Skip to content

พลิกปฐพี 970

ตอนที่ 970

ตอนพิเศษ 11

สายที่ไม่คาดคิด!

หลี่ซิวหยวนตามมู่ชิงเกอเข้าไปในห้องหนังสือ

ตอนที่ผ่านห้องรับแขกชั้นหนึ่ง เขาก็มองซือมั่วสองพ่อลูกที่แสดงท่าทาง ‘บิดาเมตตา บุตรกตัญญู’ ตามจิตใต้สำนึก มุมปากยกยิ้มที่ไม่น่ามองอย่างถึงที่สุดออกมา

ซือมั่วรู้ว่ามู่ชิงเกอต้องการพูดคุยกับหลี่ซิวหยวนลำพัง จึงรู้จักวางตัวไม่ได้รบกวนอีก เห็นรอยยิ้มที่น่าอึดอัดเล็กน้อยของหลี่ซิวหยวน เขาก็ใช้เพียงรอยยิ้มที่สง่างามราวกับสายฝนในฤดูใบไม้ผลิคลาย สถานการณ์

“นั่งสิ” เมื่อเข้าห้องหนังสือแล้ว มู่ชิงเกอก็ชี้โซฟาที่ใช้ต้อนรับแขกในห้อง กล่าวกับหลี่ซิวหยวน

หลี่ซิวหยวนเดินตามเข้าไป นั่งลงบนโซฟาที่มู่ชิงเกอชี้ หลังจากที่มู่ชิงเกอรินนํ้าให้เขาแล้ว ก็นั่งลงตรงข้าม

โซฟาที่อ่อนนุ่ม สบายอย่างถึงที่สุด แผ่นหลังทั้งแผ่นของมู่ชิงเกอต่างก็จมลงไปในโซฟา นางจัดท่านั่งให้ตัวเองนั่งสบายขึ้น จากนั้นจึงกล่าวกับหลี่ซิวหยวน “อยากถามอะไร ถามมาได้เลย”

เอ่อ…

หลี่ซิวหยวนไอเบาๆ อย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกสองครั้ง ก่อนจะมา เขามีคำถามที่อยากถามให้แน่ชัดอยู่เต็มหัว

แต่ว่า เมื่อพบมู่ชิงเกอแล้วจริงๆ ภายใต้สีหน้าที่สุขุมเช่นนี้ของเธอ จู่ๆ เขากลับไม่รู้ว่าควรจะถามอะไรบ้าง

“ไม่รู้ว่าจะถามอะไรเหรอ” มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว กล่าวอย่างหยอกล้อ

หลี่ซิวหยวนตะลึงงัน เบิกตาโตอย่างไร้เดียงสาพลางพยักหน้า

มู่ชิงเกอยิ้ม ริมฝีปากสีแดงยกยิ้มเล็กน้อย เผยฟันที่ขาวเปล่งปลั่งออกมา “งั้นให้ฉันพูดแล้วกัน”

นางเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า สายตาแน่นิ่ง ราวกับว่า …นางเองก็กำลังรำลึกถึงฉากๆ นั้นในตอนแรก

“…หนึ่งปีก่อน ฉันได้รับภารกิจพิเศษ ต้องไปประเทศอื่นเพื่อขโมยงานวิจัยวิทยาศาสตร์ล่าสุด ตอนแรกฉันคิดว่า นี่คือภารกิจธรรมดาๆ แต่ คิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังภารกิจนี้จะซ่อนแผนร้ายที่พุ่งเป้ามาที่ฉัน” นึกถึง ระเบิดครั้งนั้น แววตาของมู่ชิงเกอก็มีความเย็นยะเยือกรวมตัวกันหลายส่วน

“แผนร้าย! มีคนคิดจะทำร้ายเธอเหรอ” หลี่ซิวหยวนราวกับถูกเหยียบเท้า ลุก ‘พรวด’ ขึ้นมา น้ำเสียงตกใจ

