บทที่ 74
มันรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาบ้างแล้ว
กำไลหยกนภาได้แต่บื้อใบ้ มันรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาบ้างแล้ว
กู้ซีจิ่วยกยิ้มมุมปาก ใช้ปลายนิ้วคีบมันขึ้นมา ‘ใช่แล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่เรืองแสงแล้วล่ะ? พังหรือ? หรือโดนน้ำจนสีตกซะแล้ว?’
กำไลหยกนภาถึงกับอับจนคำพูด มันแทบจะกัดฟันกรอดๆ แล้ว ‘หญิงสาว ไม่ใช่เจ้าหรอกเหรอที่บอกให้นายท่านหยกเช่นข้าลดระดับลง? พังอะไรกัน? โดนนํ้าจนสีตกอะไรกัน? คิดว่าข้าเป็นหยกสั่วๆ ในยุคสมัยของเจ้าหรือไงกัน!’
กู้ซีจิ่วหมุนมันอยู่ในมือ ‘ที่แท้นี่คือเจ้าในรูปแบบที่ลดระดับลงแล้ว ข้านึกว่าเจ้าจะมีวิชาแปลงกาย เปลี่ยนเป็นรูปแบบอื่นที่ธรรมดาลงไม่ใช่ออกมาเป็นของไร้รสนิยมเช่นนี้’
กำไลหยกนภาที่อยู่ในหัวเธอคล้ายโดนแทงพรุนจนสุดจะเอื้อนเอ่ยวาจาใด
กู้ซีจิ่วเองก็ไม่สนใจมันอีก จึงเก็บมันเข้าไปในแขนเสื้อ
“คุณชาย เจ้าได้รับของตามที่ตกลงกันไว้ไปแล้ว เช่นนั้น โรคแอบแฝงในตัวองค์รัชทายาทของพวกเราล่ะ…” จิ้งจอกดำกล่าวออกมาอย่างอดไม่ไหว
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็หันมามองหน้าองค์รัชทายาทหรงเจียหลัว แล้วตอบกลับมาตรงๆ คำหนึ่ง “ยาก!”
จิ้งจอกดำถึงกับใบ้กิน เขากำมือแน่น ใบหน้าหล่อเหลาถมึงทึง “ที่แท้เจ้าก็ไม่มีวิธี? นี่เจ้าหลอกปั่นหัวองค์รัชทายาทหรือ?”
กู้ซีจิ่วเอ่ยขัดจังหวะเขาด้วยนํ้าเสียงเรียบเรื่อยเช่นเคย “ข้าแค่บอกว่ายาก แต่ไม่ได้บอกว่าข้าไม่มีวิธี เพียงแต่ว่า ‘โรคแอบแฝง’ นี้ขององค์รัชทายาทเรื้อรังมาเป็นเวลานานแล้ว น่าจะต้องใช้เวลาไม่ตํ่ากว่าสองปีถึงจะฟื้นฟูลมปราณที่เสียไปให้กลับคืนมาได้”
เมื่อเธอกล่าวประโยคนี้ออกมา นัยน์ตาของจิ้งจอกดำก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที “กล่าวเช่นนี้คือคุณชายสามารถรักษาได้ใช่หรือไม่?!’’
ทว่ากู้ซีจิ่วกลับไม่เหลือบแลเขาอีก เพียงมององค์รัชทายาทหรงเจียหลัวด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “องค์รัชทายาทคิดจะให้เขาเป็นคนถามข้าแทนพระองค์ไป
ตลอดหรือ?”
องค์รัชทายาทถอนหายใจเบาๆ เขาข่มกลั้นจิตใจที่ปั่นป่วนเอาไว้ “จิ้งจอกดำ เจ้าออกไปซะ!”
