Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 643

ตอนที่ 643 วันนี้ไม่เหมือนวันวาน แผนเสี่ยงภัยสูง

ในวังพระราชทานเลี้ยง หากขุนนางไปร่วมงานกัน ก็ย่อมเป็นงานเลี้ยงที่จัดอย่างเต็มที่ หรูหราอย่างที่สุด แต่หากมีแค่คนสองสามคน อาหารเลี้ยงก็จะเรียบง่ายสักหน่อย

ในพระตำหนักอุ่นในวังหลวงอากาศอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงประทับนั่งตรงข้ามกับเซินสือหัง บนโต๊ะมีอาหารสี่อย่าง ยังไม่ได้แตะต้อง จางเฉิงยืนรับใช้อยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อม

“เซินสือหัง เดิมว่าหลังเดือนหนึ่งจะพักรักษาตัวต่อ เราส่งคนไปเร่งให้ออกมาดำรงตำแหน่งรองมหาอำมาตย์ คิดไม่ถึงว่าโชคชะตาจะดีเช่นนี้ จางซื่อเหวยอยู่ ๆ ต้องการกลับบ้านไว้ทุกข์บิดา เรากล่าวกับเจ้าตามตรง หลังเดือนหนึ่ง ตำแหน่งที่เจ้ามารักษาการแทนนี้ก็จะเป็นของเจ้าอย่างเป็นทางการแล้ว วันหน้าคิดจะทำเช่นไร?”

ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามอย่างไม่คิดอันใดมาก เซินสือหังรู้สึกว่าพระดำรัสมีบางอย่างแฝงอยู่ เมื่อก่อนตอนประชุมราชสำนัก พระดำรัสฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนจะเหินห่าง เหมือนว่าไม่ทรงเกี่ยวข้องกันใดกับใต้หล้านี้ และหากทรงแสดงความคิดเห็นอันใดของพระองค์ออกมา ก็มักถูกบรรดาขุนนางภายใต้การนำของจางจวีเจิ้งโต้กลับ

ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนว่าตรัสออกมาอย่างไม่ต้องคิดอันใดมากด้วยความมั่นพระทัย เป็นความมั่นพระทัยในการกุมอำนาจ ตอนนี้ไทเฮาฉือเซิ่งทรงอ้างประชวร ในวังตำแหน่งใหญ่ก็ล้วนเป็นคนของฮ่องเต้ว่านลี่ นอกวังนั้น หลังจากจางจวีเจิ้งป่วยตายไป จางซื่อเหวยที่ได้ขึ้นแทนก็เหมือนสร้างฐานอำนาจได้เข้มแข็งกว่าจางจวีเจิ้ง หากจากนั้นฟ้าก็มีเมฆหมอกที่ไม่อาจคาดเดา ต้องกลับบ้านไว้ทุกข์บิดา ฐานอำนาจที่เขาเพียรสร้างมาก็เป็นดังกองทรายริมทะเลที่พังทะลายสิ้น

จางจวีเจิ้งจากไป ในวังนอกวังอยู่อำนาจทั้งหมดก็ตกอยู่กับฮ่องเต้ว่านลี่ เซินสือหังคิดได้อย่างเร็ว ลุกขึ้นถวายบังคบกราบทูลว่า

“ทูลฝ่าบาท ต่อจากนี้ให้ทำเช่นไร กระหม่อมก็ทำเช่นนั้น จะให้ใช้งานผู้ใด กระหม่อมก็ใช้งานผู้นั้นพะยะค่ะ”

“ที่นี่มีแต่เจ้ากับเรา ไม่จำเป็นต้องมากพิธี นั่งลงพูดก็ได้”

ฮ่องเต้ว่านลี่สุรเสียงนุ่มนวล แต่สายตาพึงพอใจกับคำตอบและท่าทางนอบน้อมของเซินสือหังอย่างมาก เพิ่งทรงกุมอำนาจได้ อย่างไรก็ย่อมเก็บพระอาการไม่มิด เซินสือหังคร่ำหวอดในวงการขุนนางมานานปี ย่อมรู้ว่าที่ตนได้ทำไปนั้นถูกหรือผิด จึงไม่คิดนั่ง หากยืนก้มกายอยู่อย่างเดิม

ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ตรัสอันใดต่อ หากทรงถามขึ้นว่า

“ที่อยู่ตอนนี้ล้วนเป็นการจัดการของจางซื่อเหวย คนในราชสำนักล้วนเป็นคนจางซื่อเหวย เจ้าต้องการให้เป็นเช่นนี้ต่อไปหรือ?”

