ตอนที่ 7
เกี้ยวมังกรพยัคฆ์วายุ มาสิ เสี่ยวเกอเอ๋อร์
เฆี่ยนสองร้อยที แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือขั้นพลังสีเขียวมาโดนเองก็คงจะปางตาย
แล้วมู่ชิงเกอล่ะเป็นใคร? ก็เป็นแค่คนไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงขั้นพลังสีเขียวเลย คนที่ขนาดขั้นพลังสีแดงขั้นต่ำสุดก็ยังไม่ได้ กลับกล้ามาพูดโอ้อวด ว่าจะยอมรับทัณฑ์แส้ถึงสองร้อยครั้ง ?
เขาบ้าไปแล้วหรือไร!
หรือว่าอยากจะใช้แผนรุกเพื่อถอย พยายามทำให้ท่านแม่ทัพสงสารจนยอมปล่อยเขาไป?
เวลานี้ ทุกคนต่างก็คิดไปต่างๆ นาๆ พากันคาดเดาเจตนาของมู่เกอ
สายตาที่มองขึ้น ไปบนแท่น บ้างก็ดูถูก บ้างก็เยาะเย้ย บ้างก็ฉงน และบ้างก็เมินเฉย
ขนาดสีหน้าของมู่ซงเองก็ยากที่จะคาดเดาได้ว่ารู้สึกอะไรอยู่ ราวกับกำลังใคร่ครวญว่าควรจะหยุดความบ้าคลั่งของมู่เกอดีไหม
ฉินจิ่นห้าวใบหน้านิ่งเฉย ดูไม่ออกว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ เขารู้แค่ว่ามู่ชิงเกอที่เขารู้จักไม่ใช่แบบนี้
“ลงแส้!” ผ่านไปเนิ่นนานแต่แส้ยังไม่ลงหลังสักที มู่เกอมองผู้ลงทัณฑ์ด้วยความไม่พอใจ
ฝ่ายหลังถูกสายตาโหดเหี้ยมของเธอวาดผ่าน ในใจก็ไม่กล้าต่อต้าน ชูแส้ในมือขึ้นสูง สะบัดฟาดลงบนแผ่นหลังเหยียดตรงของมู่เกอสุดแรง
ควับ———-!
“อึก”
เสียงแส้กลบเสียงลมหายใจสะดุดและเสียงกัดฟันของมู่เกอจนมิด
หลังจากที่แส้แรกฟาดลงไป เสื้อผ้าที่มู่เกอเพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ก็ฉีกออก โลหิตไหลซึมออกมารอบข้าง เงียบสงบสายตาทุกคู่พลันเปลี่ยนเป็นตกตะลึง
คิ้วที่ขมวดแน่นของมู่ซงคลายออก หมัดที่กำแน่นก็ปล่อยออกเช่นกัน แต่ในแววตามีความห่วงใยซ่อนอยู่ และคอยสังเกตอาการของมู่เกออย่างใกล้ชิด กลัวว่าเขาจะทนไม่ไหว
ฉินจิ่นห้าวเองก็แปลกใจ คิ้วขมวดน้อยๆ ท่าทางดื้อรั้นของมู่ชิงเกอ ทำให้เขารู้สึกรังเกียจมันทำให้เขานึกถึงตอนที่นางมาคอยพัวพันเขา แม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจให้เกิดก็ตามบนแท่น หลังจากที่ผู้ลงทัณฑ์หวดแส้แรกลงไปก็นิ่งอึ้ง ราวกับไม่รู้ว่าทำไมตนต้องหวดแส้ลงไปด้วย
“หยุดทำไม ตีต่อสิ!” จู่ๆ ก็หยุดตีไป ทำให้มู่เกอขมวดคิ้ว จะรับมือกับการทัณฑ์แบบนี้ ต้องให้ผ่านไปในอึดใจเดียว หากหยุดลงกลางคัน เกรงว่าจะต่อไม่ติดแล้ว การทำแบบนี้เป็นการใช้แรงใจล้วนๆ
ผู้ลงทัณฑ์มองไปยังมู่ซงที่นั่งประจำตำแหน่งประธาน หลังจากที่ท่านแม่ทัพพยักหน้า เขาจึงกัดฟันและยกแส้ขึ้นอีกครั้ง
ควับ———-!
