บทที่ 193
สาวน้อยช่างไม่รู้ดีรู้ชั่วเอาเสียเลย
สุราของเขารสชาติเยี่ยมยอดนัก กู้ซีจิ่วจึงเผลอดื่มมากไปโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าเล็กๆ ของเธอแดงระเรื่อ ดวงตาฉ่ำแวววาว “ท่านเจ้าวัง ข้าร้องเพลงให้ท่านฟังสักเพลงดีไหม?”
ตี้ฝูอีเท้าคางมองเธอ “ไม่ใช่เสียงสวรรค์ข้าไม่ฟัง เพลงที่ไม่เข้ากับอารมณ์ข้าจะทำให้ข้าไม่สบอารมณ์ อยากตัดลิ้นคน เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากจะร้อง?”
กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปาก ตอบอย่างทระนงว่า “เสียงเพลงของข้าถูกคนเรียกขานว่าเสียงสวรรค์มาตลอด ถ้าไม่สนิทสนมคุ้นเคยกันก็ไม่ร้องหรอก”
ตี้ฝูอียิ้ม “โอ้ เช่นนั้นคงต้องฟังแล้ว เจ้าจะร้องเพลงอะไร?”
ไม่รู้ว่าเขาหอบขลุ่ยหยกขาวเลาหนึ่งออกมาจากที่ใด “ข้าสามารถบรรเลงให้เจ้าได้”
กู้ซีจิ่วส่ายศีรษะ “ขอบพระคุณท่านเจ้าวัง แต่ช้าชอบร้องเดี่ยว”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ เก็บขลุ่ยกลับไป “สาวน้อยช่างไม่รู้ดีรู้ชั่วเอาเสียเลย เจ้ารู้ไหมว่าบนโลกนี้มีคนมากมายอยากให้ข้าร่วมบรรเลงดนตรีด้วยสักเพลงแต่ก็ทำไม่ได้?”
แสงดาวพร่างพราวเต็มฟ้า ดอกหญ้าริมทะเลสาบพลิ้วไหวลู่ลม
กู้ซีจิ่วขัมร้องหนึ่งเพลง แทนที่จะเรียกว่าบทเพลง มิสู้เรียกว่าบทกวี ดีกว่า ท่วงทำนองแปลกประหลาดงดงาม ราวกับสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับรัตติกาลได้
ในช่วงสุดท้ายของบทกวี เสียงกวียังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่ท่ามกลางราตรี เสมือนเสียงสวรรค์จริงๆ
ตี้ฝูอีค่อยๆ เก็บจอกและกาสุราของตนไป ยิ้มหัวพลางมองเธอ “คืนนี้เจ้าเอาใจใส่ถึงเพียงนี้ เพราะอยากให้ข้าปล่อยเจ้าไปใช่ไหม?”
สองตาของกู้ซีจิ่วมองดูเขา “แล้วท่านจะปล่อยไหมเล่า?”
ตี้ฝูอีสีหน้าเคร่งขรึม ท่าทางดั่งไม่อาจใช้สิ่งใดล่อลวงให้หวั่นไหวได้ “ไม่ได้ นี่เป็นปัญหาที่ต้องรับผิดชอบ ข้าเคร่งครัดมากมาโดยตลอด”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจ “ซีจิ่วก็รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่คิดจะขอให้ท่านทูตสวรรค์ปล่อยข้าไป”
“อืม เจ้าเป็นเด็กดีที่รู้ความ” ดูเหมือนตี้ฝูอีจะปลาบปลื้มยิ่ง จึงตัดสนใจผ่อนปรนให้เธอเล็กน้อย
“เห็นแก่ที่เจ้าเอาใจใส่ถึงเพียงนี้ ข้าจะมอบทางเลือกที่ไม่ละเมิดต่อภาระหน้าที่ให้เจ้าสองทาง หนึ่ง เป็นเดีกดีตามข้ากลับไป ข้าจะให้เวลาเจ้าเตรียมตัวสามวัน พ้นสามวันไปจะเปิดแท่นเบิกสวรรค์อีกครั้ง พิสูจน์ว่าเจ้าเป็นผู้ใด้รับความสามารถจากสวรรค์ตัวจริงหรือตัวปลอม หากเป็นตัวจริงข้าจะมอบของขวัญลํ้าค่าให้เจ้าชิ้นหนึ่ง หากเป็นตัวปลอม…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้เขาก็หยุดชะงักไป
“ตัวปลอมแล้วอย่างไร?”
ตี้ฝูอีเพ่งพิศเธอแวบหนึ่ง “ร่างเจ้าไร้พลังวิญญาณอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทำลายวรยุทธ์เจ้า เพียงโยนเข้าไปในส่วนลึกของป่าทมิฬก็พอ ขึ้นอยู่กับโชคของเจ้า หากโชคดีสามารถหนีออกมาได้ จะพิสูจน์ว่าถึงแม้เจ้าไม่มีความสามารถที่สวรรค์ประทานให้ แต่ก็เป็นต้นกล้าที่มีศักยภาพ ข้าจะสอนวรยุทธ์ให้เจ้าด้วยตัวเอง”
กู้ซีจิ่ว “ฟังแล้วยอดเยี่ยมนัก เมื่อถึงเวลานั้นท่านทูตสวรรค์จะรับข้าเป็นศิษย์หรือ?”
ตี้ฝูอีส่ายหัวไปมา นํ้าเสียงอ่อนโยน แต่กลับขว้างระเบิดลูกหนึ่งออกมา “ไม่ใช่เด็กน้อย เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะเป็นคู่หมั้นของข้า ไม่จำเป็นต้องกราบเป็นอาจารย์”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง หม้อที่อยู่ในมือหล่นกระแทกพื้นเสียงดังโครม เฉียดเท้าไปนิดเดียว “อะไรนะ?!”
คู่หมั้นของร่างเดิมเธอคือองค์ชายหรงเหยียนไม่ใช่หรือ?
ไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะยัดเจ้าชั่วนั้นเข้าไปอยู่ในคุกได้ จากนั้นถอนการหมั้นหมายที่น่ารำคาญ แล้วมีคู่หมั้นที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?! นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย!
ตี้ฝูอีมองหม้อที่หมุนกลิ้งอยู่บนพื้นหลายตลบ “ข่าวนี้ทำให้เจ้าดีใจมากใช่หรือไม่? ประหลาดใจมากใช่ไหม?”
ไม่ได้ดีใจ แต่ประหลาดใจจริงๆ!
ท่าทางของกู้ซีจิ่วราวกับมีก้อนอิฐจากฟ้าตกลงมากระแทกกลางหัว เธอนวดคลึงหว่างคิ้วเล็กน้อย “ท่านทูตสวรรค์ล้อซีจิ่วเล่นอยู่กระมัง? นี่เป็นไปไม่ได้!”
“เรื่องเช่นนี้จะล้อเล่นได้อย่างไร?” ตี้ฝูอียื่นมือหยิบหม้อขึ้นมาแทนเธอ ส่งคืนให้ถึงมือ “การหมั้นหมายนี้พูดคุยไว้ตั้งแต่ 13 ปีก่อน…”