“ฝ่าบาท ท่านจางใช้คนสนิทด้วยเหตุผลส่วนตัวหรือไม่ยังไม่พูดถึง แต่ล้วนเป็นขุนนางสามารถที่ปฏิบัติหน้าที่มานานหลายปี ทำงานได้ไม่เลว สิ่งที่ท่านจางทำไปนั้น ก็เพื่อแผ่นดิน ตอนนี้แผ่นดินมีเงินเต็มคลัง แสดงให้เห็นว่าที่ทำไปนั้นไม่ผิด ดังนั้นจึงได้ตอบเช่นนี้”

ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงพยักพระพักตร์ ในห้องทุกคนล้วนเข้าใจดี ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่อาจปล่อยให้เกิดสภาพแบบสมัยจางจวีเจิ้งและจางซื่อเหวยอีกเป็นแน่ จางจวีเจิ้งเป็นมหาอำมาตย์ ทั่วราชสำนักล้วนเป็นพวกเดียวกัน จางซื่อเหวยเป็นมหาอำมาตย์ แค่ไม่กี่เดือน ก็นำตำแหน่งสำคัญมอบให้แก่คนสนิทของตนไปหมด

ที่เซินสือหังทูลนั้นล้วนเป็นที่ทรงต้องการ พระองค์ถูกพวกจางจวีเจิ้งทำให้ทรงโดดเดี่ยว ตอนนี้ในวังมีเพียงคนของจางซื่อเหวย เซินสือหังไม่มีฐานอำนาจตนเอง มหาอำมาตย์ที่ไม่สนิทกับหกกรมกองอื่นๆ กลับเป็นเรื่องดี จะได้สมดุลอำนาจ

สภาพการณ์นี้จึงเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ว่านลี่ต้องการ ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเหนื่อยกับฐานอำนาจที่แข็งแกร่งของมหาอำมาตย์มามากพอแล้ว ทรงต้องการคนที่เชื่อฟัง ทุกเรื่องให้พระองค์ตัดสินใจเอง เซินสือหังผู้นี้ไม่ว่าอุปนิสัย หรือว่าสถานการณ์ตอนนี้ก็ล้วนเหมาะสม

***********

ตกบ่ายเซินสือหังออกมาจากวังหลวง คนที่รอด้านนอกก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์แล้ว แต่ละคนวิ่งกลับไปหาเจ้านายตน ทุกเรื่องได้ข้อสรุปแล้ว

รองมหาอำมาตย์นั่งเกี้ยวย่อมมีธรรมเนียมมากกว่าปกติ ด้านนอกปิดทับด้วยพรมไว้หมด ด้านในมีเตาให้ความอุ่น นั่งอยู่ด้านในย่อมอุ่นสบาย

แต่อุ่นสบายก็ไม่ทำให้คนรู้สึกเหงื่อชุ่ม หากยามนี้หลังเซินสือหังชุ่มไปด้วยเหงื่อ จากนั้นก็ยังสั่นไม่หยุด ที่แท้แล้วร้อนหรือหนาวกันแน่ มีเพียงเซินสือหังผู้เดียวที่รู้ได้

เขาเขียนจดหมายถึงหยางซือเฉิน ในจดหมายแอบแฝงความว่า หากต้องให้ตนถูกกดไว้เช่นนี้ ไม่สู้ลาออกกลับบ้านเกิดดีกว่า จนหลี่ว์วั่นไฉมาหาถึงที่พูดถึงเรื่องราวอดีตในวังบางอย่าง

ตอนนี้ลองคิดดูแล้ว ที่หลี่ว์วั่นไฉว่ามาก็เหมือนว่าท่าทีในวังต่อการแย่งชิงอำนาจจางซื่อเหวยก็คือการนั่งมองดูเปลวเพลิง แต่ความนัยที่ต้องการให้ตนอยู่ต่ออีกระยะหนึ่งนั้นชัดเจน

มองดูเปลวเพลิงอีกฟาก ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าไปดับหรือช่วยดับ จางซื่อเหวยอยู่ในตำแหน่งมหาอำมาตย์หรือไม่ไม่ได้ให้ท่าทีชัดเจน หากจางซื่อเหวยอยู่ในตำแหน่งนี้ย่อมต้องกดหัวตนเองไว้ แต่วาจาหลี่ว์วั่นไฉบอกความนัยว่า ‘ให้รออีกหน่อย’ เหตุใดจึงได้มั่นใจ

จางซื่อเหวยจะลาออกไปไว้ทุกข์หรือไม่ เซินสือหังไม่ใช่ว่าไม่เคยคิด แต่ข่าวที่เขารู้มา บิดาจางซื่อเหวยสุขภาพดีมาก ……เหตุใดอยู่ๆ จึงได้……

