Skip to content
Home » Blog » กำราบสวรรค์ สังหารเทพ 829

กำราบสวรรค์ สังหารเทพ 829

ตอนที่ 829 ทีมโจรปล้นจันทร์

กัปตัน กะพริบตา

“นั่นไม่สำคัญ เราจะพูดถึงเรื่องนี้ในภายหลัง มาพูดถึงเทพจันทราโลหิตก่อน”

“น้องชาย เจ้าต้องคิดในทางกลับกัน หากเราไม่กลืนกินเธอในตอนนี้ เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอจะสามารถหาเราพบเพียงแค่คิด!”

“เจ้ามีต้นกำเนิดศักดิ์สิทธิ์ของเธอ ข้าก็มีออร่าของเธอ โดยพื้นฐานแล้วเราเป็นหัวขโมยตัวฉกาจ และเราจะต้องถูกฆ่าแน่นอน”

“เพราะฉะนั้น เราต้องฆ่าเธอก่อนที่เธอจะตื่นขึ้นมา!”

“เธอเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ เราไม่จำเป็นต้องกลัว!” กัปตันหยิบลูกพีชออกมาแล้วกัดอย่างแรง

การหายใจของซูฉินเร็วขึ้นเล็กน้อยขณะที่ความคิดปั่นป่วนอยู่ในใจ ดวงตาของเขามีเลือดไหลเล็กน้อย เขารู้ว่ากัปตันกำลังจะทำอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ มันต้องอันตรายอย่างแน่นอน แต่เขาไม่คาดคิดว่ามันจะต้องเสี่ยงชีวิตถึงขนาดนี้

“พี่ชาย บอกข้าโดยละเอียด”

ซูฉินกัดฟันและพูด

เมื่อกัปตันได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของเขาก็แสดงความตื่นเต้น และเขาก็พูดอย่างรวดเร็ว

“เสี่ยวฉิน ภูมิภาคจันทร์บวงสรวงเป็นดินแดนที่พิเศษอย่างยิ่ง สำหรับเผ่าสวรรค์ทมิฬ สถานที่แห่งนั้นสามารถกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หรือมากกว่านั้นมันคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับพวกเขา”

“เพราะว่า… ภูมิภาคจันทร์บวงสรวงเป็นสถานที่ที่ดวงจันทร์แดงต้องผ่าน!”

“ดวงจันทร์แดงคือเทพจันทราโลหิต และเทพจันทราโลหิตก็คือดวงจันทร์แดง!”

กัปตันมองไปที่ซูฉินด้วยสีหน้าจริงจัง

ซูฉินพยักหน้า และฟังอย่างตั้งใจ

“ก่อนอื่นเจ้าต้องเข้าใจแนวคิดนี้ให้ชัดเจน นั่นคือ… เทพจันทราโลหิตอาศัยอยู่ และหลับใหลบนดวงจันทร์แดงซึ่งเป็นเทห์ฟากฟ้า ดวงดาว ดวงจันทร์ หรือวังสวรรค์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว!”

“ดังนั้น ถ้าเราต้องการที่จะกลืนกินเทพจันทราโลหิต เราต้องเข้าไปในสถานที่พำนักของเธอก่อน!”

“แต่ดวงจันทร์แดงอยู่บนท้องฟ้าถึงแม้ว่ามันจะเป็นไปตามวิถีที่แน่นอน แต่ก็ยากที่จะติดตามว่าอยู่ที่ไหน แม้ว่าเราจะเห็นมัน แต่การเข้าใกล้นั้นยาก”

“อย่างไรก็ตาม มันแตกต่างออกไปในภูมิภาคจันทร์บวงสรวง มีรูปปั้นที่น่าตกตะลึงบนที่ราบสำนึกบาปกลางภูมิภาคนี้!”

