Skip to content

พลิกปฐพี 6

ตอนที่ 6

ทัณฑ์เฆี่ยนด้วยแส้

ที่มู่ซงนำทหารออกจากเมืองในครั้งนี้ ก็เพื่อจะ

ตามหามู่ชิงเกอผู้ที่เป็นลูกหลานเพียงคนเดียวของตระกูลมู่

หลังจากเจอแล้ว เขาก็สั่งให้คนกางกระโจมเพื่อ

พักกองทัพก่อนที่จะเดินทางกลับ

ตอนนี้มู่เกอจึงค่อยรู้จากปากของมู่ชิงเกอว่า

สนามรบที่ตัวเองมาเกิดใหม่นั้น สรุปแล้วใครรบกับใครอยู่

ที่ราบลั่วรื่อ เป็นชายแดนทางตะวันออกของแคว้นฉิน

แต่ทว่า มันกลับไม่ใช่พื้นที่ของแคว้นฉิน เพราะ

แคว้นที่ติดกันนอกจากแคว้นฉินแล้ว ยังมีอีกสองแคว้น

แคว้นหนึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกของฉินชื่อแคว้นถู อีก

แคว้นอยู่ทางใต้ของฉินชื่อแคว้นอวี้ พื้นที่นี้จึงเป็นดั่งเขต

อิสระที่ซึ่งแคว้นใดก็ไม่อาจอ้างสิทธิ์

ครั้งนี้ แคว้นที่ทำสงครามกับฉินคือแคว้นถู

แคว้นถูชอบการทำสงคราม ประกอบกับแคว้น

ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของแผ่นดินหลินชวน เสบียง

อาหารจึงขาดแคลน ฉะนั้นทุกๆ ปีจึงมักจะทำสงคราม

รบพุ่งกับแคว้นฉินอยู่บ่อยครั้งเป็นอย่างนี้เรื่อยมา ความ

สัมพันธ์ของทั้งสองแคว้นจึงไม่ดีมาโดยตลอด

และนั่นก็เป็นสาเหตุของการก่อสงครามในทุกๆครั้ง……….

จริงๆ แล้ว เรื่องเกี่ยวกับแผนการเบื้องลึกเบื้อง

หลังของสงครามและจุดประสงค์ของการรบกันพวกนี้

คุณชายเสเพลอย่างมู่ชิงเกอจะไปรู้ได้อย่างไร?

ที่นางมาปรากฏตัวที่สนามรบ ก็เพราะว่าคน

สนิทของฉินจิ่นห้าวบอกกับนางว่า “ข้างกายรุ่ยอ๋องไม่

เก็บคนที่ไร้ประโยชน์ไว้” ประกอบกับคำยุยงจากคนรอบ

ข้าง คำเยาะเย้ยว่าจวนหย่งหนิงนั้นไร้ซึ่งคนมีฝีมือ เมื่อ

ได้ยินดังนั้น นางจึงนำทหารห้าร้อยนายออกไปทำ

สงครามด้วยความโมโห

คนในตระกูลมู่ ขอแค่เป็นทายาทสายตรง ต่างก็

มีองครักษ์เป็นของตัวเอง

ข้อปฏิบัติเดียวที่องครักษ์พวกนี้ต้องทำตามก็คือ

จงรักภักดีต่อผู้เป็นนาย ก็เหมือนองครักษ์ของมู่ชิงเกอที่

จะไม่มองข้ามคำสั่งนางไปทำตามคำสั่งมู่ซงเด็ดขาด

และเพราะความจงรักภักดีนี้ จึงทำให้ทหารพวกนี้ตายหมด

ถ้าตอนที่มู่ชิงเกอกำลังวู่วาม พวกเขาห้ามนาง

เอาไว้ หรือให้คนไปแจ้งแก่มู่ซง เรื่องทุกอย่างก็คงจะไม่

เกิดขึ้น แน่นอนว่ามู่เกอเองก็ไม่สามารถใช้ร่างนี้ในการ

คืนชีพใหม่ได้

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการตัดสินใจของมู่ชิงเกอ ถ้าจะคิดบัญชี ก็ไม่ควรคิดกับพวกเขา แต่ต้องไปหาผู้ที่ยุยงให้นางเข้าไปที่สนามรบนั่นต่างหาก

แต่ตอนนี้ สิ่งที่มู่เกอสงสัยคือ เมื่อมีคนยุยง แล้วกุญแจสำคัญของเรื่องนี้อย่างฉินจิ่นห้าวจะรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า?