คิดถึงตรงนี้ เซินสือหังก็รู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วสรรพางค์กาย ไม่กล้าคิดต่อ ไม่ว่าอย่างไร ไม่ว่ามีเรื่องลับอันใดซ่อนอยู่ สุดท้ายอย่างไรก็เป็นตนได้ตำแหน่งนี้แล้ว เซินสือหังคิดถึงตรงนี้ ใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะก็เริ่มนิ่งลง มหาอำมาตย์ราชวงศ์หมิง มาถึงตำแหน่งนี้ได้ นับว่าเป็นตำแหน่งสูงสุดแล้ว

เซินสือหังตอนสอบได้บัณฑิตในปีนั้นก็ราบรื่นดี สุดท้ายก็ติดจอหงวน จากนั้นก็ก้าวหน้าในหน้าที่การงานมาอย่างดี ได้เข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่ก็เหมือนมีติดขัดบ้าง แต่สุดท้ายก็ได้ดังหวัง ได้ก้าวเป็นมหาอำมาตย์แล้ว

เกี้ยวที่แบกอย่างเป็นจังหวะ ทำให้จิตใจเซินสือหังค่อยๆ นิ่งสงบลง ตนเองเป็นมหาอำมาตย์ย่อมไม่ทำตัวแบบจางจวีเจิ้งและจางซื่อเหวยที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ และก็ไม่เหมือนกาวก่งในสมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง หรือสวีเจี้ยในสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง

ฮ่องเต้ว่านลี่นั่งมองจางซื่อเหวยสู่กับพวกจางจวีเจิ้ง ยังไล่ให้จางซื่อเหวยกลับไปไว้ทุกข์อย่างไม่คิดจะรั้งไว้แม้แต่น้อย เห็นได้ว่าทรงเบื่อหน่ายอำนาจมหาอำมาตย์อย่างที่สุด ตนเองดำรงตำแหน่งนี้ วันหน้าเกรงว่าคงต้องโอนอ่อนตามผู้อื่นแล้ว

คิดถึงตรงนี้ เซินสือหังก็หลุดยิ้มออกมา โอนอ่อนแล้วอย่างไร มหาอำมาตย์ก็คือมหาอำมาตย์ เป็นผู้นำขุนนางบุ๋น ขอเพียงนั่งในตำแหน่งนี้ เรื่องที่ทำได้มีมากมาย ไยต้องคิดไกลเพียงนั้น……

ตนเองคิดตกแล้ว เซินสือหังก็ย่อมไม่เคร่งเครียดแล้ว แต่เหมือนว่าเกี้ยวจะช้าลง คิดแล้วน่าจะถึงจวนแล้ว เกี้ยวแบกมาได้ชำนาญ แต่ไรก็ความเร็วระดับนี้ เหตุใดวันนี้จึงช้าลง เซินสือหังรู้สึกผิดปกติ รอบด้านที่แต่ไรก็เงียบเหงาอยู่ๆ ก็คึกคักวุ่นวายขึ้นมา

ที่พักเซินสือหังเป็นบริเวณเงียบสงบมาตลอด ไม่มีผู้ใดมามอบของขวัญ ใกล้ปีใหม่เช่นนี้ ก็ย่อมไม่มีผู้ใดว่างจะมาเดินเล่นรอบจวน เซินสือหังเลิกม่านเกี้ยวขึ้นมองออกไป ทันใดก็ต้องตกตะลึง มาถึงถนนหน้าจวนตนแล้ว แต่บนถนนเต็มไปด้วยรถม้าที่อัดกันแน่นจนไม่อาจขยับได้ หลายคนในชุดขุนนาง ด้านหลังมีคนรับใช้แบกของขวัญมา

ที่เรียกว่าหน้าบ้านราวกับตลาด ก็คงเป็นเช่นนี้นี่เอง เซินสือหังอึ้งมองอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้ายิ้ม ……

************

“พรุ่งนี้เจ้าปรากฏตัว จากนั้นสั่งให้คนกระจายข่าวว่าหู่โถวไม่ได้เป็นหวัดธรรมดา หากเชิญหมอมารักษาไม่ทัน เกรงว่าคงเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

จวนหวังทง ณ เมืองเทียนจิน จางซื่อเฉียงที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่นานหลายเดือนในที่สุดก็กลับมา พอกลับมาก็ถูกหวังทงพาเข้าไปคุยกันในห้องสองคน หลายคนได้แต่ถอนหายใจ เขาช่างเป็นคนสนิทของใต้เท้าจริงๆ

สีหน้าจางซื่อเฉียงเห็นชัดว่าเหนื่อยล้ามาก ระหว่างทางคงลำบากมาไม่น้อย ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ก็รีบคำนับตอบว่า

“ใต้เท้าวางใจ ข้าน้อยจะไปจัดการทันที!!”