มู่ชิงเกอเหลือบตาขึ้นมองเขา สีหน้าโกรธแค้นบนใบหน้าเขา ไม่เหมือนเสแสร้ง แต่คือความเป็นห่วงจากใจจริง มีศัตรูคู่แค้นร่วมกับนาง มิตรภาพเช่นนี้ทำให้ในใจนางอบอุ่นเล็กน้อย นางยิ้ม “เรื่องผ่านมานานแล้ว ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น”

“จะไม่ตกใจได้ไง ใครต้องการทำร้ายเธอกันแน่ แล้วก็…แล้วก็…” น้ำเสียงที่โกรธแค้นของหลี่ซิวหยวน พลันติดอ่างขึ้นมา

เขามองมู่ชิงเกอ แววตาซับซ้อน

ความรู้สึกต่างๆ ล้วนผสมเข้าด้วยกัน ทำให้เขาไม่สามารถพูดคำพูดท่อนหลังออกมาได้ เพียงแค่รู้สึกว่าลำคอตนถูกอุดไว้จนอึดอัด

“แล้วก็ ฉันตายในแผนการร้ายครั้งนั้นจริงๆ ใช่ไหม” มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจ พูดสิ่งที่เขาอยากพูดแต่กลับไม่ยอมพูดออกมา

หลี่ซิวหยวนสั่นไปทั่วร่าง ทั้งตัวคล้ายถูกสูบกำลังวังชาออกไปจนหมด ล้มลงบนโซฟา

เครื่องหน้าที่หล่อเหลาของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย ก้มหน้าลง ศอกทั้งคู่คํ้าอยู่บนต้นขา ซุกหน้าลงระหว่างฝ่ามือทั้งคู่ นิ้วมือที่เรียวยาวจิกเข้าไปในเส้นผม

ข้อต่อนิ้วของเขาขาวซีด ทำให้มู่ชิงเกอสัมผัสได้ว่าความรู้สึกของเขาในตอนนี้พังทลายเล็กน้อย

“ฉันยอมรับเรื่องที่เธอพลีชีพเพื่อชาติได้อย่างไรซะเธอก็เป็นทหาร นี่คือภารกิจที่ต้องทำ แต่ว่าฉันยอมรับว่าการตายของเธอคือแผนการร้ายไม่ได้ ไม่ว่าแผนการร้ายครั้งนี้จะมาจากประเทศ หรือมาจากคน ฉันก็ให้อภัยไม่ได้” หลี่ซิวหยวนใช้นํ้าเสียงที่ตํ่าลึก กล่าวช้าๆ

ตอนที่เขาพูดจบ เงยหน้าขึ้นมาจากฝ่ามือทั้งคู่ บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยคราบนํ้าตา

มู่ชิงเกอตกตะลึง นิ่งงันแล้ว

นางไม่เคยเห็นหลี่ซิวหยวนร้องไห้มาก่อน แม้ว่าจะเป็นตอนที่เขาถูกจับเรียกค่าไถ่ก็สามารถพูดคุยหัวเราะได้ไม่มีทางร้องไห้เพราะหวาดกลัวและต้องเผชิญหน้ากับการขู่ฆ่า

แต่ว่าตอนนี้…

ในดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอ แปรเปลี่ยนราวกับสายลม

นางสัมผัสได้ว่า น้ำตาของหลี่ซิวหยวน กลํ้ากลืนแทนนาง โกรธแค้นแทนนาง รู้สึกเสียดายแทนนาง

นึกถึงเมื่อก่อน ชายผู้นี้เคยพูดจากึ่งล้อเล่นหลายครั้ง บอกให้นางปลดประจำการ ตอนที่บอกนางว่าอาชีพของนางอันตรายเกินไป ในแววตาก็มักจะมีความเป็นห่วงรางๆ ซ่อนอยู่

‘บางที หลังจากที่รู้จักกันแล้ว ชายคนนี้ก็คงจะข้ามผ่านวันคืนที่อกสั่นขวัญแขวนมาไม่น้อยเหมือนกัน’ ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็ตระหนักขึ้นมาในใจ

นางยื่นมือออกไป ดึงกระดาษหนึ่งแผ่นออกมาจากกล่องใส่กระดาษทิชชูบนโต๊ะ โน้มตัวส่งไปข้างหน้าหลี่ซิวหยวน “เป็นผู้ชาย มีอะไรให้ต้องร้องไห้”

