Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 199

บทที่ 199

ยากนักกว่านางจะดีดพิณ!

เมื่อเธอกำจัดปานแดงทิ้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต่อไปเธอจะแปลงโฉมได้ง่ายยิ่งขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ต้องทาหน้าคลํ้าทุกครั้งที่แปลงโฉม…

เพื่อความปลอดภัย เธอจึงใช้วิชาเคลื่อนย้ายอย่างต่อเนื่องทั้งคืน หนีออกมาได้ 300 ลี้ก็มาถึงเมืองชิงมู่

เมืองชิงมู่เป็นเมืองใหญ่อันดับที่สองของอาณาจักรเฟยซิง ถึงแม้ความเจริญของที่นี่จะด้อยกว่าเมืองหลวงของอาณาจักรเฟยซิง แต่ก็เป็นสถานที่ที่มีซื่อเสียงอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง

ถนนหนทางกว้างขวาง อาคารบ้านเรือนเรียงรายเป็นแถว

ทัศนียภาพงดงาม สิ่งปลูกสร้างมีกลิ่นอายแบบโบราณ เมืองชิงมู่มีสถานที่โด่งดังอยู่แห่งหนึ่ง…ตำหนักเปลื้องจิต! ตำหนักเปลื้องจิตมิใช้ที่พำนักของเชื้อพระวงศ์อะไรทั้งนั้น แต่เป็นหอนางโลมอันโด่งดังแห่งหนึ่ง ที่เรียกขานว่าตำหนัก เพราะแต่เดิมเคยเป็นที่ประทับของเชื้อพระวงศ์องค์หนึ่งในราชวงศ์ก่อน

หลังผลัดแผ่นดิน ไม่รู้ว่าเครือญาติของราชวงศ์ก่อนไปอยู่ที่ไหน ที่ประทับแห่งนี้จึงถูกนำออกประมูล กลายเป็นหอนางโลมในปัจจุบันนี้…

ดังนั้นตำหนักเปลื้องจิตหอนางโลมแห่งนี้จึงไม่เหมือนกับหอนางโลมอื่นๆ มันเป็นหอนางโลมขั้นสูงสุด หญิงสาวของที่นี่ก็เลิศลํ้าที่สุด รอบรู้พิณ หมาก ตำรา ภาพวาด เชี่ยวชาญกาพย์กลอน ขับร้อง ร่ายระบำ

หญิงสาวสามัญที่สุดนางหนึ่ง ค่าเผยโฉมก็ร้อยตำลึงแล้ว ทั้งยังดื่มสุราเป็นเพื่อนเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าอยากค้างคืนต้องจ่ายพันตำลึง…

ส่วนดาวเด่นของที่นี่ ถึงมีเงินก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเชิญมาได้ ไม่เพียงแต่ต้องทุ่มเงินมหาศาลเท่านั้น ยังต้องให้หญิงสาวยินยอมอีกด้วย…

ดาวเด่นคนปัจจุบันของตำหนักเปลื้องจิตนามว่าหลิ่วเชียนไต้ รูปโฉมงดงามเหมือนนามของนาง เป็นสุดยอดจากหญิงงามนับพัน

หลิ่วเชียนไต้เป็นหญิงงามผู้เย็นชา ร่ำลือกันว่านางไม่ค่อยยิ้มออกมาง่ายๆ แต่แย้มยิ้มคราหนึ่งสามารถล่มเมือง ทำให้คนยอมทุ่มใจทุ่มเงินเพื่อนางได้…

ลือกันว่าเรือนกายของหญิงงามผู้เย็นชาคนนี้มีกลิ่นหอมประหลาดอย่างหนึ่ง เป็นกลิ่นหอมเบาบาง ทำให้คนที่ได้กลิ่นหัวใจเต้นเร็วขึ้น

หลิ่วเชียนไต้นิสัยหยิ่งทะนง ไม่รับแขกง่ายๆ ต่อให้เป็นเหล่าองค์ชายเสด็จมา ถ้าหากนางไม่อยากพบก็ไม่ได้พบไปตามระเบียบ มีอุปนิสัยเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง

ที่ตำหนักเปลื้องจิต โดยทั่วไปหญิงสาวที่มีตำแหน่งฐานะล้วนมีเรือนพำนักเป็นของตัวเอง ยามที่ต้องรับแขก จะจุดโคมวังหลวง [1]ดวงหนึ่งตรงประตูเรือน

หลิ่วเชียนไต้เป็นดาวเด่น เรือนพำนักของนางย่อมใหญ่ที่สุดและดีที่สุด

เรือนพำนักของนางชื่อว่าเรือนซ่อนกลิ่น ขณะนี้ประตูเรือนแขวน โคมวังหลวงสีสันสดใสดวงหนึ่งไว้ บ่งบอกว่าวันนี้นางจะรับแขกแล้ว แถมยังต้อนรับอย่างอลังการเสียด้วย…

เมื่อแขกของที่นี่เดินผ่านทางมาล้วนมองโคมดวงนี้อย่างสนใจ อยากรู้ว่าคนที่ทำให้ดาวเด่นหลิ่วต้อนรับขับสู้ถึงเพียงนี้เป็นใครมาจากไหนกัน

เรือนซ่อนกลิ่นอยู่ลึกเข้าไปในสวน แขกทีเดินผ่านทางมาสายตาดีแค่ไหนก็มองเห็นทัศนียภาพด้านในไม่ชัดเจน ได้ยินเพียงเสียงพิณด้านในแว่วกังวาน ไพเราะดุจเสียงสวรรค์

แม่นางเชียนไต้ดีดพิณแล้ว! ยากนักกว่านางจะดีดพิณ!

วันนั้นองค์ชายสี่หรงฉู่อยากเชิญแม่นางเชียนไต้ผู้นี้ไปดีดพิณสักเพลง แต่ก็ถูกนางปฏิเสธ!

แขกในเรือนนางมีฐานะอย่างไรกันแน่?! ถึงได้มีหน้ามีตาเยี่ยงนี้! ความอยากรู้อยากเห็นของบรรดาแขกเพียงพอที่จะฆ่าแมวตายได้แล้ว!

แม่นางเชียนไต้บรรเลงพิณด้วยตัวเอง แขกในเรือนของนางผู้นี้คงปลื้มปิติมากสินะ?

ยามนี้ ห้องนอนของหลิ่วเชียนไต้ในเรือนซ่อนกลิ่นอวลไปด้วยกลิ่นหอม กลิ่นหอมเจือจางบางเบา เตียงนอนหลังใหญ่ ของประดับชิ้นเล็กบนโต๊ะตัวน้อย ทุกชิ้นประณีตงดงามเหลือคณา

ม่านมุ้งขาวนวล เครื่องเรือนขาวดำเข้าคู่ ทุกสีสันสอดรับกันยิ่งนัก

สิ่งเดียวที่ทำให้ภายในห้องนี้ไม่สอดประสานกันจนทั่วถึง ก็คือถังอาบนํ้าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ในถังอาบนํ้ามีไอสีขาวลอยขึ้นมา กลิ่นหอมฟุ้งกระจาย กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ในถังอาบน้ำ กลีบบุปผากระเพื่อมไหวอยู่รอบตัว อุณหภูมินํ้าก็พอเหมาะ ไม่เย็นไม่ร้อน เป็นอุณหภูมิที่ผ่อนคลายอย่างที่สุด

เธอหลับตาแช่อยู่ในนั้น รู้สึกเพียงว่าทั้งร่างผ่อนคลาย รูขุมขนเปิดออก ความเหนื่อยล้าหลังเดินทางอยู่ทั้งคืนมลายหายไปสิ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version