ควับ ควับ————-!
ควับ———-!
แส้แล้วแส้เล่า ทุกเสียงแส้ที่หวดลงมาล้วนเข้าเนื้อ ไม่มีการเสแสร้งแม้แต่นิด
ไม่ช้า แผ่นหลังของมู่เกอก็เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดทิ่มแทงนัยน์ตาไหลลงมาตามเสื้อ เลือดและเศษเนื้อ หยดลงตรงข้างขาของเธอ แต่ว่า ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้มู่เกอไม่ร้องเลยสักแอะ และไม่ได้ขอให้ละเว้น
แผ่นหลังที่ยังคงยืดตรง ราวกับดาบวิเศษที่ตั้งตระหง่านขึ้น สู่ฟากฟ้าและกำลังรอคอยการลับคมอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งค่ายดัง ก้องไปด้วยเสียงแส้ที่สะท้อนไปมามือทั้งคู่ของมู่ซงกำแน่นอีกครั้งจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ จ้องมองเงาร่างผอมบางบนแท่นตาไม่กะพริบ
‘90……98……100……101……103……’
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ในใจของทหารทุกนายด้านล่างเริ่มนับจำนวนแส้ที่มู่เกอโดนเงียบๆ เด็กหนุ่มที่พวก
เขาดูถูก เจ้าหนุ่มจอมเสเพลที่ทำให้พี่น้องทหารที่จงรักษ์ทั้งห้าร้อยนายต้องตาย เจ้าคนไร้ค่าที่ไม่อาจจะฝึกฝนขั้นพลัง ยามนี้กลับยืนนิ่งไม่ขยับราวกับขาทั้งคู่ถูกตอกติดอยู่กับแท่น ทนรับทุกอย่างที่คนธรรมดาไม่อาจรับได้
เขาบอกว่าอีกหนึ่งร้อยทีที่เพิ่มเข้ามา ก็เพื่อไว้อาลัยให้วิญญาณทหารกล้าทั้งห้าร้อยนาย เขาใช้เลือดเนื้อของเขาเพื่อส่งทหารพวกนั้นไปสู่
สุขติ
ใช้การกระทำที่ไร้เสียงเป็นการยอมรับผิดต่อหน้าเหล่าทหาร
ฉินจิ่นห้าวแววตายากจะเข้าใจ แต่ก็ยากที่จะปิดบังสีหน้าตกตะลึงเอาไว้ได้ มองดูคนบนแท่น เขารู้สึกเหมือนตัวเองเข้าใจอะไรผิดไป ‘สายเลือดของตระกูลมู่ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังคงเป็นสายเลือดของตระกูลมู่งั้นสินะ แม้ว่าจะเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ แต่ก็ยังสามารเอา
ชนะใจเหล่าทหารได้! ’ มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำแน่น เสียงลั่นของกระดูกที่ดังออกมาไม่มีใครได้ทันสังเกต
“159…….168……..”จากที่นับอยู่เบาๆ กลายเป็นเสียงที่ดังชัดเจน
เสียงนับเลขที่พร้อมเพียงกัน ราวกับช่วยเพิ่มพลังให้กับมู่เกอ
มู่ซงเม้มปากแน่น มองจ้องไปยังเด็กหนุ่มบนแท่น ทั้งภูมิใจและเจ็บปวดใจ ในมือกำยาลูกกลอนฟื้นฟูพลังชั้นดีไว้ตลอดเวลา ยาเม็ดนี้สามารถช่วยคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้ ยาเม็ดนี้เขาได้มาเพราะความบังเอิญ ตอนนี้ก็แค่รอให้การลงทัณฑ์สิ้นสุดลง แล้วรีบให้มู่ชิงเกอกิน
เข้าไป เพื่อรักษาชีวิตของเขาเอาไว้
“199 200!”