หลี่ซิวหยวนทำตาขวางใส่นาง รับกระดาษทิชชู่จากมือนาง เช็ดลวกๆ ลงบนหน้าตน อารมณ์ที่สูญเสียการควบคุมกลับคืนเป็นปกติแล้ว

“นี่เป็นแผนร้ายที่มีคนพุ่งเป้ามาที่ฉันส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่วางแผนทำร้ายฉันก็ไม่ได้ตายดี ตอนที่ฉันตาย ก็ลากเขาลงนรกไปพร้อมกัน” มู่ชิงเกออธิบายอย่างเรียบง่าย ดวงตาที่ใส กระจ่างคู่นั้น มีความเคียดแค้นที่เย็นเยียบแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“เป็นใครกันแน่” หลี่ซิวหยวนกัดฟันถาม

ทว่ามู่ชิงเกอกลับอมยิ้มส่ายหน้า “คนก็ตายไปแล้ว ทำไมจะต้องเอ่ยถึงเขาอีก”

“บอกฉันมา ฉันจะขุดรากถอนโคนตระกูลเขาสิบแปดชั่วโคตร!” หลี่ซิวหยวนกล่าวอย่างเดือดดาล

“พรืด!” มู่ชิงเกอถูกท่าทีของเขาหยอกเย้าจนที่สุด หัวเราะท่าทางเคืองแค้นแทนนางของหลี่ซิวหยวน เหมือนเจ้าอ้วนแซ่เซ่าอย่างยิ่งจริงๆ

มู่ชิงเกอใจลอยเล็กน้อย เพื่อนสนิทตรงหน้ากับเงาร่างอ้วนท้วนที่มีมุมเจ้าสำราญ ไปเที่ยวหอโคมเขียวกับนางผู้นั้นที่เมืองลั่วตูแคว้นฉินในความทรงจำค่อยๆ ซ้อนทับกัน

แน่นอน หลี่ซิวหยวนกับเจ้าอ้วนแซ่เซ่าไม่ใช่คนคนเดียวกัน แต่ว่าความจริงใจส่วนนั้นที่พวกเขามีต่อนาง เหมือนกัน

“สุสานบรรพบุรุษตระกูลเขา…เกรงว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้แล้ว” มู่ชิงเกอกล่าวอย่างหยอกล้อ

หลี่ซิวหยวนบ่นพึมพำระบายอารมณ์ “ฉันรู้ว่าเธอกลัวฉันก่อเรื่อง เลยไม่ยอมบอกฉัน”

มู่ชิงเกอส่ายหน้ายิ้มเบาๆ “ไม่ได้กลัวนายทำเรื่องนอกกรอบอะไรจริงๆ เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ สำหรับฉันก็ผ่านมาเป็นร้อยปีแล้ว ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจแล้วจริงๆ”

ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่ใช่แผนร้ายนั้น นางจะตายแล้วคืนชีพ สร้างชีวิตใหม่ของตนบนแผ่นดินต่างภพ รู้จักคนทุกคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตนางได้อย่างไร

‘‘ร้อยปีเหรอ” หลี่ซิวหยวนมองมู่ชิงเกอด้วยความตกใจ

มู่ชิงเกอพยักหน้า “สำหรับนายแล้ว มู่เกออาจจะพลีชีพไปแค่หนึ่งปี แต่สำหรับฉัน กลับใช้เวลาไปร้อยปีแล้ว”

ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็เล่าเรื่องที่ตนสิงร่าง กลายเป็นคุณชายไร้ประโยชน์อย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุให้หลี่ซิวหยวนฟังอย่างสั้นๆ

เรื่องเล่าเรื่องนี้ยาวอย่างยิ่ง แม้ว่ามู่ชิงเกอจะตั้งใจย่อเหตุการณ์จำนวนมากก็ไม่ได้ลงรายละเอียด หลังจากที่นางเล่าจบ ก็เข้าช่วงเที่ยงของวันแล้ว