“กระจายข่าวเสร็จ ก็กลับไปพักสองสามวัน ครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้ว……เรื่องครั้งนี้แค่คำว่าลำบากแล้วคงยังไม่พอ วันหน้าค่อยว่ากัน!”

จางซื่อเฉียงก้มคำนับ ด้วยความสัมพันธ์ของเขากับหวังทง หวังทงกล่าวเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว จางซื่อเฉียงกำลังจะออกไปก็ถูกหวังทงเรียกไว้ ถามขึ้นเบาๆ ว่า

“ศพเห็นกับตาหรือไม่ มั่นใจว่าไม่ผิดพลาด?”

“เรียนใต้เท้า พวกข้าน้อยไปผูโจวมา หาที่พักนอกเมือง จัดการตามแผน ร้านทงไห่ไปเปิดสาขาที่ผูโจว จ้างให้พวกข้าน้อยไปเป็นคนงาน เถ้าแก่ยังส่งของขวัญไปมอบให้ตระกูลจางครั้งหนึ่ง เป็นโสมเก่าชั้นดีจากเหลียวตง ตามธรรมเนียมร้านค้าในผูโจว ล้วนต้องไปคารวะตระกูลจาง เพราะที่ส่งมอบไปเป็นโสมคน บำรุงร่างกายผู้สูงอายุดีเยี่ยม จึงได้เห็นบิดาของจางซื่อเหวย ……”

จางซื่อเฉียงน้ำเสียงแหบพร่า แต่ก็กล่าวอย่างชัดเจน ยามนี้ดึกมากแล้ว จึงต้องพูดให้เบาที่สุด

“ข่าวจางซื่อเหวยในเมืองหลวงส่งม้าเร็วไปกลับมาแล้ว บอกว่าคนจวนจางพากันเป็นห่วง ต่อมาก็ดีใจมาก พอวันที่ เดือนสิบสอง จวนจางก็จัดงานเลี้ยง แขกหลั่งไหลกันมามากมาย นายท่านจางก็ปรากฏตัวออกมาดื่มหลายจอก แม้แต่นายอำเภอผิงหยางก็มา แขกมากันมาก แม้ว่าเป็นตระกูลใหญ่ แต่คนงานก็ไม่พอ อู๋เอ้อร์บอกว่าการป้องกันจึงหละหลวม ตกดึกพวกข้าน้อยเปลี่ยนเป็นชุดคนงานตระกูลจางปีนกำแพงเข้าไป ในจวนจางนั้น อู๋เอ้อร์ศึกษาเส้นทางมาแล้ว จึงหากที่พักนายท่านจางเจอในทันที”

หวังทงถอนหายใจ เรื่องนี้แม้ว่าเขาจัดการเอง แต่พอพูดออกมา ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง สีหน้าจางซื่อเฉียงยังคงนิ่ง

“ก่อนหน้านี้ได้สืบข่าวมาแล้วว่า บิดาจางซื่อเหวยนอนหลับสนิท คนรับใช้กลางคืนก็ตามหลับสนิทไปด้วย ……ตอนพวกเราไปถึงก็โชคดี สามคนคลำทางเข้าไป……”

“ใช้กระดาษเยื่อไม้เปียกปิดปากและจมูกแล้วได้ใช้ผ้าเช็ดจมูกและรอบตาและใบหน้าให้สะอาดหรือเปล่า?”

หวังทงถามน้ำเสียงเคร่งเครียด จางซื่อเฉียงตอบยืนยันหนักแน่น

“ขอใต้เท้าวางใจ ที่ท่านกำชับมา ข้าน้อยจัดการเรียบร้อยแล้ว”

หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า

“ชายชราตกดึกสิ้นลมตายเป็นเรื่องปกติ ขอเพียงปากและจมูกไม่มีร่องรอยกระดาษ[1] เจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพแม้สงสัยแต่ก็ไม่กล้าเดาสุ่ม”

กล่าวจบ หวังทงก็เงียบไปนานก่อนจะถามว่า

“คุมตัวอู๋เอ้อร์ดีแล้วใช่ไหม?”

“ตอนนี้เข้าพักอยู่ที่ค่ายทหารนอกเมือง ไม่มีข้าน้อยไปด้วย ไม่ให้เขาพบผู้ใด ยิ่งไม่ให้ออกไปไหน”

………………..

[1] วิธีการสังหารด้วยการปิดกระดาษทำจากเยื่อไม้ (น่าจะคล้ายกระดาษสาบาง) ไว้บนปากและจมูก จากนั้นพ่นน้ำหรือสุราลงไป กระดาษจะแนบไปกับปากและจมูก ให้ค่อยๆ ขาดอากาศหายใจตาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!