ตอนที่ 8
คืนที่ปู่หลานนั่งคุยกัน
กลางดึก ในกระโจมของกองทัพ มู่ซงกับมู่เกอกำลังมองกันไปมาสักพัก มู่ซงก็กระแอมเบาๆ แล้วถามอย่างระมัดระวัง “เกอเอ๋อร์ รู้จักกับท่านมหาปราชญ์รึ? ”
ผีสิถึงจะรู้จักไอ้ถ้ำมองนั่น!
มู่เกอปฏิเสธอย่างเดือดดาลในใจ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาทางสีหน้า เธอยังจำใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของท่านปู่ตอนที่คนผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมาได้
“ไม่รู้จัก” มู่เกอตอบนิ่งๆ
“ไม่รู้จักรึ?” มู่ซงไม่เชื่อ “หากไม่รู้จัก เขาจะรู้ชื่อเจ้าได้อย่างไร แล้วยังให้ยาวิเศษที่ทำให้เจ้าหายเป็นปลิดทิ้งได้แบบนี้มาอีก”
มู่เกอเงียบ
เธอจะไปรู้ได้ไงว่าไอ้เจ้าบ้านั่นเป็นบ้าอะไร ต่อหน้าสาธารณะชนกลับใช้คำเรียกขานที่ชวนขนลุกขนพองแบบนั้นมาเรียกเธอ แล้วยังดีดยาวิเศษประกายสีม่วงลงมาเข้าปากเธอจากเกี้ยวต่อหน้าทุกคนอีก
ตอนที่ยานั่นเข้าไปในปากก็ละลายทันที เธออยากคายก็คายไม่ออก จากนั้น บาดแผลของเธอก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าทึ่ง รอยแผลที่แทบจะแยกไม่ออกว่าอันไหนเลือดอันไหนเนื้อก็ประสานเป็นเหมือน
เดิมทันตาเห็น แล้ว ระหว่างที่เธอกำลังตะลึง เขาก็พูดออกมา
อย่างไม่อายฟ้าอายดิน———
“ดูแลตัวเองดีๆ ถ้าเจ้าบาดเจ็บอีก ข้าคงจะปวดใจ ”
ปวดใจ ปวดใจกับผีสิ! เราสนิทกันมากรึไง?
สุดท้าย ก็พูดอย่างเมตตากับบรรดาฝูงชนว่า
“ พอดีข้าผ่านแคว้นฉินมาโดยบังเอิญ เห็นว่าทิวทัศน์
กำลังงดงาม จึงหยุดพักอยู่ชั่วครู่ ได้ยินมาว่า ดอกมู่ตานที่ลั่วตูไม่เลวเลย ไว้วันหลังข้าจะแวะไปเป็นแขกที่จวนตระกูลมู่”
จากนั้นก็ลอยจากไปอย่างนุ่มนวล
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้ปรากฏกายออกมาให้ใครเห็นแม้แต่น้อย
“เรื่องที่ท่านมหาปราชญ์บอกว่าจะมาจวนตระกูลมู่ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จแค่ไหน ” มู่ซงพึมพำเหมือนคิดอะไรอยู่
มู่เกอยิ้มมุมปาก เธอกลับคิดว่า คำพูดที่ไอ้เจ้านั้นพูดทิ้งท้ายไว้นั่น เหมือนต้องการจะพูดให้ฉินจิ่นห้าวฟังมากกว่า ศักดิ์ฐานะของตระกูลมู่ในแคว้นฉิน มู่ชิงเกอเล่าให้เธอฟังมาไม่น้อย ครั้งนี้ที่เจอกับมู่ซง และท่าทีที่แสดงออกของรุ่ยอ๋อง ก็ทำให้เธอพอจะเดาอะไรออกได้หลายส่วน
เธอรู้สึกว่า ไอ้เจ้านั่นเหมือนจะรู้ตื้นลึกหนาบางของตระกูลมู่ในแคว้นฉินดี จึงจงใจพูดแบบนั้นเพื่อให้ฮ่องเต้ฉินเกิดความเกรงกลัวแต่ว่า ทำไมเขาต้องทำแบบนั้น ดูอย่างไรเขาก็ไม่เหมือนพวกคนดีที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเลยสักนิด
ตระกูลมู่ เกี่ยวข้องอะไรกับเขา?
