Skip to content
Home » Blog » ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย 520

ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย 520

ตอนที่ 520 หนอนดูดเลือดกับคนกระจกเงา

บ่าวหญิงกล่าวจบก็มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวด้วยท่าทางได้ใจ เดิมคิดว่าทั้งสองคนจะมีสีหน้าตกใจ ปรากฏกลับเห็นทั้งสองคนท่าทางสงบนิ่งเป็นปกติ นางมองทั้งสองคนด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง รู้สึกว่าบ้านนอกสองคนนี้อาจจะไม่รู้ความสำคัญของสถานะท่านหญิงกระมัง

บ่าวหญิงแค่นเสียงฮึเยียบเย็นแล้วก็สบถอย่างไม่สบอารมณ์นักว่า “เอาละ พวกเจ้ารับเงินพันตำลึงนี้ไปแล้ว วันหน้าก็อยู่ห่างๆ คุณชายใหญ่เราสักหน่อยก็พอ”

ลู่เจียวยิ้มตาหยีตอบว่า “เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่ได้ ข้าเป็นหลานสาวบุญธรรมที่ท่านปู่หลิวกับท่านย่าหลิวรับไว้ พี่สาวที่หลิวจื่อเหยียนยอมรับเป็นพี่สาวบุญธรรม ในเมื่อพวกเรายอมรับกันแล้ว จะไม่พบหน้ากันได้อย่างไร”

บ่าวหญิงตระกูลหลิวสีหน้าตกตะลึง หญิงผู้นี้ถึงกับเป็นหลานสาวบุญธรรมที่นายผู้เฒ่ากับฮูหยินเฒ่ารับไว้ คงไม่ได้ถูกพวกเขาหลอกกระมัง

บ่าวหญิงโมโหถลึงตาใส่เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวอย่างโมโห “ต้องเป็นพวกเจ้าหลอกนายผู้เฒ่ากับฮูหยินเฒ่า อย่างแน่นอน พวกเจ้ารู้สถานะนายท่านเราใช่หรือไม่ ดังนั้นจึงจงใจใกล้ชิดนายผู้เฒ่ากับฮูหยินเฒ่าจะได้ถือโอกาสพาดสะพานมาสู่นายท่านเรา”

เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าไม่ดีนัก แม้ว่าอารมณ์เขาจะดีกว่าเมื่อก่อนมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะอนุญาตให้ผู้อื่นมาดูหมิ่นได้

เขามองบ่าวหญิงตระกูลหลิวด้วยแววตาเย็นเยียบ “คนรับใช้ตัวเล็กๆ ถึงกับกล่าววาจาดูแคลน ข้าคงต้องไปขอคำแนะนำใต้เท้าโส่วฝู่สักหน่อย เขาอบรมบ่าวรับใช้ในจวนเช่นไร พวกเราเป็นคนช่วยบุตรชายเขาไว้แท้ๆ ไม่เพียงแต่ไม่รู้บุญคุณ กลับให้นังบ่าวโง่งมมาหมิ่นเกียรติพวกเรา นี่มันมีเหตุผลอันใดกัน”

สีหน้าบ่าวหญิงตระกูลหลิวพลันแปรเปลี่ยน เริ่มออกอาการลนลาน แม้นายท่านสถานะสูงส่ง แต่ตอนนี้ฝ่าบาททรงรู้สึกระแวงเขา ดังนั้นเขาไม่เพียงแต่ต้องทำการทุกอย่างให้รอบคอบ ระมัดระวังตนเองให้ดี ยังกำชับบ่าวรับใช้ให้ระวังการทำงาน อย่าหาเรื่องเดือดร้อนมาถึงเขา

หากเซี่ยจวี่เหรินเอาเรื่องขึ้นมา ขุนนางกรมตรวจสอบย่อมต้องยื่นฎีกานายท่าน นายท่านย่อมต้องโชคร้ายอย่างแน่นอน

พอบ่าวหญิงตระกูลหลิวคิดได้ก็รีบเอ่ยว่า “วาจาดูแคลนอันใดกัน ข้าก็แค่บอกกับพวกเจ้าแค่คำเดียวเท่านั้น ในเมื่อพวกเจ้าไม่ยอมรับ ก็แล้วไป ส่งมอบตั๋วแลกเงินแล้ว ข้าก็ขออำลา”

นางกล่าวจบก็หันหลังจากไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังกับลู่เจียวมองตามหลังนางไปด้วยแววตาเยียบเย็น พอนางไปแล้ว ทั้งสองคนก็สบตากัน

ลู่เจียวกล่าวว่า “มีเจ้านายเช่นไรก็มีบ่าวเช่นนั้น ท่านหญิงหลันหยางจวิ้นจู่ผู้นี้ย่อมไม่ใช่คนดีอะไร”

เซี่ยอวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วยิ้มเยาะเสียดสีว่า “นางน่าจะคิดว่าตนเองยังเป็นท่านหญิงหลันหยางจวิ้นจู่ผู้สูงส่งดังเช่นเมื่อก่อนสินะ”

เซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นบัณฑิต ย่อมรู้ว่าเมื่อก่อนที่ฝ่าบาทยกย่องอ๋องผิงหลิง เพราะไม่คิดมีเรื่องกับเขา แต่ตอนนี้ฝ่าบาทน่าจะมีพระประสงค์ยกเลิกฟานอ๋อง[1] สถานะท่านหญิงหลันหยางจวิ้นจู่ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว น่าเสียดายนางยังไม่รู้ตนเอง ก่อนหน้านี้นางเติบโตมาข้างพระวรกายไทเฮา หากไทเฮายังอยู่ก็ยังพอจะมีน้ำใจให้กันอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไทเฮาจากไปนานแล้ว นางไม่มีที่พึ่งนานแล้ว แต่หญิงผู้นี้กลับยังไม่รู้ตัว

เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองลู่เจียว ยิ้มอ่อนโยนกล่าวว่า “พวกเราไม่ต้องไปสนใจนาง ย่อมมีคนทำให้นางได้รู้จักความจริงเอง”

ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อย ไม่คิดถึงเรื่องจวนตระกูลหลิวอีก

นอกประตู เฝิงจือเดินเข้ามารายงานรวดเร็วว่า “เหนียงจื่อ พ่อบ้านเซียวบอกว่าคุณชายฉีพาท่านปู่เขามาเยี่ยมเยือน”

ลู่เจียวเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “ท่านปู่ฉีเหล่ย? ท่านมาได้อย่างไร รีบไปเชิญพวกเขาเข้ามา”

เฝิงจือรับคำออกไป ลู่เจียวมองไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “ตามหลักควรเป็นพวกเราไปเยี่ยมเยือนนายผู้เฒ่า นายผู้เฒ่ามาได้อย่างไร”

เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดแล้วก็กล่าวว่า “น่าจะอยากพบเจ้ากระมัง”

เขาเพิ่งกล่าวจบ ด้านนอกก็มีเสียงหัวเราะดังกังวานของนายผู้เฒ่าดังมา “เจียวเจียว เจียวเจียวล่ะ”

เรียกขานสนิทสนมเช่นนี้ ทำเอาเซี่ยอวิ๋นจิ่นในห้องโถงมีสีหน้าดำทะมึน นายผู้เฒ่าผู้นี้ช่างเป็นกันเองเสียจริง เพิ่งพบหน้ากันก็เรียกเสียสนิทสนมเช่นนี้

ลู่เจียวหลุดขำออกมา นางไม่เคยพบกับนายผู้เฒ่า ก็รู้สึกว่านายผู้เฒ่าเป็นคนที่คบหาง่ายยิ่งนัก

นอกประตูมีเงาร่างสองคนเดินเข้ามา ด้านหน้าเป็นชายชราร่างผอม ผมและหนวดเคราขาวหมดแล้ว แต่กำลังวังชายังดีมาก แววตาทั้งสองกระจ่างใสมีชีวิตชีวา รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าทำให้คนมองแล้วรู้สึกยิ่งสนิทสนม

หน้าตาเขาเหมือนกับฉีเหล่ยมาก ดูท่าท่านนี้ก็คือปู่ของฉีเหล่ย หมอหลวงผู้เฒ่าแห่งแคว้นต้าโจว หมอหลวงประจำไทเฮา ต่อมาไทเฮาสิ้นพระชนม์ ก็มีราชโองการให้เขากลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิด

นายผู้เฒ่าฉีตอนนี้ว่างงานอยู่บ้าน

ลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นนายผู้เฒ่าฉีก็รีบคารวะ “คารวะท่านผู้เฒ่าฉี”

ทั้งสองคนเพิ่งกล่าวจบ นายผู้เฒ่าฉีก็โบกมือ “ไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง”

ลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นมองเขาอย่างแปลกใจ นายผู้เฒ่าฉีชี้ไปที่ฉีเหล่ยด้านหลังกล่าวว่า “หลานชายข้าคารวะเจ้าเป็นอาจารย์ เจ้าก็ควรเทียบเท่ากับบุตรชายข้า ดังนั้นเจ้าควรเรียกข้าว่าท่านลุงฉีก็พอ”

กล่าวจบนายผู้เฒ่าฉีก็ไม่รอให้ลู่เจียวกล่าวอันใด เดินมาข้างกายลู่เจียวมองประเมินรอบกายนาง

“เหล่ยเอ๋อร์เอ๊ย นี่ก็คืออาจารย์เจ้าหรือ หน้าตาสาวเกินไปแล้ว อายุยังน้อยเพียงนี้ถึงกับมีวิชาการแพทย์ ร้ายกาจน่าตกใจเพียงนั้น ขั้นเทพๆ”

ลู่เจียวถูกนายผู้เฒ่าฉียกยอเสียจนเขิน รีบเอ่ยว่า “ท่านลุงฉี ข้าไม่ได้เก่งกาจมากขนาดนั้น”