เมื่อพูดถึงรูปปั้นนี้ การแสดงออกของกัปตันค่อนข้างแปลก เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกและความคิดถึง

เมื่อเห็นสิ่งนี้ซูฉินก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“รูปปั้นนี้สูงอย่างไม่น่าเชื่อ แม้จะอยู่ในท่าคุกเข่าสำนึกบาปก็ตาม ดูเหมือนว่าจะค้ำจุนฟ้าดิน ความสูงของมันท้าทายสวรรค์ ราวกับว่ามันเข้าใกล้จุดสูงสุดของท้องฟ้าอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้”

“ทุกครั้งที่ดวงจันทร์แดงเคลื่อนผ่านจุดนั้นตามวิถีของมัน มันจะเคลื่อนที่ผ่านยอดศีรษะของรูปปั้นไป เมื่อยืนอยู่บนยอดรูปปั้น ดวงจันทร์แดงจึงดูเหมือนเกือบจะเอื้อมถึงได้ ตำแหน่งนั้นคือจุดที่ดวงจันทร์แดงลอยต่ำสุดด้วย ข้อมูลที่ข้ารวบรวมมา ทำให้ข้ามั่นใจในเรื่องนี้”

“เพราะฉะนั้น ทันทีที่ดวงจันทร์แดงเคลื่อนผ่านไป เราก็สามารถกระโดด เต็มกำลัง และก้าวไปบนนั้นได้”

จากนั้นกัปตันก็หยิบลูกพีชออกมา หลังจากกัดแล้วเขาก็มองไปที่ซูฉิน

“สำหรับสิ่งที่เราจะทำหลังจากก้าวเข้าสู่ดวงจันทร์แดง ข้าได้เตรียมการ และวางแผนไว้แล้ว เทพจันทราโลหิต… ครั้งนี้ข้าจะกลืนกินเธออย่างแน่นอน!”

ดวงตาของกัปตันแดงก่ำด้วยความบ้าคลั่ง

การไตร่ตรองปรากฏขึ้นในดวงตาของซูฉินขณะที่เขาถาม

“พี่ชาย ตัวตนของรูปปั้นนี้?”

เมื่อกัปตันได้ยินดังนั้น เขาก็เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เขาโยนลูกพีชไปให้ซูฉินอย่างจงใจ และพูดด้วยเสียงแหบแห้ง

“รูปปั้นนั้นเป็นผู้ว่าการที่ปฏิเสธที่จะออกไปพร้อมกับจักรพรรดิโบราณหยิงหวง ภูมิภาคจันทร์บวงสรวงเดิมที่คืออาณาเขตของเขา!”

“เขาและเทพจันทราโลหิตมีการต่อสู้ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในตอนนั้น สุดท้ายเขาก็ตายในสนามรบ อย่างไรก็ตามควรมีความขุ่นเคืองอื่นๆ ระหว่างเขากับ เทพจันทราโลหิต ดังนั้นเธอจึงสาปแช่งร่างของเขาให้หมอบลงชั่วนิรันดร์ และเปลี่ยนดินแดนของเขาให้กลายเป็นทุ่งปุศสัตว์”

“หลังจากนั้น นานๆ ครั้ง เมื่อสิ่งมีชีวิตในภูมิภาคจันทร์บวงสรวงเติบโตเต็มที่ เทพจันทราโลหิตจะมากลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือผู้ฝึกฝน ล้วนเป็นอาหาร”

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกฝน เธอจะกินพวกเขาตามฐานการบ่มเพาะของพวกเขา โดยเริ่มจากระดับสูงสุด คนแรกที่ถูกกลืนกินคือพวกที่อยู่ในขอบเขตเทียมสวรรค์ การดำรงอยู่ของคำสาปยังหมายความว่าทุกชีวิตที่เกิดในภูมิภาคจันทร์บวงสรวง ไม่สามารถออกไปได้แม้แต่ก้าวเดียวตลอดชีวิตของพวกเขา การฝ่าฝืนกฎนี้จะส่งผลให้เสียชีวิตทันที”

“ดังนั้น ผู้ฝึกฝนในภูมิภาคจันทร์บวงสรวงล้วนตกอยู่ในความเจ็บปวดและ ความขัดแย้ง จุดสิ้นสุดของการบ่มเพาะคือความตาย อย่างไรก็ตามการอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายนั้น หากพวกเขาไม่ฝึกฝน มันจะยากมากสำหรับพวกเขาที่จะมีชีวิตอยู่ได้นาน มันจึงกลายเป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

น้ำเสียงของกัปตันเข้มขึ้นในขณะที่เขากัดลูกพีชอย่างดุเดือด

“ท้ายที่สุดแล้ว ภูมิภาคจันทร์บวงสรวงยังขาดดวงอาทิตย์ที่แท้จริง มีเพียงแหล่งกำเนิดแสงประดิษฐ์และเปลวไฟที่ปะทุประปรายเท่านั้นที่ส่องสว่างทั่วทั้งอาณาจักร แต่พวกมันกลับก่อให้เกิดอันตรายอันใหญ่หลวงเช่นกัน”

