ตอนที่ 548 สะเทือนถึงผู้อื่น
ลู่เจียวมองบ้านพ่อค้าข้างบ้านที่ถูกเพลิงเผา สุดท้ายกัดฟันกล่าวว่า “บ้านเราทำให้ครอบครัวท่านพลอยเดือดร้อนไปด้วย ข้าก็ได้แต่ยอมรับแล้ว แต่ท่านให้เวลาข้าหน่อยได้หรือไม่ ให้ข้าควักจ่ายเงินก้อนโตในเวลาเร่งด่วน ข้าหาไม่ทัน”
พ่อค้าคิดแล้วก็เห็นด้วย ก็ถือเสียว่าทำความดี
“พอฟ้าสาง ครอบครัวข้าก็จะย้ายไปอยู่ที่อื่น ให้พวกเจ้ายืมบ้านข้าพักไปก่อน รออีกสองสามวันนำเงินมาจ่าย พวกเราก็ไปที่ว่าการลงทะเบียนกัน”
เดิมลู่เจียวยังกังวลว่าไม่มีที่อยู่ พอได้ฟังข้างบ้านเพื่อนบ้านก็ดีใจเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณพวกท่าน”
นางกล่าวจบหันไปมองเพื่อนบ้านอีกหลัง
เพื่อนบ้านท่านนี้เป็นขุนนางเล็กๆ ในเมืองหลวง บ้านนี้ใหญ่มาก ได้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่พวกเขาช่างโชคร้าย เรือนตะวันออกของบ้านถูกเผาวอดวายไปทั้งแถบ เรือนด้านหลังก็ถูกเผามอดไปไม่น้อย กล่าวตามตรง แม้ว่าจะซ่อมแซมก็ไม่อาจซ่อมแซมกลับคืนมาได้ดังเดิม บ้านเก่าผสมบ้านใหม่ดูแล้วก็สะดุดตาเกินไป ควรรื้อถอนสร้างใหม่ทั้งหมด
สร้างใหม่ทั้งหมดต้องใช้เงินไม่น้อย คนเขาไม่มีทางรื้อถอนให้พวกเขาทั้งหมด หากให้สร้างใหม่เขาเองก็ไม่มีเหตุผลให้คนเขาทำเช่นนี้
ดังนั้นในใจเพื่อนบ้านจึงสับสนอย่างมาก
หลังจากลู่เจียวมาเมืองหลวง เคยไปสอบถามเรื่องเพื่อนบ้านข้างบ้าน รู้ว่าบ้านของครอบครัวนี้เป็นบ้านที่รับสืบทอดจากบรรพชนมา ดังนั้นนางจึงไม่ได้คิดซื้อ
“บ้านเราออกเงินซ่อมแซมให้บ้านพวกเจ้าได้ เป็นอย่างไร”
เพื่อนบ้านเป็นขุนนางเฝ้าประตูเมืองหลวง เขาได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็สีหน้าขมขื่น กล่าวว่า “แม้ซ่อมแซมก็ไม่อาจกลับคืนสู่สภาพดังเดิม หรือว่าข้าขายบ้านให้เจ้าไปด้วย”
ลู่เจียวมองเขาอย่างตกใจเป็นนานก่อนจะกล่าวว่า “ไม่เหมาะกระมัง บ้านท่านเหมือนว่าเป็นสมบัติบรรพชน”
คนทั่วไปจะไม่ขายสมบัติบรรพชน ลู่เจียวคิดแทนขุนนางท่านนี้ แต่เขากลับรู้สึกว่าลู่เจียวไม่อยากเสียเงินซื้อบ้านพวกเขา จึงโมโหกล่าวว่า “แม้เจ้าออกเงินซ่อมบ้านให้พวกเรา บ้านเราก็ไม่อาจกลับคืนสู่สภาพดังเดิมได้ ครึ่งเก่าครึ่งใหม่ เจ้ารู้สึกว่าดูได้หรือ หากรื้อถอนทั้งหมดสร้างใหม่ บ้านเราก็ไม่มีเงิน”
เบี้ยหวัดรายปีของขุนนางเฝ้าประตูเมืองไม่มาก พอจะเลี้ยงดูทั้งครอบครัวได้เท่านั้น ดังนั้นบ้านพวกเขาไม่มีเงินรื้อถอนสร้างใหม่
ลู่เจียวได้ฟังก็เข้าใจขุนนางท่านนี้ แต่จะให้ซื้อบ้านขุนนางท่านนี้อีกหลัง จะเป็นที่สะดุดตาเกินไปหรือไม่