“เกอเอ๋อร์” เสียงของมู่ซงขัดจังหวะความคิดของมู่เกอ
เธอเงยหน้าขึ้นมองมู่ซง มู่ซงเขกแรงๆ ที่หน้าผากของเธอจนแดง “คิดอะไรอยู่ ปู่พูดอยู่ยังจะเหม่อลอยอีก”
มู่เกอนวดหน้าผากด้วยความเจ็บแล้วตอบ “ไม่มีอะไร”
“ถ้าอย่างนั้น เมื่อกี้ข้าพูดว่าอะไร เจ้าได้ยินไหม? ”
“ไม่” มู่เกอตอบความจริง
คำตอบห้วนๆ ง่ายๆ นี้ ทำเอามู่ซงหมดอารมณ์ที่จะโกรธ ทำได้แค่ยอมพูดใหม่อีกครั้ง “ถ้าท่านมหาปราชญ์โปรดปรานเจ้าจริงๆ เจ้าก็ควรจะคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้มั่น เจ้าไม่สามารถฝึกฝนพลังได้ แต่ถ้าได้รับการ
ปกป้องจากเหล่าทหาร และมีองค์มหาปราชญ์เป็นที่พึ่ง ถ้าวันหนึ่งข้าไม่อยู่แล้ว ก็จะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้า”
เอ่อ!
มู่เกออึ้ง ไม่คิดว่ามู่ซงจะคิดแบบนี้
ชาติที่แล้ว เธอชินกับการพึ่งตัวเอง ชาตินี้ มู่ซงกลับวางแผนแทนเธอ คิดให้เธอทุกอย่าง ทำให้จิตใจที่เดิมแข็งกระด้างของเธอ เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
เธอไม่ได้ตอบมู่ซง แต่มู่เกอกลับถามอีกคำถามที่เธอสนใจมากกว่า “มหาปราชญ์เป็นผู้ใดกัน ทำไมทุกคนถึงทำท่าเหมือนหวาดกลัวเขานัก”
มู่ซงถอนหายใจ มือใหญ่ลูบหัวมู่เกอแล้วเล่าให้เธอฟังว่า “องค์มหาปราชญ์ เป็นราชาสูงสุดอันดับหนึ่งเพียงหนึ่งเดียวของแผ่นดินหลินชวน ตามตำนานกล่าวขานกันว่า เขามีชีวิตอยู่ตั้งแต่ตอนที่อาณาจักรเซิ่ง หยวนเริ่มก่อตั้งขึ้นแล้ว จนถึงบัดนี้ พันปีผ่านไป อาณาจักรเซิ่งหยวนเปลี่ยนฮ่องเต้ไปพระองค์แล้วพระองค์เล่า แต่มหาปราชญ์นั้นกลับมีเพียงแค่ผู้เดียว เขาไม่ใช่เจ้าแผ่นดินแต่เป็นยิ่งกว่าเจ้าแผ่นดิน เป็นผู้ที่แม้กระทั่งองค์ฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเซิ่งหยวนก็ไม่กล้าขัด”
“อยู่มาพันปี! ถ้าอย่างนั้นก็เป็นตัวประหลาดเฒ่าที่พันปีผ่านมาก็ยังไม่ตายน่ะสิ!” มู่เกอพูดด้วยความตกใจ ยากที่จะเชื่อมระหว่างผู้สูงส่งงดงามนั่นกับตัวประหลาดอมตะนี้เข้าด้วยกันได้
“เจ้าจะตกใจขนาดนี้ทำไมกัน?” มู่ซงเขกหัวมู่เกออีกครั้งแต่มู่เกอกลับหลบทัน
“แต่ว่า เพราะเจ้าฝึกฝนพลังไม่ได้ ถ้าจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้ก็สมควรอยู่” มู่ซงพูดต่อ“ในการฝึกฝนเวทย์พลังของหลินชวนแบ่งเป็น 7 สี อันนี้เจ้ารู้อยู่แล้ว แบ่งเป็นแดง ส้ม เหลืองเขียว คราม น้ำเงินและม่วง ซึ่งสีแดงเป็นขั้นที่ต่ำสุด สีม่วงเก่งกาจที่สุด ในความเป็นจริงแล้วขอเพียงไม่เป็นผู้ที่ไม่อาจฝึกฝนพลังก็จะสามารถฝึกฝนเข้าไปยังขั้นพลังสีแดงได้อย่างง่ายดาย หากมีพรสวรรค์สักหน่อย ก็จะสามารถทะลวงชั้นพลังไปได้เรื่อยๆ ส่วนผู้ที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์ ก็ต้องวนเวียนอยู่ในชั้นพลังสีแดงต่อไป”