มู่เกอมองดวงตาเรียวเล็กของมู่ชิงเกอ อย่าคิดนะว่าจะปิดเธอได้

“เจ้าชอบเขาหรือ?” มู่เกอที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพรมในกระโจม จู่ๆ ก็มองไปที่มู่ชิงเกอแล้วถามขึ้น

“อะไรนะ?” มู่ชิงเกอรีบหลบตา

มู่ซงยุ่งอยู่กับการกางกระโจม การลงมือทำด้วยตนเองเป็นความเคยชินที่บ่มเพาะมาจากในสนามรบ

ฉะนั้นตอนนี้ในกระโจมจึงเหลือมู่เกอเพียงคนเดียวที่นั่งพักอยู่

มู่เกอหรี่ตา โน้มตัวเข้าไปใกล้วิญญาณของมู่ชิงเกอ “เจ้ารักชื่นชมเชื้อพระวงศ์ โดยที่อยู่ในร่างผู้ชายแบบนี้ เกรงว่าที่ผ่านมาชีวิตคงไม่ราบรื่นนักใช่หรือไม่?”

มู่ชิงเกออึ้งไป ใบหน้าแม้จะโปร่งแสง แต่ก็มู่เกอก็มองออกว่าใบหน้านางดูซีดลง

มู่เกอยืดตัวกลับไปด้วยท่าทางเกียจคร้าน ใช้น้ำเสียงอันตรายพูดว่า “ตอนนี้ข้าต่างหากที่เป็นเจ้า ถ้าไม่อยากให้มู่ชิงเกอหายสาบสูญไปอีกครั้งทางที่ดีเจ้าจงเล่าเรื่องที่ปิดบังข้าเอาไว้ออกมาให้หมด”

มู่ชิงเกอเม้มปาก พูดนิ่งๆ ว่า “เดิมทีข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเจ้า”

“พูด” มู่เกอเงยหน้าขึ้น

……………

หลังจากธูปหมดไปครึ่งดอก ในกระโจมก็เงียบสงบ

“เสเพล ทารุณ โหดเหี้ยม อารมณ์ร้าย หยิ่งยโส และ…….รักร่วมเพศ? ดี ดีมาก! ” มู่เกอกัดฟัน สีหน้าย่ำแย่

เธอเข้ามาอยู่ในร่างของคนประเภทไหนกันเนี่ย

เมื่อก่อน เธอคิดว่าเป็นเพราะฐานะที่แท้จริงของมู่ชิงเกอ จึงจำต้องแสดงนิสัยเป็นคนเจ้าอารมณ์ไร้เหตุผล แต่กลับไม่คิดเลยว่านางจะทิ้งชื่อเสียงอันดีงามขนาดนี้เอาไว้ให้เธอ!

อย่างอื่นก็ช่างมันเถอะ แต่ชื่อเสียงเรื่องการเป็นรักร่วมเพศนี้…….การต้องมาเป็นแพะรับบาปแบบนี้

มัน………..

แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าฉินจิ่นห้าวนั้นเป็นคนร้ายลึก เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ จะไร้เดียงสาได้แค่ไหนกัน?

