ตอนที่ 645 ข้อเสียของนโยบายดี หรือว่าสังหารปิดปาก
ระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่เป็นนโยบายเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน หวังทงคิดเช่นนี้มาตลอด และตั้งแต่นำมาใช้ คลังหลวงก็เต็มยิ่งกว่าเดิมมาก สิ่งนี้ยิ่งทำให้เขาจำได้ชัดเจน หากวันนี้ไปค่ายทหารนอกเมือง ได้เห็นผู้อพยพมาเหล่านี้ก็คิดถึงระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่
“ข้ายังจำได้ว่าไช่กงกงและท่านหยาง ยังมีกู่จื้อปินพวกเขาเคยคิดเรื่องนี้ ว่าหลังจากตรวจสอบที่ดินเสร็จ ชาวเมืองเหอเจียนก็ย่อมเสียภาษีน้อยลงอีกห้าส่วน เหตุใดจึงเกิดชาวอพยพพวกนี้ได้?”
“ข้าน้อยตอนแรกก็งง ต่อมาจึงได้ส่งคนไปถาม ภาษีชาวนาลดลงจริง แต่ภาษีเกณฑ์แรงงานนั้นกลับเสียเปรียบมาก ชาวนาทำนามาได้ย่อมไม่มีเงิน ต้องจ่ายภาษี ก็ต้องขายของที่ทำนามาได้เปลี่ยนเป็นเงินก่อน พ่อค้าก็กดราคาต่ำ มีแต่จำยอมขายไปมากเพื่อให้ได้เงินมาพอจ่ายภาษี การขายออกไปมากก็ย่อมส่งผลเสียมากตามไปด้วย ครอบครัวเล็กรับภาระไม่ไหว ไม่จ่ายภาษีก็ต้องมีโทษ ไม่มีทางจริงๆ จึงได้แต่ขายที่ดินรวบรวมเงิน……”
คิดถึงที่ซุนต้าไห่พูดมาแล้ว หวังทงก็เข้าใจ ทุกเรื่องล้วนมีข้อดีข้อเสีย ระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่เดิมเพื่อลดภาระให้ชาวนำยากจน ลดการควบรวมที่ดินของนายทุนใหญ่ แต่ตอนเอามาขาย ก็ย่อมถูกนายทุนใหญ่ขูดรีดเช่นเดิม ภาระดีไม่ดีหนักกว่าแต่ก่อน ชาวนาขายที่ดินทิ้ง ที่สามารถซื้อได้ก็มีแต่นายทุนใหญ่ กลับยิ่งทำให้เกิดการควบรวมที่ดินของนายทุนมากยิ่งขึ้น
ดูท่าตอนนี้แล้ว เรื่องนี้มีประโยชน์เดียวก็คือนายทุนระดับกลางและเล็กไม่ถึงกับลำบาก ท้องพระคลังมีเงินเต็ม แต่หากนานไป ไม่รู้จะเป็นเช่นไร
ซุนต้าไห่เหม่อฟังหวังทงพูด ก่อนจะรายงานเสริมต่อว่า
“เมืองเหอเจียนยังดี ว่ากันว่าบางอำเภอในซานตง เจ้าหน้าที่เก็บทั้งภาษีแรงงานและภาษีอื่นๆ ครบ ไม่ขาดตกสักรายการ เรียกได้ว่าน่าสลดแท้จริง!!”
หวังทงไม่รู้จะพูดอย่างไร ท้องที่ทำเช่นนี้ ก็เท่ากับเพิ่มภาระให้ราษฎรอีกชั้นหนึ่งมาเลี้ยงตัวเองให้อ้วนพี แต่ชาวนาทำนาล้วนต้องตกระกำลำบาก
ตอนขี่ม้าออกจากตลาดมา หวังทงก็เอาแต่เงียบ ทหารติดตามรู้สึกว่าบรรยากาศผิดปกติ เสียงคุยเล่นลดลงไปมาก
“โรงบ้านพวกเราทางเหนือหลายแห่งสะสมเสบียงพอหรือไม่?”
