Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 1245

บทที่ 1245 เหตุใดอารมณ์จึงฉุนเฉียวถึงเพียงนี้

หลานจิ้งอี๋กลับไม่เกรงกลัวเขาเลย ร้องเฮอะคราหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “นางแล่นไปวางท่ากำเรบเสิบสานถึงวังเงือกของพวกเรา แล้วทำไมจะโทษนางไม่ได้? เดิมทีนางก็ไม่คู่ควรกับพี่เขยอยู่แล้ว นาง…”

วาจาของนางยัง กล่าวไม่จบ จู่ๆ ภายในห้องโถงก็มีแสงสีขาวสายหนึ่งวาบขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงหวีดร้องของหลานจิ้งอี๋…

กู้ซีจิ่วซ่อนอยู่พุ่มไม้ มองเห็นลำแสงสีขาวสายนั้นห่อหุ้มหลานจิ้งอี๋ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าหายไปในชั่วพริบตา

“พี่หวง!” ประมุขเงือกร้องออกมา

“วังคํ้านภาของข้าไม่ต้อนรับคนที่ไม่ให้เกียรติว่าที่ฮูหยินของข้า ข้ายอมนางไปแล้วครั้งหนึ่ง จะไม่ยอมนางเป็นครั้งที่สองอีก” นํ้าเสียงตี้ฝูอีเยียบเย็นลงแปดองศา “นับแต่นี้ไป วังคํ้านภาไม่อนุญาตให้นางเข้ามาอีก”

ประมุขเงือกนิ่งไปครู่หนึ่ง “พี่หวง…”

“เอาล่ะ ขอบใจมากที่เจ้านำมุกคงโฉมมาส่งให้ด้วยตัวเองเจ้าก็ไปได้แล้วล่ะ” ตี้ฝูอีพูดจาไม่ค่อยไว้ไมตรีนัก

ประมุขเงือกจนปัญญา ทอดถอนใจพลางกล่าว “พี่หวง ถึงแม้มุกคงโฉมจะมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม สามารถรักษาสภาพร่างนี้ให้มีชีวิตอยู่ได้ แต่สุดท้ายแล้วก็สู้วังเงือกมิได้ ภายในโลงเงือกของวังเงือกสิถึงจะเป็นแหล่งหล่อเลี้ยงที่ดีที่สุด ถ้าส่งร่างไปที่นั่น จะทำให้ร่างนี้ยอดเยี่ยมขึ้นกว่าเดิม ไม่แน่นะถ้าให้มันนอนอยู่ที่นั่นอาจบรรลุพลังวิญญาณขั้นเก้าได้ภายในสามปี…”

“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา” ตี้ฝูอีเอ่ยเรียบๆ

ประมุขเงือกนิ่งไปครู่หนึ่ง “ก็ใช่ ดวงวิญญาณของพี่หญิง ยังเป็นเพียงเสี้ยววิญญาณอยู่ ต้องตามหาดวงวิญญาณที่เหลือของนางแล้วค่อยว่ากันอีกที”

เขาถอนหายใจอีกครั้ง “พี่หวง เรื่องในปีนั้นท่านไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองจนเกินไป เดิมทีพี่หญิงก็ชอบท่านอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่านางต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรนางก็ยินยอมพร้อมใจทั้งนั้น ตอนนั้นท่านก็พยายามสุดความสามารถแล้วเหมือนกัน เดิมทีพวกเราชาวเงือกเมื่อสิ้นชีวิตดวงวิญญาณก็จะดับสลายไปทันที เป็นท่านที่ใช้วิชาต้องห้ามฝืนเหนี่ยวรั้งเสี้ยววิญญาณนางไว้ ทำให้ดีร้ายอย่างไรพวกเราก็ยังมีความหวังอยู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าดวงวิญญาณส่วนที่เหลือของนางอยู่แห่งหนตำบลใด…เวลาก็ล่วงเลยมาจนป่านนี้แล้วยังหาวิญญาณส่วนที่เหลือของนางไม่พบเลย…ไม่รู้ว่าภายหน้าจะหาพบหรือไม่ ยามนี้มีร่างกายแล้ว ขาดเพียงหาดวงวิญญาณของนางมาเติมเต็มเท่านั้น”

ตี้ฝูอีไม่ได้ตอบรับวาจาเขา “เจ้าพล่ามพอหรือยัง? รีบไสหัวไปได้แล้ว!”

“พี่หวง วันนี้ดูเหมือนท่านจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ เหตุใดอารมณ์จึงฉุนเฉียวถึงเพียงนี้…ก็ได้ๆ ข้าไปแล้ว ข้าจะไสหัว ไปแล้ว”

แสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งฉิวออกมาจากตำหนัก และพุ่งหายลับไปในอากาศ

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ตี้ฝูอีก็เดินอกมาจากตำหนัก ดูเหมือนเขาจะมีเรื่องหนักใจอยู่บ้าง มองตำหนักนํ้าแข็งอย่างใจลอยอยู่สักพัก ถึงได้อ้อมไปยังสวนหลังตำหนักนํ้าแข็ง เรียกเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อยออกมา สั่งการให้พวกมันดูแลโลงแก้วผลึกในตำหนักนํ้าแข็งดีๆ ซํ้ายังบอกเรื่องที่ควรระวังบางส่วนอย่างละเอียดด้วย แล้วถึงหันหลังจากไป

ตำหนักนํ้าแข็งกลับสู่ความเงียบสงบเช่นที่ผ่านมา

ไม่ทราบเช่นกันว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว กู้ซีจิ่วได้ปรากฏตัวขึ้นนอกประตูตำหนักนํ้าแข็งอีกครั้ง

ตำหนักนํ้าแข็งหลังนี้เดิมทีก็หนาวเย็นกว่าที่อื่นอยู่แล้ว อีกทั้งยามนี้เป็นฤดูหนาว ย่อมหนาวเย็นมากว่าเดิมเป็นธรรมดา

กู้ซีจิ่วยืนอยู่ตรงนั้น รู้สึกเพียงว่าร่างกายหนาวยะเยือกขึ้นมาเป็นพักๆ มือเท้าเย็นเฉียบดั่งมิใช่ของตน เห็นได้ชัดว่าบทสนทนาก่อนหน้านี้ของสามคนนี้กระทบกระเทือนเธอไม่น้อย เธอไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไรไปชั่วขณะ ในสมองว่างเปล่าขาวโพลนไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพุ่งออกไปถามตรงๆ ดีไหม หรือว่าสังเกตการณ์เงียบๆ ไปสักระยะก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ในสมองเธอมีเสียงดังหึ่งๆ คิดหาต้นสายปลายเหตุไม่ออกไปชั่วครู่ โชคดีที่ปฏิกิริยาตอบสนองของเธอยังคงเฉียบไวยิ่งนัก ตอนที่ประมุขเผ่าเงือกจะออกมาเมื่อครู่นี้ เธอเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่อื่นได้ทันเวลา ถึงไม่ถูกสามคนนั้นจับสัมผัสได้ เธอสงบใจอยู่ในพุ่มไม้พักใหญ่ พยายาข่มกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจอย่างสุดความสามารถ ใคร่ครวญว่าตัวเองควรทำยังไงดี?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version