ในเมื่อความรักของคุณชายของตระกูลมู่ที่มีต่อท่านอ๋องรุ่ย ทุกคนต่างก็รู้กันดีอยู่ แต่ทำไมท่านอ๋องยังต้องจงใจเข้ามาใกล้ชิด ถ้าฟังจากที่มู่ชิงเกอเล่ามา ส่วนมากแล้วฉินจิ่นห้าวเป็นคนเริ่มก่อน

แม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงออกว่ารัก แต่ว่าสำหรับสาวน้อยที่จำเป็นต้องปิดบังฐานะที่แท้จริงของตัวเองแล้ว การเข้ามาใกล้ชิดโดยไม่หวังผลแบบนี้ก็ทำให้นางเกิดความคิดที่อยากจะพึ่งพิงเขา

“ข้าเป็นผู้ไร้พลัง เกิดมาก็ไม่อาจจะฝึกฝนพลังได้หากข้าไม่ทำตัวหยิ่งยโส ตระกูลมู่ก็คงจะมีแต่คนรังแก”

มู่ชิงเกอเหมือนกำลังแก้ตัวให้ตัวเอง แต่ว่า คำพูดนี้กลับทำให้มู่เกอหัวเราะเยาะ

“ตอนนี้เจ้าก็แค่พึ่งพาบุญบารมีของท่านปู่เจ้า แต่หากวันใดท่านปู่ไม่อยู่แล้ว เจ้าคิดว่าท่าทางหยิ่งยโสของเจ้าจะสามารถรักษาชื่อเสียงของจวนหย่งหนิงเอาไว้ได้งั้นรึ?”

“ข้ารู้” ใครจะคิดว่ามู่ชิงเกอกลับไม่โกรธเพราะคำดูถูกนั่น แต่กลับหลุบตาลง “ดังนั้นข้า……….”

ตึง——-!ตึง——-!ตึง——–!

จู่ๆ ก็มีเสียงกลองดังขึ้นตัดบทคำที่มู่ชิงเกอกำลังจะพูดออกมา

“เกิดอะไรขึ้น?” มู่เกอมองไปที่นอกกระโจมที่มีเสียงกลองดังมาเลิกคิ้วถามขึ้น

มู่ชิงเกอกัดริมฝีปาก “เป็นเสียงกลองรวมพลของทหาร ต้องเป็นคำสั่งของท่านปู่แน่ๆ”

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง มู่เกอก็เห็นผ้าคลุมกระโจมถูกคนข้างนอกเลิกขึ้นทหารสองนายสวมเสื้อเกราะสีหน้าเคร่งเครียดปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธอ มู่เกอเลิกคิ้วขึ้นสูงอีกครั้ง ไม่ได้เอ่ยปาก

“เรียนคุณชาย ท่านแม่ทัพให้มาเรียนเชิญขอรับ” ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน

ในกองทัพ พวกเขายังคงเคยชินในการเรียกขานมู่ซงว่าท่านแม่ทัพ

มู่เกอเลียริมฝีปาก ลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปปัดตามเสื้อที่ยับเล็กน้อย แล้วเดินตัวตรงออกจากกระโจมไป

ฝีเท้าก้าวอย่างมั่นคง ยืดอกตัวตรง ราวกับว่าแม้ข้างหน้าจะมีภูเขาดาบทะเลเพลิง ก็ไม่อาจจะทำให้เธอแม้แต่จะขมวดคิ้วได้

ทหารสองนายที่ได้รับคำสั่งมองตากัน ในดวงตาต่างก็ฉายแววประหลาดใจ คนตรงหน้า ดูไม่เหมือนคุณชายที่พวกเขาคุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย

คุณชายไม่ต่อต้าน ทั้งยังเดินออกมาเองอีก?

ทหารทั้งสองนายคิดในใจอย่างโมโหว่า ‘คุณชาย ท่านต้องชี้หน้าด่าพวกข้าก่อนหนึ่งยกหลังจากนั้นก็เตะอีกสองที ให้พวกข้าคุกเข่าขอขมาต่อหน้าท่าน ถึงจะค่อยฝืนใจยอมยรุยาตรออกมาไม่ใช่หรือ? ท่านเดินมาอย่างสบายอารมณ์แบบนี้ มันผิดปกติไม่ใช่รึไง? หา!’