เล่าเรื่องมากว่าสี่ชั่วโมงเต็มๆ ทำให้มู่ชิงเกอมีความรู้สึกกระหายน้ำ นางยกน้ำเปล่าที่เย็นอยู่นานแล้วบนโต๊ะขึ้นดื่ม ความรู้สึกนั้นก็คลายลง

สีหน้าของหลี่ซิวหยวน ในขณะที่มู่ชิงเกอเล่าเรื่อง เปลี่ยนจนไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไรแล้ว ตกตะลึง ‘เรื่องเล่า’ ของมู่ชิงเกอ หรือว่าถูกอดีตที่เพ้อฝันนี้ทำให้งงงันไปแล้ว ก็มิอาจรู้ได้

มู่ชิงเกอเหลือบตามองเขาปราดหนึ่ง ไม่ได้รบกวนหลี่ซิวหยวนที่แข็งเป็นหิน รอเขาได้สติกลับมาเอง

ผ่านไปนานอย่างยิ่ง หลี่ซิวหยวนจึงปิดปากที่อ้าค้างมาเนิ่นนานของตนลงด้วยความยากลำบาก

แข็งทื่อมานานอย่างยิ่ง ขากรรไกรก็เกิดความรู้สึกเหมือนข้อต่อเลื่อน เขายกมือลูบคางของตน หลังจากที่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแล้ว จึงถามอย่างระแวดระวัง “เธอแน่ใจหรือว่าไม่ได้ฝันไป”

พูดจบ เขาก็ขมวดคิ้วจมอยู่ในความคิด กล่าวกับตัวเอง “หรือว่า ความจริงแล้วเธอยังไม่ตาย แต่ถูกคนช่วยไว้ แต่ว่าอย่างไรเสียอาการ บาดเจ็บที่ระเบิดส่งผลต่อร่างกายก็สาหัสเกินไปจริงๆ เธอเลยตกอยู่ในสติที่เลอะเลือนเป็นเวลานาน ใช่แล้ว เธอสติเลอะเลือนอยู่หนึ่งปีเต็มๆ ช่วงนี้ เพิ่งจะได้สติกลับมา และในระยะเวลาหนึ่งปีนี้ เธอก็ฝันพิลึกกึกกือแบบนี้!”

“หลี่ซิวหยวน นายรู้จักหลอกตัวเองแล้วยังหลอกคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่” มู่ชิงเกอขัดจังหวะที่เขาพึมพำกับตัวเอง นางรู้ว่าคำพูดของนางยากจะทำให้คนเชื่ออย่างยิ่ง แต่นี่ก็คือความจริง

ถ้าหากไม่ใช่ว่านางเผชิญมาด้วยตัวเอง คนอื่นบอกนางว่า นอกดาวโลกยังมีโลกต่างๆ นานาดำรงอยู่ นางเองก็คงแค่นเสียงขึ้นจมูก คิดว่าคนคนนั้นเป็นโรคประสาท

หลี่ซิวหยวนถูกนางตะโกนเรียก ปากก็หยุดชะงัก ไม่พูดพึมพำกับตัวเองอีก แต่ว่าบนใบหน้า กลับเผยรอยยิ้มเจื่อนออกมา

ใช่แล้ว! หลอกตัวเองแล้วยังหลอกคนอื่น

หากเป็นเพียงแค่ความฝันจริงๆ เหตุการณ์จำนวนมากก็คงไม่มีทางอธิบายได้ทั้งยังรวมถึง… พ่อลูกคู่นั้นที่อยู่ชั้นล่าง

เขาเพียงแค่…

เพียงแค่…

เพียงแค่ช่วงเวลากะทันทัน รับเรื่องนี้ไม่ค่อยได้ก็เท่านั้นเอง สิ่งที่ทำให้เขายิ่งเสียใจก็คือ ช่วงเวลาต่างๆ มากมายเช่นนั้นที่มู่ชิงเกอต้องเผชิญหน้า เขากลับไม่อาจปกป้องอยู่ข้างกายนางได้

“โลกใบนี้ มีหลายด้านที่แตกต่างกันจำนวนมากจริงเหรอ” เขาเอน หลังพิงพนักโซฟาอย่างห่อเหี่ยว ถามเสียงพึมพำ