นายผู้เฒ่าฉีโบกมือ “ไม่มากเกินไป ไม่มากเกินไป เมื่อวานข้าได้ฟังเหล่ยเอ๋อร์เล่าเรื่องของเจ้ามาทั้งคืน วิชาการแพทย์เจ้าเรียกได้ว่าเทพจริงๆ เรียกว่าหมอเทวดาก็ไม่เกินไปสักนิด พอเช้ามาข้าก็เลยให้เหล่ยเอ๋อร์รีบพาข้ามาพบเจ้าเพราะเรื่องนี้”

นายผู้เฒ่ากล่าวจบก็ยื่นมือไปดึงลู่เจียวมากุมไว้อย่างตื่นเต้น “เจียวเจียว มา มา ข้ามีโรคสองสามโรคที่เมื่อก่อนข้ารักษาไม่หาย พวกเรามาถกกันหน่อย อาการป่วยนี้รักษาได้หรือไม่”

นายผู้เฒ่าฉีกล่าวจบก็พยายามดึงตัวลู่เจียวไปห้องโถงกลางเพื่อถกเรื่องโรคตัวอย่างนี้ ลู่เจียวเองก็สนใจเรื่องโรคแปลกประหลาดอยู่มาก จึงยินดีอย่างมากที่จะถกเรื่องอาการของโรคนี้กับนายผู้เฒ่าฉี

ในห้องโถง ใบหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นราวกับมีแสงสีดำพาดผ่าน เพราะว่านายผู้เฒ่าฉียึดภรรยาตนเองไปคนเดียว อยากจะขับไล่เขาออกไปมาก

แต่เห็นว่าเขาอายุมากขนาดนี้แล้ว จึงได้แต่อดทนไว้

ฉีเหล่ยรีบยิ้มประจบ ถือโอกาสเชิญเซี่ยอวิ๋นจิ่นออกไป

“ซือกง ข้าแนะนำสภาพในเมืองหลวงให้ท่านฟังสักหน่อย เล่าเรื่องตระกูลใหญ่ต่างๆ ในเมืองหลวงให้ท่านฟังสักรอบหนึ่งดีหรือไม่”

เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบพยักหน้าเห็นด้วย ในเมื่อมาเมืองหลวงแล้วก็ต้องเข้าใจสภาพเมืองหลวงให้มากสักหน่อย

เดิมเขาก็ต้องส่งคนไปสืบเรื่องราวเมืองหลวงอยู่แล้ว ตอนนี้ฉีเหล่ยจะเล่าให้เขาได้ฟังพอดี

ทั้งสองคนจึงไปศาลาพักร้อนข้างสวนดอกไม้นั่งลงคุยกันถึงเรื่องราวแต่ละตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง และเรื่องราวต่างๆ ในราชวงศ์ตอนนี้

คนทั้งสองกลุ่มคุยกันอย่างออกรสจนไม่รู้ตัวว่าเวลาผ่านไปนานแล้ว

ยามนี้บ่าวรับใช้ตระกูลฉีมาตามพอดี ขัดจังหวะฉีเหล่ยกับนายผู้เฒ่าฉี นายผู้เฒ่าฉีถลึงตาใส่บ่าวตระกูลฉีอย่างไม่พอใจมาก “มาตามทำไมกัน ที่จวนไม่มีคนอื่นหรือ”

เขากำลังถกกับเจียวเจียวอย่างออกรสอยู่ พอได้คุยกัน เขาพบว่าวิชาการแพทย์เจียวเจียวร้ายกาจจริง เรียกได้ว่าถึงระดับสุดยอดแห่งวิชาการแพทย์แล้ว วันหน้าหาเขาเจอโรคซับซ้อนอันใดก็จะนำมาหารือกับเจียวเจียว นางถึงกับรู้ว่าอาการโรคที่เขาเคยประสบมา โรคที่เขาไม่เข้าใจมาตลอดว่าผู้ป่วยป่วยด้วยโรคอันใด

ปรากฏเจียวเจียวบอกว่าโรคหนอนดูดเลือด ยังมีกรณีผู้ป่วยคนหนึ่งหัวใจอยู่สลับด้าน เจียวเจียวบอกว่านี่คือคนกระจกเงา คนกระจกเงาไม่ส่งผลต่อสุขภาพเขา เขายังเอาแต่เป็นห่วงคนผู้นี้ว่าจะตายเร็ว ปรากฏก็เป็นดังเจียวเจียวบอก คนเขายังคงมีอายุยืนมาถึงตอนนี้ ไม่เป็นอันใดสักนิด

………….

[1] ฟานอ่องก็คือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์อ๋องออกไปปกครองพื้นที่ ทั่วไปมักเป็นพื้นที่ชายแดนทางเหนือเพื่อเป็นด่านปราการต่อสู้ข้าศึกทางเหนือ มีกำลังทหารในมือ อาจเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางที่มีความดีความชอบมาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!