บทที่ 599 ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปได้อย่างไร? 2
แต่ก็พูดยาก ถึงอย่างไรนิสัยของตี้ฝูอีผู้นั้นก็พิลึกนัก แถมเขายังมีประวัติด้วย เขาเคยปลอมตัวเป็นคุณชายหนึ่งตำลึง…ซือเฉิน
แต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์นิสัยสูงส่งเย็นชา ซ้ำยังเป็นเทพเพียงหนึ่งเดียวของทวีปนี้เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาเล่นละครสารพัด
บทบาทเพื่อล้อเธอเล่น
บางทีคนเพี้ยนๆ อาจจะมีลักษณะหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน ไม่แน่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กับตี้ฝูอีอาจจะเป็นเหตุผลเช่นนี้เพียงแค่มีความสนใจและงานอดิเรกแปลกๆ คล้ายกันก็เท่านั้นเกรงว่าคงเป็นตนที่คิดมากไป…
เมื่อคิดมากไปความคิดก็ฟุ้งซ่านง่าย กู้ซีจิ่วยกขึ้นเคาะขมับที่เต้นตุบๆ ตัดสินใจไม่พัวพันกับปัญหานี้ต่อ เธอเดินวนรอบห้อง
จะว่าไป เจ้าสามตัวนั้นถูกเขาไล่ไปอยู่ไหนแล้ว?
‘ก๊อก! ก๊อก!’ ประตูเรือนมีเสียงเคาะดังขึ้น กู้ซีจิ่วเปิดประตูออก เจ้าสามตัวนั้นยืนอยู่นอกประตู…
เจ้าหอยยักษ์ เปียกโชกไปทั้งร่าง ลู่อู๋น้อยโผล่หัวเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าหน้าท้องของเพรียกวายุ
“เจ้านาย ต่อไปพวกเราจะไม่นอนในเรือนท่านแล้ว พวกเราจะสร้างรังเอง” เปลือกเจ้าหอยยักษ์สั่นระริกขณะรายงาน มันชี้ไปที่สระบัวในสวน “ข้าอาศัยอยู่ที่นั่น”
จากนั้นชี้ไปที่ศาลาหลังหนึ่งที่อยู่ริมสระบัว “พวกมันอยู่ตรงนั้น”
จู่ๆ ทำไมเจ้าสามตัวนี้ถึงรู้ความปานนี้?
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว อันที่จริงเธอไม่เคยต้องการให้สามตัวนี้อาศัยอยู่ในเรือนเดียวกับเธอ แต่จะทำอย่างไรได้เจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อยติดคนเหลือเกิน ร้องห่มร้องไห้ทำตัวน่ารักน่าสงสารอยู่เบื้องหน้าเธอ เธอเลยปล่อยพวกมัน เลี้ยงไว้ในเรือนเหมือนลูกหมาลูกแมว
ตอนนี้พวกมันยอมออกไปด้วยตัวเองเธอก็โล่งอก ไม่ต้องเกรงกลัวว่าสามตัวนี้จะฉวยโอกาสยามเธอไม่อยู่ป่วนจนเรือนกลายเป็นรังสุนัขอีกต่อไป…
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้รับความเห็นชอบจากเธอ ก็ไล่สัตว์เลี้ยงของเธอออกไปหมด นี่ทำให้กู้ซีจิ่วไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เพียงแต่
เธอก็เข้าใจเจตนาของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
ด้วยนิสัยรักสะอาดเข้าขั้นไม่ปกติของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เขาย่อมรับไม่ได้ที่เห็นเรือนศิษย์ของตนรกเหมือนรังสุนัข ยิ่งไปกว่านั้นคือในบรรดาสามตัวนี้นอกจากเจ้าหอยยักษ์แล้ว ล้วนมีขนร่วง…
เธอก็เป็นเหมือนพนักงานเก็บอึ ถึงแม้จะทำความสะอาดทุกวัน แต่ก็ยังมีส่วนที่หลุดรอดบ้างเป็นครั้งคราว เห็นขนปุกปุยของพวกมันร่วงอยู่ตามซอกมุมเป็นประจำ…
ส่วนเจ้าหอยยักษ์ถึงอย่างไรก็เป็นสัตว์น้ำ ไม่ว่ามันจะนอนตรงไหน ก็จะเหลือร่องรอยที่คล้ายคราบน้ำลายเอาไว้
ดังนั้นรับใช้บรรพบุรุษน้อยสามตัวนี้จึงมิใช่เรื่องง่าย เธอมีงานเพิ่มขึ้นไม่น้อย
….
กู้ซีจิ่วที่อยู่ภายใต้การนำทางของเจ้าสามตัวนี้ได้ไปเยี่ยมชมที่อยู่ชั่วคราวของพวกมัน
ไม่เลวเลย ที่พักชั่วคราวที่พวกมันเลือกล้วนสอดคล้องกับนิสัยที่แท้จริงของพวกมัน มีเพียงลู่อู๋น้อยที่เคยชินกับนอนข้างกายกู้ซีจิ่ว พอยามนี้ต้องแยกจากกัน มันก็น้ำตาคลอเล็กน้อย ยื่นหางน้อยๆ ทั้งเก้าออกมาส่ายไปส่ายมาอยู่ตรงนั้นเห็นได้ชัดว่าต้องการให้กอด
‘เจ้านาย พวกมันเป็นสัตว์วิญญาณ สิ่งที่ต้องบ่มเพาะคือไหวพริบ และความดุดันเหี้ยมหาญ เช่นนี้พวกมันถึงจะเป็นมือเป็นเท้า ให้ท่านในภายภาคหน้าได้ และไม่ควรเอ็นดูจนพวกมันกลายเป็นแค่ลูกหมาน้อยน่ารักว่าง่าย ดังนั้นท่านไม่ควรใจอ่อน…’ น้ำเสียงหยกนภาจริงจังอย่างที่พบเห็นได้ยาก
กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไร เหตุผลข้อนี้ เธอเข้าใจ
ก็เหมือนสุนัขอ๋าวเฉี่ยนที่ต้องปล่อยไว้บนทุ่งหญ้าเท่านั้นให้ไล่ล่าหมาป่า ต่อสู้ท่ามกลางลมหิมะ ถึงจะเลี้ยงให้กลายเป็นสุนัขอ๋า
วเฉี่ยนชั้นเลิศที่สามารถต่อสู้เคียงข้างเจ้านายได้ มิใช่การนำมันไปเลี้ยงไว้ ในเรือนกระจก ให้กินปลาอ้วนพีเนื้อชิ้นใหญ่ทุกวัน สุขสบายไร้กังวล สุนัขอ๋าวเฉี่ยนที่เลี้ยงออกมาเช่นนั้นต่อให้ขนเงางาม มันก็เป็นเพียงสุนัขเฝ้าบ้านตัวหนึ่งเท่านั้น
แต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ ทุกครั้งยามที่เผชิญหน้ากับพวกมันเธอก็ยังคงใจอ่อนอยู่ดี
บางทีอาจเป็นเพราะร่างมนุษยของเจ้าหอยยักษ์คือหนูน้อย เจ้าลู่อู๋ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง ทำให้คนแข็งใจปฏิเสธไม่ลง
ประกอบกับกู้ซีจิ่วไม่มีเครือญาติอยู่ทางนี้เลย ความจริงแล้ว ลึกๆ ในใจเธอรู้สึกโดดเดี่ยวมาก ดังนั้นจึงปรารถนาจะมีเพื่อน…