ในขณะที่มู่ซงพูด ก็สังเกตอาการของหลานชายไปด้วย เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้แสดงอาการเสียใจใดๆ ออกมา จึงพูดต่อ “ยิ่งเข้าใกล้ชั้นพลังสีม่วงก็จะฝึกยากขึ้นตามลำดับ เท่าที่ข้ารู้มา แคว้นฉินของเรา แคว้นถู
แคว้นอวี้ และแคว้นปาใกล้ๆ นี้ ยอดฝีมือที่สามารถฝึกถึงชั้นพลังสีม่วงได้นั้นแทบจะนับนิ้วได้ แคว้นฉินมีเพียงบรรพกษัตริย์เพียงองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถเหยียบเข้าสู่ชั้นพลังสีม่วงได้ เมื่อสามารถฝึกได้ถึงขั้นพลังสีม่วง อายุจะยืนขึ้นเป็นเท่าตัว คนธรรมดามีอายุอยู่ได้ถึง 102
หรือ 103 ปี แต่ยอดฝีมือชั้นสีม่วงจะมีอายุได้ราว 800 ถึง 900 ปี รูปโฉมก็จะอ่อนเยาว์ตลอดไป”
“ถ้าอย่างนั้น มหาปราชญ์ก็เป็นยอดฝีมือที่ทะลุขั้นพลังสีม่วงมาแล้วน่ะสิ” มู่เกอลูบคางตัวเอง เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
นึกถึงครั้งแรกที่พบกันไอ้เจ้านั่นทำให้เธอตกใจได้แสดงว่าต้องเป็นยอดฝีมือแน่นอน กระทั่งท่านปู่ที่เป็นยอดฝีมือขั้นสูงสีน้ำเงินเองก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของหนึ่งในลูกน้องทั้งสองคนของเขาได้
ในขณะนี้มู่เกอเองก็เข้าใจแล้ว ว่ายอดฝีมือระดับสูงชั้นน้ำเงิน และยังเป็นผู้ที่เหล่าทหารนับถือ สำหรับราชวงศ์ฉินนั้นมันหมายความว่าอย่างไร
มู่ซงพยักหน้า “มหาปราชญ์เป็นยอดฝีมือชั้นม่วงโดยไม่ต้องสงสัย ขนาดข้าเองก็สงสัยว่าท่านผู้เฒ่าผู้นี้คงจะผ่านชั้นสีม่วงมาตั้งนานแล้ว ต้องเข้าใจว่ามังกรพยัคฆ์วายุ 6 หางนี้ไม่ใช่ของผืนแผ่นดินนี้ ที่พวกเรารู้จักมันก็เพราะท่านมหาปราชญ์”
ทุกครั้งที่มู่ซงพูดว่าผู้เฒ่า มู่เกอก็รู้สึกตลกจบหุบยิ้มไม่ได้
“ท่านปู่ ทำไมข้าถึงไม่อาจฝึกฝนขั้นพลังได้” จู่ๆ มู่เกอก็เปลี่ยนเรื่อง วกเข้าเรื่องของตัวเอง
มู่ซงอึ้ง สีหน้าดูนิ่งไป แต่ก็แกล้งหัวเราะ พูดปลอบใจมู่เกอ “ไม่เป็นไร แม้ว่าเกอเอ๋อร์จะไม่สามารถฝึกฝนพลังได้ แต่ก็ยังเป็นหลานชายคนเล็กของตระกูลมู่ เป็นหย่งหนิงกงในอนาคต”
“ท่านปู่” มู่เกอขมวดคิ้ว เธอไม่ได้อยากฟังคำพูดพวกนี้ แต่ว่าอยากรู้เหตุผลที่ตัวเองไม่สามารถฝึกฝนพลังได้