เพราะคำพูดของมู่ชิงเกอ โลกทัศน์ทั้งหมดของเขาจึงถูกพังทลาย มู่ชิงเกอเม้มปาก จากนั้นจึงกล่าวตอบ “ตอนแรก ฉันก็ไม่อยากเชื่อ แต่ว่า ท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็จำใจต้องเชื่อ ในโลกใบนั้น จักรวาลที่ฉันเข้าใจและพิสูจน์ได้ ก็คือต้นไม้หนึ่งต้น ลำต้นของต้นไม้ก็คือโลกใบหลัก และเป็นบ่อเกิดของโลกทั้งหมด ส่วนกิ่งไม้ใบไม้ที่งอกออกมาจากลำต้น เหล่านั้นก็ไม่เหมือนกันเลย มีจักรวาลขนาดใหญ่ จักรวาลขนาดเล็ก หลากหลายขนาด รวมถึงโลกมนุษย์อีกล้านๆ แห่ง”

“ดังนั้นจึงพูดได้ว่า…ตอนนี้เธอเป็นเทพเหรอ” หลี่ซิวหยวนมองนาง กล่าวถามเสียงตํ่า

เทพหรือ

มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว

นางยิ้ม ความหมายแฝงในรอยยิ้มทำให้คนมองไม่ออก คิดไม่ตก นางกล่าว “เทพ เป็นเพียงทฤษฎีความสัมพันธ์สำหรับคนอ่อนแอแล้ว ใครที่มีความสามารถเหนือคนทั่วไปต่างก็เรียกได้ว่าเทพ แต่ว่าจากมุมมองของฉัน ไม่ว่าจะเป็นโลกใบไหน ต่อให้จะอยู่ในโลกใบหลักก็ไม่มีความแตกต่างระหว่างเทพกับคนธรรมดา มีเพียงการแบ่งความแข็งแกร่งและความอ่อนแอ ต่อให้โลกจะไม่เหมือนกัน แต่กฎเกณฑ์การเล่นก็เหมือนกันหมด นั้นก็คือปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้รอดชีวิตคือยอดฝีมือ ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือ โลกบางโลกปรากฎเห็นเด่นชัด โลกบางโลกกลับลึบลับอย่างถึงที่สุด”

คำพูดนี้ทำให้หลี่ซิวหยวนตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง

ในใจเขายอบรับตัวตนของมู่ชิงเกออยู่นานแล้ว นางก็คือมู่เกอ แต่ว่า ตอนนี้ เขากลับรู้สึกว่ามู่เกอผู้นี้ ต่างจากมู่เกอคนนั้นที่เขารู้จัก ในคำพูดของนาง แฝงความหมายจำนวนหนึ่ง ราวกับว่าแฝง…หลักเหตุผลไว้

เมื่อตระหนักถึงคำพูดนี้อย่างละเอียด หลี่ซิวหยวนก็จำใจต้องยอมรับ นี่คือเรื่องจริง

เหมือนบอกว่าโลกในปัจจุบันนี้ยุคสมัยที่ดูเหมือนทันสมัยนี้ เบื้องหลังความทันสมัย ก็ซ่อนกฎเกณฑ์การเล่นที่ไม่เคยเปลี่ยนมากว่าล้านล้านปีเช่นเดียวกัน

ทรัพยากรมีจำกัด คิดอยากจะใช้ชีวิตที่ดีกว่าเก่าก็ทำได้เพียงแย่งชิงอย่างสุดชีวิต

ความแตกต่างเป็นเพียงวิธีที่ต่างกันไปในแต่ละคนก็เท่านั้นเอง

หลี่ซิวหยวนถอนหายใจ หลุดยิ้มกล่าว “ถ้ามีโอกาส ฉันอยากไปดูโลกอื่นบ้างจริงๆ”

คำพูดนี้ของเขา ยากจะแยกแยะจริงเท็จ

ทว่า มู่ชิงเกอกลับยิ้มกล่าว “ทะลุมิติไปต่างภพ ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกอย่างนั้น หากวันหนึ่ง นายมีโอกาสได้ไปจริงๆ ด้วยความสามารถนายแล้ว ฉันเชื่อว่านายจะใช้ชีวิตได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นอิสระเหมือนกัน”