ลู่เจียวนิ่งคิด เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับค่อยๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเราทำให้พวกเขาเดือดร้อน ก็ซื้อไปแล้วกัน ขายทรัพย์สินที่อำเภอชิงเหอให้หมด”
คำพูดเซี่ยอวิ๋นจิ่นทำให้คนรู้สึกพวกเขาจะต้องขายสมบัติทั้งหมดเพื่อซื้อบ้านเพื่อนบ้านสองตระกูล วาจานี้ทำให้คนรู้สึกเห็นใจมาก
ขุนนางท่านนี้ได้ฟังเขาก็ถอนหายใจกล่าวว่า “ข้าเองก็ไร้หนทาง หากเผาไปไม่มาก ข้าซ่อมหน่อยก็ได้ ประเด็นคือบ้านเราถูกเผาในวงกว้างมาก”
ลู่เจียวมองเขาแล้วก็มองเซี่ยอวิ๋นจิ่น เซี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้าให้นางเล็กน้อย จากนั้นก็ส่งสายตาบอกว่าครอบครัวพวกเราต้องการพื้นที่มาก พวกเรามีบุตรชายสี่คน วันหน้ายังต้องแต่งงาน
ลู่เจียวคิดแล้วก็เห็นด้วย หันไปมองขุนนางเฝ้าประตู ลังเลกล่าวว่า “บ้านท่านถูกเผาไปไม่น้อย ในเมื่อท่านคิดขาย พวกเราก็ไม่ซื้อไม่ได้ เช่นนั้นก็ซื้อตามราคาเพื่อนบ้านข้างบ้านก็แล้วกัน แต่ขอเวลาให้พวกเราอีกหน่อย พวกเราต้องขายสมบัติที่บ้าน จากนั้นค่อยจ่ายเงินให้พวกท่าน”
ลู่เจียวรู้บ้านขุนนางเฝ้าประตูท่านนี้หลังใหญ่มาก บ้านพ่อค้าข้างบ้านเองก็ใหญ่พอกัน ดังนั้นนางจึงเอ่ยราคาเช่นนี้
ขุนนางเฝ้าประตูกลัวลู่เจียวไม่ตกลงก็รีบตกลงทันที
เพื่อนบ้านสองตระกูลตกลงกับลู่เจียวแล้ว ก็กลับไปบ้านตนหารือกับคนในครอบครัวต่อ
ลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวขอบคุณถังซวิน “ขอบคุณใต้เท้าถัง”
ถังซวินยิ้มโบกมือ มองประเมินเซี่ยอวิ๋นจิ่นอยู่หลายที ในใจแอบนึกแปลกใจ
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินว่าท่านนี้เป็นจวี่เหรินอำเภอชิงเหอบ้านนา ยังคิดว่าจะได้เห็นภาพชายยากจนบ้านนา คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับชายรูปงามโดดเด่นเช่นนี้ ได้ยินว่าเขายังเป็นเจี่ยหยวนเมืองหนิงโจว มีความหวังว่าจะสอบเป็นอันดับหนึ่งของการสอบหุ้ยซื่อได้เป็นหุ้ยหยวนในครั้งนี้
ถังซวินได้แต่ทอดถอนใจแทนสหายรักตน ดูท่าไม่มีโอกาสแล้วจริงๆ
ถังซวินครุ่นคิดแล้วก็ประสานมืออำลา
“ข้าพาโจรชั่วสองคนนี้กลับสำนักรักษาความสงบเมืองหลวงก่อน เจ้าวางใจ ข้าจะต้องสอบปากคำสองคนคนนี้ว่าผู้บงการพวกเขาเป็นใคร ถึงตอนนั้นจะมาแจ้งเจ้า”
“ตกลง”
ความจริงลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้ว่าทั้งสองคนเป็นคนของเซียวถิงซื่อจื่อจวนอ๋องฉิน แต่พวกเขาไม่อาจบอกเรื่องนี้กับถังซวิน ได้แต่พยักหน้า “รบกวนรองผู้บัญชาการถังแล้ว”
“มิได้”
ถังซวินพาคนกลับไป ลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับเข้าบ้าน
แต่คิดถึงเพื่อนบ้านข้างบ้าน ฟ้าสางก็ย้ายออกไป พวกเขาก็มีบ้านอยู่แล้ว ทั้งสองคนคลายกังวลลงพร้อมกันทันที