น่าเสียดายที่มู่เกอไม่อาจได้ยินเสียงความคิดของทั้งสองได้ เธอเดินตรงไปตามเสียงกลองและคิดว่ามู่ซงกำลังเตรียมจะทำอะไรกันแน่

เดินเข้ามาทีละก้าวทีละก้าว สายตาของมู่เกอก็ยิ่งเป็นประกายขึ้นเรื่อยๆ

แค่ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม พื้นที่ราบเรียบในตอนแรกก็กลับมีค่ายทหารที่เป็นระเบียบเรียบร้อยผุดขึ้นมา ทุกนายต่างยืนประจำที่เตรียมพร้อม เห็นได้ชัดว่าความสามารถในการนำทัพของมู่ซงนั้นไม่ใช่การโอ้อวดแน่นอน

กลองของทัพทหารตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ว่าง

นอกกระโจมกลาง มู่ซงนั่งอยู่บนแท่นสูงประจำตำแหน่งประธาน ทางด้านขวามือคือรุ่ยอ๋องฉินจิ่นห้าว ทหารที่ติดตามท่านแม่ทัพมาก็แบ่งออกเป็นสองฝั่งซ้ายขวา

ไม่เพียงเท่านี้ นายทหารธรรมดาก็ยืนเรียงแถวกันอย่างเงียบเชียบไม่เปล่งเสียงใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย

มู่เกอกวาดตามองครู่หนึ่ง แล้วหยุดสายตาลงตรงแท่นสูงที่สร้างขึ้น เพื่อมู่ซง

บอกว่าเป็นแท่นสูง แต่ก็สูงจากพื้นขึ้นมาเพียงแค่สามฉื่อเท่านั้น

แต่บนแท่นสูงกลับมีเสาอยู่สองต้น บนตัวเสามีตะปูตรึงวงเหล็กไว้สองวงแยกกัน บนแท่นสูง ยังมีชายคนหนึ่งยืนอยู่ มัดกล้ามตึงแน่น เขายืนเอามือไพล่หลัง ในมือถือแส้ยาวหนาหยาบขนาดเท่าข้อมือเด็กทารกเอาไว้เส้นหนึ่ง สีหน้าเย็นชา

มู่เกอคิ้วกระตุก เริ่มเกิดลางสังหรณ์เลวร้ายบางอย่างขึ้น

“มู่ชิงเกอ ยังไม่คุกเข่าลงอีก!” มู่ซงพลันตวาดขึ้น

ทำให้มู่เกอหันกลับมามอง

“เพราะเหตุใด?” ใบหน้าเล็กๆ ที่งดงามแต่ดูอ่อนเยาว์ของมู่เกอไร้ซึ่งความรู้สึกหวาดกลัวใดๆ เพียงมองมู่ซงนิ่งๆ ร่างผอมบางยืนตัวตรงราวกับกระบี่ ท่าทางแม้ไม่หยิ่งยโสแต่ก็ไม่ยอมอ่อนข้อ

มู่ซงทำตาดุ แต่กลับรู้สึกชื่นชมในท่าทีของหลานชาย “หึ! เจ้าแอบหนีออกนอกเมืองโดยพลการ เข้าไปในสนามรบ ทำให้ทหารทั้งห้าร้อยนายผู้บริสุทธิ์ต้องมาสละชีวิต ยังไม่รู้ความผิดอีกรึ?”