เมื่อเสียงเฆี่ยนเงียบลง แส้ที่หยาบหนาเท่าข้อมือทารกเส้นนั้นกลับขาดสะบั้นเป็นสองท่อนในที่สุดท้าย
“คุณชาย!” ผู้ลงทัณฑ์หน้าเปลี่ยนสี คุกเข่าลงข้างเดียวลงบนพื้น เงยหน้าขึ้นมองมู่เกอที่ยังคงยืนตรง
“เสร็จแล้วหรือ?” มู่เกอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า น้ำเสียงเรียบเฉยเอ่ยถาม ราวกับว่าคนที่ได้รับการลงทัณฑ์นั้นไม่ใช่เธอ
“คุณชาย ครบทั้งสองร้อยครั้ง ไม่มีขาดแม้แต่ทีเดียว!”
เสียงที่ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันตอบกลับเธอ
มู่เกอรู้สึกว่าเงาคนดำมืดตรงหน้าหดเล็กลงไปหลายส่วน ความเจ็บปวดบริเวณแผ่นหลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งตัวนานแล้ว ทำให้เธอรู้สึกชาไปทั้งร่าง ไม่ขาดแม้แต่ทีเดียว
คำตอบนี้ ทำให้ริมฝีปากของมู่เกอโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ ภาพตรงหน้าค่อยๆ มืดลง แล้วล้มลงไป
“คุณชาย!” เหล่าทหารที่คุกเข่าอยู่เห็นมู่เกอล้มลงก็ตกใจ แทบจะพุ่งตัวขึ้นไปบนแท่น แต่ทว่า มีคนเร็วกว่าพวกเขา
แสงสีน้ำเงินวาบผ่าน มู่ซงยืนอยู่บนแท่นรับร่างของมู่เกอเอาไว้ได้ ป้อนยาเข้าปากของเธออย่างไม่ลังเลและใช้พลังในการละลายยาให้เธอ
“ท่านแม่ทัพ ขอให้ข้าน้อยเป็นองครักษ์ของคุณชายด้วยเถิด!”
“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยด้วย!”
“ข้าน้อยก็ด้วย!”
เสียงฝูงชน ทำให้ฉินจิ่นห้าวลุกขึ้นช้าๆ เขามองหนึ่งเด็กหนึ่งแก่ของตระกูลมู่ที่ถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าทหารของแคว้นฉินด้วยสายตาริษยา ใบหน้าเย็นชา อารมณ์แปรเปลี่ยนไปมา “ตระกูลมู่…….ตระกูลมู่………มู่ซง.…….มู่ชิงเกอ!”
“เอาล่ะ! เรื่ององครักษ์รอให้อาการบาดเจ็บของเกอเอ๋อร์หายดีก่อนแล้วค่อยหารือกันอีกที ตอนนี้แยกย้ายกันไปได้แล้ว” หลานสามารถทำให้ทหารทุกคนยอมรับในตัวหลานได้ มู่ซงดีใจมาก แต่เวลานี้ที่เขาเป็นห่วงคือบาดแผลของมู่ชิงเกอมากกว่า
ฮื้อ——–! กรรร์———-!
จู่ๆ บนท้องฟ้าก็มีเสียงคำรามของสัตว์ดังแว่วมา ขัดความกระตือรือร้นของเหล่าทหาร
ทุกคนต่างก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ขนาดมู่ซงและฉินจิ่นห้าวเองก็ไม่เว้น มู่ชิงเกอที่ถูกประคองอยู่ในอ้อมกอดของมู่ซงก็ลืมตาขึ้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาหรือเสียงคำรามจากบนท้องฟ้ากันแน่ เธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสดใสด้วยความอ่อนแรงพร้อมกับทุกคน
“นั่นมัน……”
บนท้องฟ้า มีจุดสีดำหลายจุดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ราวกับกำลังทะลุท้องฟ้ามา
“มันคือมังกรพยัคฆ์วายุ!” นัยน์ตาของมู่ซงเคร่งขรึมลง
ระหว่างที่พูด จุดสีดำนั่นก็ใกล้เข้ามาอีก และทำให้ฝูงชนบนพื้นมองเห็นชัดมันได้ชัดขึ้น
มังกรพยัคฆ์วายุ?