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่ายังมีผู้รับใช้ของเทพจันทราโลหิตอยู่ที่นั่นด้วย และกำลังต้อนผู้คนให้เธออยู่ ดังนั้น ในความคิดของสมาชิกระดับสูงหลายเผ่าพันธุ์ ภูมิภาคจันทร์บวงสรวงนี้จึงถูกเรียกว่า ‘กรงขังวิญญาณ’”

ซูฉินยังคงเงียบ จากข้อมูลที่เขาพบก่อนหน้านี้ เขาสามารถจินตนาการถึงความทุกข์ยากภายในอาณาเขตของภูมิภาคจันทร์บวงสรวง และเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ที่นั่นต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไร

ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ จิตใจของพวกเขาถูกผลักดันจนถึงขีดจำกัดอย่างไม่ต้องสงสัย โดยดึงแง่มุมที่เลวร้ายที่สุดตามธรรมชาติของพวกเขาออกมาจนถึงขีดสุด

“นรกบนดิน” ซูฉินพึมพำ ขณะที่เขากำลังจะกัดลูกพีชในมือ กัปตันก็เงยหน้าขึ้น และมองดูซูฉิน ด้วยความประหลาดใจ

“ทำไมเจ้าถึงมีลูกพีช”

“เจ้าให้ข้า”

ซูฉินรู้สึกประหลาดใจ

กัปตันรีบเอามันกลับไป และวางแอปเปิ้ลไว้ในมือของซูฉิน

ซูฉินเหลือบมองกัปตันแล้วกัดแอปเปิ้ล จากนั้นเขาก็คิดถึงไฟสวรรค์ และถาม

“ไฟสวรรค์ ทะเลเพลิงนั่นน่ะเหรอ? ข้าไม่ได้สนใจสถานที่นั้นมากนัก แต่ข้าได้รวบรวมข้อมูลที่กระจัดกระจายมาบ้างแล้ว” กัปตันพูด เขาใช้เวลาสักครู่เพื่อจัดระเบียบความคิดของเขาในใจ

“ว่ากันว่าทะเลเพลิงนั้นที่เกิดจากรอยแยกบนท้องฟ้านั้นมีมาตั้งแต่ยุคโบราณ เดิมทีมันมีขนาดเล็ก แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ”

“น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามีอะไรอยู่ในรอยแยก เผ่าพันธุ์ต่างๆ มากมายได้พยายามสำรวจมันมานานนับปี แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครประสบความสำเร็จ สิ่งที่เรารู้ก็คือ มันเหมือนกับดินแดนแห่งไฟที่ไม่มีที่สิ้นสุด และการเข้าไปในนั้นหมายถึงความตายอย่างแน่นอน”

“น้องชาย เจ้ากำลังวางแผนที่จะไปที่ทะเลเพลิงสวรรค์หรือเปล่า?” กัปตันถามด้วยความสงสัย

ซูฉินพยักหน้า

“อย่างนั้นก็สะดวก.. ตามการอนุมานของข้า แม้ว่าดวงจันทร์แดงใกล้ถึงที่หมายแล้ว แต่มันก็ยังมีเวลาอยู่ และสำหรับเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ ข้ายังต้องเตรียมการบางอย่างภายในภูมิภาคจันทร์บวงสรวง”

“ด้วยเหตุนี้ เราจะมีความมั่นใจมากขึ้นเมื่อดวงจันทร์แดงมาถึง ดังนั้นเจ้าจึงยังมีเวลาเหลือเฟือ เราจะจากไปอย่างเงียบๆ ในอีกไม่กี่วันนี้ เจ้าจงมุ่งความสนใจไปที่งานของเจ้า แล้วข้าจะเตรียมการเพื่อจัดการเรื่องอื่นๆ ให้เรียบร้อย แล้วไปพบกันที่ภูเขากระทิงสวรรค์”

ขณะที่กัปตันพูด เขาก็หยิบแผนที่ของภูมิภาคจันทร์บวงสรวงออกมา และชี้ไปที่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง

“เป็นยังไงแผนของข้า? น้องชาย เจ้าจะไปกับข้าเหรือไม่?”