มู่ซงเป็นคนรักทหารในบังคับบัญชา ทหารใต้บัญชาของเขาทุกนายก็เปรียบเสมือนลูกหลาน เขาจะลงโทษมู่ชิงเกอ ไม่ใช่เพราะต้องการแสดงละคร แต่มู่ชิงเกอจะต้องมีคำอธิบายให้กับทหารเหล่านั้น เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับเหล่าทหารที่ตายไป และที่สำคัญกว่านั้น คือเขาอยากให้มู่ชิงเกอเข้าใจว่าผลตอบแทนของการเอาแต่ใจเป็นอย่างไร

คำพูดนั้นแทรกมาด้วยพลังวัตร ทำให้มู่เกอตกตะลึงเลือดลมติดขัด

แต่ว่า เธอกลับไม่โกรธแม้แต่นิด และไม่ได้โต้ตอบ

เธอเงียบ

แต่ฉินจิ่นห้าวที่นั่งอยู่ทางขวามือของมู่ซงกลับเอ่ยปากขึ้นมาว่า “นายท่านผู้เฒ่า ทหารทั้งห้าร้อยนายยอมสละชีวิตอย่างกล้าหาญที่ลั่วรื่อ ชิงเกอเองก็คงเสียใจมาก ตอนนี้เขาเพิ่งจะรอดพ้นจากอันตรายมา ขอ

ให้นายท่านผู้เฒ่าลงโทษแค่เพียงสถานเบาเถิด”

พูดจบ เขาก็มองไปทางมู่ชิงเกอ แต่ทว่า กลับไม่เห็นสายตาแห่งความซาบซึ้งใจและความรักอย่างที่คาดไว้ในตอนแรก

ฉินจิ่นห้าวอึ้ง กดความเดียดฉันท์เอาไว้ในใจ มือที่วางอยู่บนที่เท้าแขนค่อยๆ บีบเข้าหากัน รู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังหลุดออกจากการควบคุมของตน

มู่ซงมองฉินจิ่นห้าวแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองมู่เกอแล้วถามว่า “มู่ชิงเกอ เจ้าก็คิดว่าควรจะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปเช่นนี้หรือ?” คำพูดนี้ซ่อนความตึงเครียดเอาไว้ ราวกับกลัวว่าคำตอบของหลานจะทำให้เขาต้องผิดหวัง ทำให้เหล่าทหารหมดความนับถือ

หลานของตระกูลมู่เป็นผู้ไร้พลังนั้น ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่สามารถทำให้เหล่าทหารยอมรับได้ แม้วันหนึ่งที่เขาตายไป หลายชายก็คงสามารถปกป้องตัวเองได้ แต่ว่า………..

“ท่านปู่คิดว่าจะลงโทษอย่างไร?” มู่เกอถามกลับนิ่งๆ สำหรับคำขอร้องของฉินจิ่นจ้าวแล้ว เธอทำเหมือนกับไม่ได้ยิน

“เฆี่ยนด้วยแส้ หนึ่งร้อยที” มู่ซงตอบ

คำตอบนี้ ทำให้ทุกคนเหลือบมองด้วยหางตาราวกับกำลังคาดเดาว่าแผ่นหลังบางๆ ของมู่ชิงเกอจะสามารถรับการลงทัณฑ์โดยการเฆี่ยนด้วยแส้ทั้งหนึ่งร้อยทีนี้ได้หรือไม่?

มู่เกอเม้มปาก หันกายไม่กล่าวอะไร ก้าวเท้ายาวๆ เดินขึ้นไปที่เสาลงทัณฑ์บนแท่นสูง

ทุกคนเงียบ ขนาดคนมากแผนการอย่างฉินจิ่นห้าวก็ยังรอดูว่าเธอจะทำอะไรต่อไป

มู่เกอขึ้นไปบนแท่นสูง ไม่ได้ยืนอยู่ระหว่างเสาทั้งสองต้น แต่กลับหันหน้าเข้าหาทหารทุกผู้ที่อยู่ด้านล่าง ยืนเอามือไพล่หลัง พูดกับคนลงทัณฑ์อย่างเรียบเฉยว่า “ท่านแม่ทัพลงโทษข้าหนึ่งร้อยที ข้าขอเพิ่มอีก

หนึ่งร้อย เพื่อไว้อาลัยให้กับวิญญาณทหารกล้าทั้งห้าร้อยนาย! ตี !”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version