียวกล่าวจบก็ไม่รอให้พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวอันใด แต่กลับกล่าวอีกคำว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่ทำงานพี่ไปเถอะ ข้าออกไปก่อน”
วันนี้คนทำงานในห้องครัวมีมาก ตอนนี้คนไม่น้อยจัดของอยู่ในลานด้านนอก รออีกสักครู่ก็จะมีคนเข้ามา ดังนั้นนางควรรีบออกไป
สะใภ้ใหญ่มองตั๋วแลกเงินในมือ รู้สึกเพียงแค่ร้อนมือ แต่จากเรื่องนี้ทำให้นางรู้ว่าน้องสามีให้ความสำคัญกับท่านพ่อและท่านแม่มาก ดังนั้นวันหน้านางต้องดูแลท่านพ่อกับท่านแม่ให้ดี อย่าได้ล่วงเกินพวกเขาอย่างเด็ดขาด
สะใภ้ใหญ่ครุ่นคิดแล้วก็ยิ้มดีใจ ห้าร้อยตำลึงเลยเชียวนะ
ตอนลู่เจียวเดินออกนอกประตู สะใภ้รองที่แอบฟังอยู่นอกประตูก็รีบหลบเข้ามุมไป
ยามนี้ในใจนางเจ็บปวดใจอย่างสุดแสนจะทนรับไหว น้องสามีให้ท่านพ่อกับท่านแม่สอนพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ทำเต้าหู้ ตอนนี้ยังมอบเงินให้พี่สะใภ้ใหญ่ห้าร้อยตำลึง นางกับลู่กุ้ยร่วมกันเปิดร้านอาหาร แบ่งหุ้นส่วนให้ลู่กุ้ยสี่ส่วน ก่อนหน้านี้ยังมอบบ้านใหญ่ให้ลู่กุ้ย ครั้งนี้ยังนำของขวัญมากมายมาเป็นของขวัญแต่งงาน
นางดีกับพี่ใหญ่และน้องสามมาก ต่างจากครอบครัวนาง
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมอบเงินให้ครอบครัวนางแม้แต่น้อย หรือว่าไม่ชอบใจครอบครัวพวกนางกัน
ในใจสะใภ้รองลู่เริ่มเดือดดาล แทบจะวิ่งไปถามลู่เจียวว่า ทำไมไม่ดีกับพวกนางเช่นนี้
น่าเสียดายสะใภ้รองลู่กล้าคิด ไม่กล้าทำ ได้แต่หันหลังวิ่งไปอัดอั้นอยู่ในห้องตน
วันนี้พี่รองลู่เป็นเพื่อนน้องชายไปรับตัวเจ้าสาวที่อำเภอชิงเหอ แม้แต่คนพูดคุยด้วยสักคนก็ไม่มี
ลู่เจียวไม่รู้ว่าเรื่องพวกนี้ นางไปคุยกับคนอื่นต่อแล้ว
ตอนบ่ายลู่กุ้ยก็รับเจ้าสาวกลับมา
คนทั้งหมู่บ้านต่างวิ่งมาดูความครึกครื้น แต่ละคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ว่าลู่กุ้ยวาสนาดี
ไม่เพียงแต่ได้เปิดร้านอาหาร ยังได้แต่งหญิงสาวในอำเภอ ได้ยินว่าหญิงสาวหน้าตาดีมาก ราวกับเทพธิดา ไม่เหมือนหญิงบ้านนาในหมู่บ้านสักนิด
วาจาคนในหมู่บ้านมาถึงหูสะใภ้รองลู่ จิตใจสะใภ้รองลู่เจ็บปวดราวกับถูกน้ำมันร้อนราดรดบนกองไฟ
นางดึงพี่รองลู่กลับห้องทันที พอเข้าห้องก็ระเบิดอารมณ์ขึ้นว่า
“ลู่เอ้อร์ เจ้าว่า ข้าทำผิดต่อน้องเจียวตรงไหน เหตุใดนางจึงได้ทำกับข้าเช่นนี้”