การหายใจของซูฉินเร็วขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พยักหน้า

“เราจะออกเดินทางก่อน ส่วนที่ว่าเราจะลงมือหรือไม่ ค่อยมาตัดสินใจกันหลังจาก ดูสถานการณ์แล้ว อีกอย่างพี่ใหญ่ เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลย เจ้าเคยทำสิ่งนี้มาก่อนหรือไม่” ซูฉินมองไปที่กัปตัน

กัปตันไอและยกนิ้วของเขาที่อยู่บนแผนที่ขึ้นมา แตะอีกครั้ง

“คิดให้ดีเกี่ยวกับชื่อของภูเขาลูกนี้”

“ภูเขากระทิงสวรรค์?” การแสดงออกของซูฉินนั้นแปลกจากเดิม

( ***ชื่อของกัปตัน ‘หนิว’ แปลว่า กระทิง, วัว )

กัปตันดูร่าเริง

“นั่นคือภูเขาที่ข้าตั้งชื่อเอาไว้ ไม่คิดว่าจะถูกส่งต่อมายังคนรุ่นหลัง เสี่ยวฉิน ภายในภูเขานั้นมีศพของข้าจากยุคหนึ่งอยู่”

“ตอนนั้นโชคไม่เข้าข้างข้า ข้าล้มเหลวในการกลืนกินเทพเจ้า ทั้งหมดเป็นเพราะเพื่อนร่วมทีมของข้าในตอนนั้นใช้การไม่ได้ แม้ว่าข้าจะสามารถหลบหนีได้ แต่ข้าก็เหลือเวลาไม่มาก”

“เหตุผลที่ข้าบอกว่าให้ไปพบกันที่นั่นเพราะข้าจะพาเจ้าไปปล้นสุสานก่อน”

ซูฉินติดอยู่ระหว่างเสียงหัวเราะและน้ำตา

“ปล้นสุสานของตัวเจ้าเองเหรอ?”

กัปตันยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความดีใจ

“แค่คิดเรื่องแบบนี้ก็น่าตื่นเต้นแล้ว นอกจากนี้นี่ยังเป็นหนึ่งในการเตรียมการสำหรับการกลืนกินเทพจันทราโลหิต”

เช่นเดียวกับนั้น กัปตันได้พูดคุยรายละเอียดบางอย่างกับซูฉิน พวกเขาทั้งสองยืนยันทุกอย่าง และตัดสินใจออกเดินทางภายในสามวัน ส่วนเรื่องการจากไปก็มีความเข้าใจตรงกัน

ตัวตนของซูฉินมีความพิเศษเล็กน้อย หากเขาออกจากเขตเฟิงไห่อาจมีอันตรายซ่อนอยู่ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคืออย่าให้ใครรู้ว่าเขาออกไป

ดังนั้น ซูฉินจึงบอกเพียงอาจารย์และจื่อซวนเท่านั้น ทั้งสองไม่เห็นด้วยใน ตอนแรก แต่สุดท้ายก็ยังตกลงกันโดยปริยาย อย่างไรก็ตาม พวกเขามอบสมบัติของป้องกันบางอย่างให้กับซูฉิน

หลังจากนั้น ซูฉินได้ประกาศต่อสาธารณชนว่าเขากำลังจะเข้าสู่ความสันโดษ

ก่อนที่เขาจะแยกตัวออกไป เขาได้เดินทางไปยังบ้านของจางซานอีกฝ่ายได้ย้ายมายังเมืองหลวงของเขตเฟิงไห่พร้อมกับเจ็ดเนตรโลหิต ในช่วงเวลานี้เขาได้สร้าง เรือเดินสมุทรสำหรับซูฉินจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว

หลังจากที่ซูฉินรับมันไป เขาก็หายไปจากสายตาของทุกคน

เวลาผ่านไป และหนึ่งเดือนผ่านไป

ทุกอย่างในเขตเฟิงไห่เป็นปกติ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ การก่อสร้างนิกายฉินซวนก็เสร็จสมบูรณ์เช่นกัน ภายใต้การดูแลของจื่อซวน ทุกอย่างเป็นระเบียบ และเริ่มพัฒนาอย่างเหมาะสม

สำหรับเขตเฟิงไห่ หลังจากที่เหตุการณ์สำคัญทั้งหมดยุติลง พวกเขาก็สามารถพักผ่อน และเข้าสู่ช่วงเวลาที่มั่นคงได้