แต่ว่ามู่ซงกลับไม่ยอมพูดเรื่องนี้ต่อ ตบไหล่เธอแล้วพูดว่า “เกอเอ๋อร์บางเรื่องมันถูกกำหนดมาแล้ว ก็ถือเสียว่าสวรรค์ลงโทษที่ปู่เข่นฆ่าสังหารผู้อื่นมาทั้งชีวิตก็แล้วกันนะ”
“…………” มู่เกอเงียบ
“จริงด้วย ไอ้สารเลวบ้านเหอนั่น ข้าจับมันขังไว้ที่จวน ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่ว่าเขาพูดจาเหลวไหลไร้สาระต่อหน้าเจ้า เจ้าก็คงจะไม่ต้องออกไปเสี่ยงอันตรายแบบนี้ แต่เมื่อกลับไปแล้วไม่ว่าเจ้าอยากจะระบายแค้นแค่ไหนแต่ก็ฆ่าเขาไม่ได้” จู่ๆ มู่ซงก็พูดขึ้น
มู่เกอก็อึ้ง ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ไม่ต้องอธิบายเธอก็รู้จักเจ้าคนแซ่เหอนี้ว่าเป็นคนที่ยุยงให้เธอมาลั่วรื่อ ตอนแรกเธอคิดว่าหลังจากกลับไปแล้ว จะไปแก้แค้นมันด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่ามู่ซงจะจับตัวเขาเอาไว้แล้ว
“เกอเอ๋อร์ เรื่องนี้ทำให้ปู่เสียใจมาก แต่การตัดสินใจของเจ้าในวันนี้ กลับทำให้ข้ารู้สึกภูมิใจ ผ่านเรื่องนี้มาได้ เจ้าเองก็เติบโตขึ้นมาก เอาเถอะ รีบพักผ่อนเสีย หลังจากกลับไปแล้วก็ไปมาหาสู่กับรุ่ยอ๋องให้น้อย
ลง ตระกูลมู่ของเราไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับเรื่องโสมมของพวกเชื้อพระวงศ์” พูดจบมู่ซงก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากกระโจมไป ทิ้งมู่เกอไว้คนเดียว
พอมู่ซงออกไป วิญญาณของมู่ชินเกอก็ปรากฏตัวขึ้น
ความจริงแล้วตั้งแต่ต้นจนจบนางก็อยู่ข้างกายมู่เกอมาโดยตลอด แต่ก็เป็นอย่างที่นางว่า นอกจากมู่เกอแล้วไม่มีผู้ใดที่สามารถมองเห็นนางได้
“เจ้าเหมือนคนตระกูลมู่มากกว่าข้าเสียอีก” มู่ชิงเกอมองไปยังทิศทางที่มู่ซงเดินจากไปแล้วพูดเสียงต่ำ
นางไม่อาจไม่ยอมรับว่า ตอนที่มู่เกอยอมรับการลงทัณฑ์และยังเพิ่มโทษให้ตนเองเพื่อไว้อาลัยให้กับวิญญาณของทหารกล้านั้น นางตกใจมาก
ตอนที่นางเห็นแววตาชื่นชมของท่านปู่ นางถึงเพิ่งตระหนักว่าการกระทำทั้งหมดที่ผ่านมาของนางนั้นมันผิดพลาดไปมากเพียงใด ทายาทของตระกูลมู่ ไม่ควรจะเป็นจอมเสเพลที่เอาแต่ตนเองเป็นใหญ่แต่ควรจะเป็นผู้ที่เย้ยฟ้าท้าดินเก่งกล้าไม่ท้อถอย แม้ว่าจะไม่สามารถฝึกฝนพลังได้และถูกกำหนดให้เป็นแค่คนไร้ประโยชน์ก็ตาม
“ท่านไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของเจ้า?” มู่เกอไม่ได้ต่อประเด็นที่มู่ชิงเกอพูด แต่เลิกคิ้วถามขึ้น
มู่ชิงเกอเงียบไปสักพักแล้วพูดว่า “ท่านปู่คิดว่าข้าเป็นหลานชายของตระกูลมู่มาโดยตลอด”