“รัชทายาท…”
จิ้งจอกดำยังคงรู้สึกไม่ไว้วางใจอยู่บ้าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นคนแปลกหน้า แถมยังไปมาไร้ร่องรอยถึงเพียงนี้ ถ้าหากปองร้ายองค์รัชทายาทขึ้นมาล่ะ…
“ไม่เป็นไร ออกไป!” องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวพูดออกมาเพียงหนึ่งประโยค และไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ
สุดท้ายแล้วจิ้งจอกดำจึงรับคำแล้วออกไป แถมตอนที่ออกไปนั้นยังช่วยปิดประตูให้อย่างใส่ใจ
โรคแอบแฝงนี้ทำให้เขาสิ้นหวังซํ้าแล้วซํ้าเล่า แต่จู่ๆ ก็มีความหวังในการรักษาให้หายขาด องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวที่มีนิสัยสุขุมเป็นอันมากมาโดยตลอด จะยินดี หรือเดือดดาลก็ไม่เคยแสดงอารมณ์ออกมา ยามนี้ปลายนิ้วกลับสั่นระริกเล็กน้อย “ท่านหมอ ท่านจะรักษาอย่าง ไร? ต้องการให้เปิ่นกงเตรียมสิ่งใดบ้าง? ท่านบอกมาได้เลย เปิ่นกงจะสั่งให้พวกเขาไปเตรียมมาให้ครบ…”
เขาเปลี่ยนแปลงคำเรียกขานทั้งหมด เปลี่ยนมาเรียกว่า ‘ท่านหมอ’ แทน
กู้ซีจิ่วพิจารณาดูองค์รัชทายาทหรงเจียหลัวตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่สองรอบ แล้วพุ่งเข้าประชิดตัวเขา
เมื่อครู่เธออยู่ห่างจากเขาในระยะหนึ่งสามเมตร ด้วยการเข้าประชิดของเธอครั้งนี้ทำให้อยู่ห่างจากเขาไปไม่ถึงครึ่งเมตร!
องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวนั้นมักจะระมัดระวังและเตรียมพร้อมป้องกันตัวอยู่ตลอด หากไม่ใช่คนที่ไว้ใจเป็นพิเศษแล้ว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีใครเข้าใกล้เขาได้ถึงขนาดนี้!
สัญชาตญาณของเขาสั่งให้ถอยห่าง ทว่ากู้ซีจิ่วกลับยึดข้อมือของเขาเอาไว้ “อย่าขยับ!”
หรงเจียหลัวเป็นถึงองค์รชทายาท จึงมีอุปนิสัยเย็นชา และหยิ่งทระนง บนกายมีแรงกดดันมหาศาลชนิดหนึ่งอยู่ อย่าว่าแต่คนธรรมดาจะเข้าใกล้เลย ต่อให้แค่มองดูเขาอยู่ห่างๆ ก็รู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจแล้ว รีบหมอบกราบคารวะอย่างรวดเร็ว
เขามีรูปร่างสูงสง่า เมื่อนำอีกฝ่ายมาเทียบกับเขาก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคนตัวเล็กกะจ้อยร้อย แต่เมื่อเจ้าตัวยืนอยู่เบื้องหน้าเขาเช่นนี้ แรงกดดันบนร่างเขาก็เหมือนจะไร้ผลไปโดยปริยาย สามารถกุมข้อมือเขาเอาไว้ได้ง่ายๆ
บนร่างอีกฝ่ายถึงขั้นมีกลิ่นอายที่ข่มขวัญผู้คนอยู่ด้วย ยามที่มองเขาอยู่เช่นนี้ทำให้องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวสั่นสะท้านไปทั้งหัวใจ
รู้สึกเพียงว่าดวงตาของคนผู้นี้ทั้งดำขลับทั้งเปล่งประกาย สุกสกาวดุจแสงดารา ลึกลํ้าดั่งมหาสมุทร ยามที่จ้องมองคนก็ราวกับต้องการจะดึงดูดเข้าไปก็มิปาน
องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวใจเต้นระรัว “เจ้า…”
ถูกคนแปลกหน้าผู้หนึ่งสัมผัสจุดชีพจรที่สำคัญ สำหรับเขาแล้วนี่นับว่าเป็นครั้งแรก
…………………………..
[1] ยามห้าย คือ ช่วงเวลา 21:00-22:59 น.