ทะลุมิติต่างภพ ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกอย่างนั้น

ประโยคเรียบง่ายเพียงนี้ แฝงความเป็นความตายที่มู่ชิงเกอผ่านพ้นมากี่ครั้ง หากมีครั้งหนึ่งที่จิตใจของนางไม่ได้แน่วแน่อย่างนั้น ไม่ได้พยายามอย่างนั้น นางก็คงจะกลายเป็นเถ้ากระดูกไปนานแล้ว ไม่มี โอกาสได้นั่งอยู่ที่นี่พูดคุยสนุกสนานกับหลี่ซิวหยวนอย่างสิ้นเชิง

“ถูกต้อง!” คำพูดของมู่ชิงเกอ ทำให้หลี่ซิวหยวนหน้าบานเป็นกระด้ง เพื่อนของมู่ชิงเกอ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยขาดความทะนงตน เหมือนกับนาง

เจ้าอ้วนแซ่เซ่าก็ด้วย เจียงหลีก็ด้วย หลี่ซิวหยวนก็เหมือนกัน อีกทั้งคนอื่นๆ ก็ล้วนเป็นบุตรผู้ภาคภูมิของสวรรค์และมีความทะนงตนเป็นของตัวเองทั้งหมด

“อย่างนั้นเธอกลับมาครั้งนี้ ตั้งใจมาเยี่ยมฉันหรือ” หลี่ซิวหยวน มองด้วยสีหน้าคาดหวัง

แต่มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้าตามความจริงภายใต้สีหน้าคาดหวังทั้งใบของเขา

“ก่อนมา ฉันไม่รู้พิกัดดาวโลก และไม่รู้ว่าเวลาของโลกแต่ละใบไม่เท่ากัน ตอนแรกฉันต้องการหาคนๆ หนึ่งบนโลกในมหาสมทุรดวงดาว แต่บังเอิญผ่านดาวโลก เลยตัดสินใจลงมาดูชั่วคราว”

“หาคนเหรอ หาใครล่ะ” แม้ว่าในใจจะผิดหวัง แต่หลี่ชิวหยวนก็ยังคงถามด้วยความสงสัย

คำถามนี้ทำให้สีหน้าของมู่ชิงเกอดำดิ่งเล็กน้อย สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน เห็นนางมีท่าทีเช่นนี้ หลี่ซิวหยวนก็เก็บท่าทางเย้าแหย่ลง

“หาคนที่สำคัญกับฉันมาก ต่อให้จะต้องเดินทางไปยังโลกทั้งหมด ฉันก็ต้องหาเธอให้เจอ พาเธอกลับบ้าน” มู่ชิงเกอกล่าวเสียงตํ่า

“ดูท่าแล้วคงจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าสำราญใจอย่างนั้น” หลี่ซิวหยวน มองสีหน้าของนาง พึมพำหนึ่งประโยค

เขาเข้าใจมู่ชิงเกอ รู้ว่านางเป็นคนที่ไม่เก่งในด้านความรู้สึกมากนัก การฝึกของกองทัพที่เย็นชา ทำให้นางเคยชินกับการใช้ชีวิตตามหลักเหตุผลที่เต็มไปด้วยคำสั่ง แต่กลับลดด้านความรู้สึกของนางลง

ตอนนั้น เขาใช้ประสบการณ์มากมายเท่าไร จึงจะเดินเข้าไปในโลกของนาง กลายเป็นเพื่อนที่นางเชื่อใจได้

เพราะว่าเป็นเช่นนี้ เขาจึงรู้ดีว่า มู่เกอคือคนที่ไม่อ่อนไหวต่อความรู้สึกง่ายๆ แต่เมื่อเชื่อใจใครสักคนหนึ่งแล้ว ก็จะเก็บมาใส่ใจ ไม่อาจทอดทิ้งได้ตลอดกาล