ลู่เจียวเงยหน้ามองเซี่ยอวิ๋นจิ่น ยิ้มกล่าวว่า “บ้านเรานับว่าโชคดีหลังผ่านพ้นโชคร้ายไหม”
คนเมืองหลวงขายบ้านน้อยมาก อย่าได้เอ่ยถึงสองบ้านขายพร้อมกัน เป็นเรื่องไม่ง่ายเลยจริงๆ
พวกเขาซื้อบ้านของสองตระกูลข้างบ้านไว้ วันหน้าตีทะลุถึงกัน ก็จะเป็นจวนที่มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก พวกเขาสองคนกับลูกสี่คน ลูกๆ โตขึ้นแต่งสะใภ้ก็จะได้พออยู่
แต่ยังไม่อาจลงมือทำตอนนี้
ลู่เจียวมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “แม้ว่าซื้อบ้านสองตระกูลข้างบ้านไว้ แต่ยังลงมือทำตอนนี้ไม่ได้ ทนไปก่อนละกัน”
“ได้”
คนภายนอกรู้พวกเขาซื้อบ้านสองตระกูลข้างบ้านไว้ อย่างมากก็บอกว่าพวกเขามีเหตุผลจำใจ ไม่คิดมากไปถึงเรื่องอื่น แต่หากพวกเขาสร้างบ้านใหม่ตอนนี้ย่อมเป็นที่สะดุดตา
พอฟ้าสาง เพื่อนบ้านข้างบ้านก็ย้ายไป ขนของมีค่าในบ้านไปด้วยหมด ของไม่มีค่าก็มอบให้พวกลู่เจียว
ลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นพาทั้งครอบครัวย้ายไปอยู่บ้านเพื่อนบ้านข้างบ้าน
บ้านเพื่อนบ้านพื้นที่กว้างมาก ใหญ่เป็นสามเท่าของบ้านลู่เจียว ไม่เพียงแต่มีสวนดอกไม้ บ่อปลาไน[1] ยังมีเรือนตะวันออกและตก ตรงกลางเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ด้านหน้ายังมีโถงกลางไว้ต้อนรับแขก
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ตามลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นย้ายเข้ามาแล้วก็อุทานตื่นเต้น เอ่ยชมว่า “ท่านแม่ ที่นี่ใหญ่มาก ใหญ่กว่าบ้านเราเยอะเลย”
“ใช่ ใหญ่พอกับบ้านพวกเราในอำเภอชิงเหอ”
พวกลูกทั้งสี่ลืมเรื่องบ้านถูกลอบวางเพลิงก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้นเพราะเรื่องบ้านใหม่
ทั้งสี่คนพาสหายติดตามของตนไปเดินรอบบ้านอย่างตื่นเต้น
ลู่เจียวสั่งการให้คนเก็บกวาดจัดของ
ตระกูลเซี่ยทุกคนก็เริ่มชุลมุนกับการงานขึ้นมา
คนภายนอกไม่น้อยรู้เรื่องที่เกิดกับตระกูลเซี่ยแล้ว
นายผู้เฒ่าตระกูลฉีพาฉีเหล่ยมาถึงในทันทีที่รู้เรื่องนี้
พวกเขาเข้าไปในบ้านตระกูลเซี่ยก่อน พอเข้าไปแล้วก็เห็นสภาพเหลือแต่ซาก ข้าวของถูกเผาวอดไปหมด นายผู้เฒ่าฉีกับฉีเหล่ยพากันสะดุ้งตกใจ อดส่งเสียงเรียกอย่างตกใจไม่ได้ “เจียวเจียว ต้าเป่า เอ้อร์เป่า ซานเป่า ซื่อเป่า พวกเจ้าอยู่ที่ไหนกัน”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่กำลังเดินเล่นอยู่ข้างบ้าน พอได้ยินเสียงนายผู้เฒ่าฉีร้องเรียก เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็ตะโกนตอบไปว่า “ท่านปู่ฉี พวกเราอยู่ที่นี่ พวกเราอยู่ที่นี่”
………………
[1] ปลาคาร์ป