ขณะที่ผู้อาวุโสเจ็ดและผู้นำตระกูลเหยาคอยดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการแสดงพลังของเทียมสวรรค์ขั้นสี่ของผู้นำตระกูลเหยา เผ่าพันธุ์ต่างๆ ในเขตเฟิงไห่ก็เงียบเสียงลง

ในขณะนั้นที่ขอบด้านตะวันตกของภูมิภาคเสียงสวรรค์ ขบวนรถม้ากำลังแล่นไปตามถนนอย่างเป็นทางการ

นี่คือคาราวานจากหน่วยคุ้มกันของเผ่าเสียงสวรรค์ นอกเหนือจากงานราชการแล้ว พวกเขายังรับงานส่วนตัวด้วย โดยพาพ่อค้าที่เดินทางไปยังอาณาจักรเล็กๆ ยางแห่งใกล้แม่น้ำสังเวยหยิน

ในขบวนรถ มีเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีที่มีกระทั่วหน้ากำลังนั่งอยู่บน รถม้าอย่างทำอะไรไม่ถูก เขาถือสายบังเหียนเหมือนคนขับรถม้า บางครั้งลากจูงอย่างอ่อนแรง และตะโกนด้วยเสียงแหบแห้ง

มันคือหนิงหยาง

ข้างๆ เขาคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่มือไพล่หลัง ศีรษะเชิดขึ้น มองไปในระยะไกลด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

แสงแดดดูเหมือนจะเพิ่มออร่าให้กับร่างกายของเขา เผยให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์

“จ้าวแห่งแดนมนุษย์มาถึงแล้ว พร้อมเสียงกลองและฆ้องต้อนรับเขาจากฟ้าดิน!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนิงหยางก็รู้สึกรำคาญมาก เสียงตะโกนจะกลายเป็นกลอง และฆ้องได้อย่างไร? เขาเริ่มเบื่อหน่ายกับคนที่อยู่ข้างๆ ซึ่งท่องบทกวีไร้สาระตลอดการเดินทาง

เขาจึงมองไปด้านข้างแล้วพึมพำ

“เจ้ากำลังทำบ้าอะไร!”

เมื่ออู๋เจี้ยนหวู่ได้ยินสิ่งนี้ เขาก็จ้องมองมา และเปิดเผยความดูถูกในขณะที่เขาพูดอย่างใจเย็น

“สายลมที่ส่งเสียงกรอบแกรบ ไก่และเป็ดส่งเสียงร้อง และเมื่อมองใกล้ๆ ก็เป็นแค่เด็ก!”

หนิงหยางจ้องมองด้วยความโกรธ

อู๋เจี้ยนหวู่จ้องมองอย่างภาคภูมิใจ

ในขณะนั้น เสียงจากสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่กระตือรือร้นของกัปตันก็ดังออกมาจากรถม้า

“บทกวีนี้ไม่เลว และมีเสน่ห์ที่คงอยู่ของจักรพรรดิโบราณ สมกับเป็นผู้ถูกเลือกจากสวรรค์ของยอดเขาที่หนึ่งของเจ็ดเนตรโลหิต สมเป็นผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรพรรดิโบราณหยิงหวง มาฟังบทกวีอีกบทกันเถอะ!”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ อู๋เจี้ยนหวู่ก็รู้สึกตื่นเต้นและยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกัน หนิงหยางก็กลอกตาของเขา ลดศีรษะลงอย่างเงียบ ๆ และระบายความคับข้องใจด้วยการสะบัดสายบังเหียนในมืออย่างแรง

ในรถม้า ซูฉินมองออกไปข้างนอก ซูฉินคาดหวังไว้อยู่แล้วว่ากัปตันจะนำหนิงหยางออกมา แต่ทำไมอู๋เจี้ยนหวู่จึงอยู่ที่นี่ด้วย สิ่งนี้ทำให้เขาสับสนเล็กน้อย

ในขณะนี้ หลิงเอ๋อโผล่ออกมาข้างหูของซูฉิน มองไปที่กัปตัน

กัปตันขยิบตาให้หลิงเอ๋อ และกระซิบกับซูฉิน

“เรามาเกลี้ยกล่อมคนโง่คนนั้นก่อน เขามีประโยชน์มากในแผนของข้า!”

จากนั้นกัปตันก็ประกาศ

“จากนี้ไป พวกเราสองสามคนคือทีมโจรปล้นจันทร์ พี่น้อง เรามาทำให้ดีที่สุด กันเถอะ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!