“เธอจะต้องหาเจอแน่นอน” หลี่ซิวหยวนกล่าวปลอบ

ดวงตามู่ชิงเกอกวาดพยับเมฆครึ้มออกไปจนหมด ยิ้มกล่าว “แน่นอน! ฉันเชื่อว่าเธอจะต้องรอฉันอยู่ ฉันเชื่อว่าตัวเองจะต้องหาเธอเจอ”

“อย่างนั้นเธอวางแผนจะอยู่ต่ออีกนานเท่าไหร่” หลี่ชิวหยวนถาม อย่างพะว้าพะวงในใจเล็กน้อย

เขาหวังอย่างเห็นแก่ตัวว่า ครั้งนี้มู่ชิงเกอจะอยู่ต่อได้นานอีกหน่อย เพราะเขารู้ว่าหลังจากกันไปครั้งนี้แล้ว เกรงว่าทั้งชีวิตของเขา คงยากจะได้เจอ…เพื่อนคนนี้อีกครั้ง

คำถามนี้ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว นางกล่าว “เวลาของแต่ละโลก เดินไม่เท่ากัน ตอนนี้ฉันก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าโลกใบนั้นที่เธออยู่ เวลาเดินเร็วหรือช้า ฉันอยู่ต่อนานไม่ได้ อย่างมากที่สุดหนึ่งสัปดาห์ฉันก็ต้องไปแล้ว”

“หนึ่งสัปดาห์เหรอ!” ในดวงตาหลี่ซิวหยวนเต็มไปด้วยความอ้างว้าง

ช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์สั้นเกินไปจริงๆ สั้นจนเขาไม่อาจใช้วางแผนได้ว่าจะข้ามผ่านเวลาช่วงนี้ไปได้อย่างไร

แต่ว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้หลังจากที่หลี่ซิวหยวนรู้การวางแผนเวลาของมู่ชิงเกอแล้วก็ยังล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า โทรหาเลขาของตนทันที

เลขาที่กำลังทานข้าวเที่ยงตอนเที่ยง เมื่อเห็นโทรศัพท์ดังก็ตกใจ จนกลืนข้าวในปากที่ยังไม่ทันได้เคี้ยวลงไปทั้งคำ

เมื่อรับโทรศัพท์หลี่ซิวหยวนก็ไม่รอให้ฝ่ายตรงข้ามตอบสนอง กล่าวทันที “ยกเลิกตารางทั้งหมดในสัปดาห์หน้า ต่อให้บริษัทจะล้มละลายก็อย่ารบกวนฉันเด็ดขาด”

“นายคะ! การประชุมวันนี้เลื่อนไปแล้วหนึ่งครั้ง จะเลื่อนอีกเหรอคะ” เสียงที่ขมขื่นของเลขาดังออกมาจากโทรศัพท์

“ฉันไม่สน เธอจัดการเอง จัดการไม่ได้ก็เก็บข้าวของออกไปซะ” หลี่ซิวหยวนแค่นเสียงหนึ่งครา วางโทรศัพท์ดัง ‘ปัง’

มู่ชิงเกอมองการกระทำทั้งหมดนี้ของเขาอยู่เงียบๆ รู้ว่าเขาพาลใส่คนอื่นเล็กน้อย ควรจะพูดว่า กำลังระบายอารมณ์ เขาไม่อยากให้ตนจากไปเร็วเพียงนี้

แต่ว่า…

มู่ชิงเกอถอนหายใจ ความจริงแล้ว หากไม่ใช่บังเอิญเจอหลี่ซิวหยวนพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันออกเดินทางของพวกเขาสามคนครอบครัว

“หลี่ซิวหยวน บนโลกใบนี้ ฉันเป็นคนที่ตายไปแล้ว” มู่ชิงเกอกล่าวโน้มน้าว

หลี่ซิวหยวนหัวเราะเสียงเจื่อน “ฉันใช้เวลาหนึ่งปีก็ยังทำใจกับข่าวการตายของเธอไม่ได้ ตอนนี้ เป็นโอกาสดี อย่างน้อยฉันก็ได้รู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าอยู่ในโลกอีกใบที่ห่างไกลกับฉันมาก อาทิตย์นี้ให้ฉันอยู่ที่นี่เถอะ ได้อยู่กับ…พวกเธอสามคนครอบครัว ได้ทำหน้าที่เจ้าของที่ดินให้เป็นอย่างดี”