มู่เกอตาลาย แต่ก็ยังคงมองเห็นรูปร่างของสัตว์ประหลาด 9 ตัวนั้นที่กำลังลากเกี้ยวอันหรูหราผ่าท้องฟ้ามาราวกับหลุดออกมาจากจินตนาการ
สัตว์นั้น มีหัวเป็นมังกร แต่กลับมีร่างกายเป็นเสือดาว ทั่วทั้งลำตัวเป็นสีเขียว มีลวดลายจางๆ สีทอง ดูลึกลับสูงศักดิ บนหลังยังมีปีกที่บางราวปีกจั่กจั่นหลายชั้นกางอออก ทุกครั้งที่ขยับปีกก็ทำให้เกิดลมแรงราวกับ
พายุ กรงเล็บตะปบเหยียบเมฆพุ่งตรงมา ท่าทางคล่องแคล่วว่องไว เพียงแค่ก้าวเดียวก็ไปได้ไกลกว่าสิบจ้าง หางเสือนั้นเต็มไปด้วยหนามแหลมอันน่ากลัว แค่สะบัดก็สามารถแหวกท้องฟ้าออกจากกันได้ กล้ามเนื้อเต็มไปด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล เมื่อเทียบกับมังกรพยัคฆ์วายุแล้ว เกี้ยวหลังนั้นดูเรียบง่ายกว่ามาก เกี้ยวทั้งหลังเป็นสีดำประกายทองตกแต่งด้วยหัวสัตว์น่ากลัวแบบเดียวกัน ม่านสีดำปิดบังด้านในของเกี้ยวเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นข้างในได้
“เป็นมังกรพยัคฆ์วายุ 6 ปีก ผู้ที่สามารถใช้มังกรพยัคฆ์ในการลากรถทั้งหลินชวนนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น” ฉินจิ่นห้าวนำองครักษ์ของตนมายืนอยู่ตรงที่ว่างของค่ายนานแล้ว ยืนมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญพร้อมกับ
ทุกคน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและพลุ่งพล่าน แฝงไว้ด้วยความอิจฉาลึกๆ ‘หากวันหนึ่งเขาได้นั่งบนเกี้ยวหลังนั้นล่ะก็……..’
“มหาปราชญ์ผู้ซึ่งอยู่เคียงข้างองค์ฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเซิงหยวน! ” มู่ซงพูดด้วยความตกใจ
ผู้ที่อยู่เคียงข้างฮ่องเต้? มหาปราชญ์? อาณาจักรเซิงหยวน?
ทุกๆ คำที่พูดมา ล้วนแปลกประหลาดสำหรับมู่เกอ ขณะที่เธอกำลังฉงน คนรอบข้างกระทั่งมู่ซงและฉินจิ่นห้าวก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ทำความเคารพแขกที่มาจากฟากฟ้า————–
“น้อมต้อนรับองค์มหาปราชญ์!”
ร่างที่อ่อนแรงของมู่เกอพิงอยู่บนตัวของมู่ซง แม้ว่าไม่อยากก้มหัวให้ใคร แต่ก็ไม่อาจขัดขืนได้
มังกรพยัคฆ์วายุหยุดลงที่บนท้องฟ้าของกองทัพ
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง
ภายในเกี้ยวที่ถูกปิดเอาไว้ มีเสียงหนึ่งที่ทำให้มู่เกอขนตั้งชันดังแว่วออกมา “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ มาสิ”