เขาเพิ่งจะพูดจบ ประตูห้องหนังสือก็ถูกเปิดออก

เสียงเปิดประตู ทำให้มู่ชิงเกอกับหลี่ซิวหยวนหันหน้าไปมองพร้อมกัน มองเห็นช่องประตูที่เปิดออกเล็กน้อย มีศีรษะเล็กๆ ชะโงกออกมา

‘‘หม่าม๊า หนูหิวแล้ว หนูจะได้กินข้าวเมื่อไหร่” ซือมู่น้อยเบิกตาดวงโตที่น่าสงสาร

มู่ชิงเกอกระตุกมุมปากอย่างแรง แม้ว่าซือมู่จะเด็กอยู่ แต่ด้วยตบะบำเพ็ญของเขา ไหนเลยจะหิวง่ายเพียงนั้น จะต้องเป็นซือมั่วผู้นั้นที่คำนวณเวลาว่าน่าจะคุยไปได้เกือบหมดแล้ว ไม่อยากให้นางกับหลี่ซิวหยวนอยู่กันตามลำพังอีก ดังนั้นจึงสั่งให้ปีศาจน้อยมาทำลายช่วงเวลานี้ลง

“เอ! เลยเวลามาขนาดนี้แล้ว เด็กๆ จะปล่อยให้หิวไม่ได้มู่เกอพวกเราพาหนูน้อยออกไปกินข้าวกันดีกว่า” ทว่าหลี่ซิวหยวนกลับไม่รู้เรื่องเหล่านี้ได้ยินเด็กน้อยปนหิว ก็รีบลุกขึ้นยืนกล่าว

แต่น้ำเสียงนั้นกลับ…

“ขอบคุณคุณหลี่ที่หวังดี ในเมื่อคุณหลี่บริสุทธิ์ใจจะเลี้ยงข้าวพวกผมสามคนครอบครัว พวกผมก็ไม่อาจปฏิเสธ”

ทว่า หลี่ซิวหยวนพูดยังไม่ทันขาดคำ เงาร่างของซือมั่วก็โผล่ออกมา ยืนอยู่ข้างหลังซือมู่น้อย บนใบหน้าที่หล่อเหลา ปรากฎรอยยิ้มที่ไม่เสียมารยาท

หลี่ซิวหยวนกระตุกมุมปากอย่างแรง หมดคำพูดจะโต้เถียง โชคดีไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นประธานบริษัทที่ดูแลกิจการซึ่งมีพนักงานกว่าหมื่นคน เผชิญหน้ากับความอึดชัดเช่นนี้ เร็วอย่างยิ่งเขาก็กลับเป็นปกติ “เอาที่ไหนมาพูด อันที่จริงผมก็ควรทำหน้าที่เจ้าของที่ดินที่ดี”

ในขณะที่คนทั้งสี่เตรียมจะขยับตัวออกจากคฤหาสน์ จู่ๆ โทรศัพท์ของหลี่ซิวหยวนก็ดัง

เสียงโทรศัพท์ที่ดังกะทันหันทำให้ดวงตาเขาปรากฎความหงุดหงิดขึ้นแวบหนึ่ง คิดว่าเป็นเรื่องในบริษัท หรือว่าเลขาโทรมาหาตน แต่ว่าเมื่อเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู กลับพบว่าเป็นเบอร์แปลกหน้าโทร นี่คือโทรศัพท์ส่วนตัวของเขา น้อยอย่างยิ่งที่จะมีคนนอกรู้

หลี่ซิวหยวนประหลาดใจเล็กน้อย รับโทรศัพท์ “ฮัลโหล ใครครับ”

เขาถามหนึ่งประโยค แต่ว่า วินาทีต่อมา ในดวงตาเขากลับเต็มไปด้วยความตกใจ เหลือบตาขึ้นมองมู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ข้างตัวเขาไม่ไกลตามจิตใต้สำนึก…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version