ได้ยินหวังทงถาม ซุนต้าไห่อึ้งไปก่อนได้สติ รีบตอบว่า
“เสบียงสั่งสมมาไม่น้อยก็เพื่อเอาไว้ใช้เองในโรงบ้าน และยังต้องรับรองการมีกินตลอดของเทียนจินอีกด้วย นอกจากผลิตเองแล้ว ยังซื้อหามาจากอีกหลายพื้นที่”
หวังทงพยักหน้า เอ่ยขึ้นน้ำเสียงเรียบว่า
“วันนี้กลับไป ก็ให้คนไปตามพวกอพยพมาที่โรงบ้าน จากนั้นค่อยซื้อหาที่ดินรอบโรงบ้าน บอกว่าต้องการเปิดพื้นที่ทำนาใหม่ ต้องการคนจำนวนมากมาบุกเบิกที่ดิน”
หวังทงมีโรงนาตอนเหนืออยู่ในเขตพื้นที่เมืองซุ่นเทียน เป็นพื้นที่ติดทะเลของเมืองซุ่นเทียน ที่นี่ใกล้ทะเลและเป็นพื้นที่ป้องกันทางทะเล จึงมีแต่หญ้ารกร้างและพื้นที่รกร้าง หวังทงจะเพาะปลูกที่นี่ บุกเบิกพื้นที่รกร้าง อย่างมากก็คงมีคนหัวเราะว่าเขาไม่รู้จักการสร้างอาชีพ แต่คงไม่มีคนค้าน ที่นาของพวกชนชั้นสูงเชื้อพระวงศ์ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับที่นี่
ซุนต้าไห่รับคำแล้วก็คิดในใจว่าหวังทงไตร่ตรองเรื่องราวได้ครบถ้วนรอบด้าน จัดการพวกอพยพให้เป็นหลักแหล่ง หากขุนนางต้องการยื่นฎีกา แม้ว่าเป็นคนสนิทฮ่องเต้ว่านลี่ แต่เกรงว่าคงสร้างความยุ่งยากให้ไม่น้อย แต่หากรวบรวมพวกอพยพไปบุกเบิกพื้นที่รกร้าง และเป็นกิจการตนเอง อย่างมากก็แค่ว่าเขาละโมบต้องการเงินทอง เรื่องอื่นย่อมไม่มีผู้ใดสนใจ
“การซ่อมแซมทางน้ำและทะเล ก็ต้องรีบจัดการให้เรียบร้อย คนพวกนี้ตอนนี้ก็แค่ต้องการกินอิ่ม ไม่ต้องให้เงินเดือนมาก เป็นช่วงเวลาดีแห่งการก่อสร้าง”
ซุนต้าไห่รับคำ ยามนี้ใกล้จะออกจากเขตเมืองแล้ว ความเร็วขบวนม้าก็เร่งขึ้นอีก หวังทงสะบัดแส้เฆี่ยนไป ไปได้ไม่กี่ก้าวก็กล่าวว่า
“ให้โรงต่อเรือเทียนจินและการค้าอื่นในเทียนจิน หากต้องการคนก็ให้เลือกจ้างชาวอพยพพวกนี้ไป ปกติเอาแต่บ่นว่าคนไม่พอไม่ใช่หรือ? เทียนจินอย่าได้มีคนหนาวตายอีกเลย”
วาจาหนัก ซุนต้าไห่ก็รับคำสั่งอย่างจริงจัง
***********
ค่ายทหารที่ตั้งนอกเมืองตอนนี้ หน่วยรักษาความปลอดภัยกำลังรับสมัครหน่วยรักษาความปลอดภัย เป็นพื้นที่ฝึกฝนการต่อสู้ของเจ้าหน้าที่และทหาร มีสองหน่วยของกองกำลังหู่เวยประจำการ ค่ายนี้ยามปกติจะมีทหารอยู่ประจำราวหนึ่งพันนาย
หลี่หู่โถวกับพวกอู๋เอ้อร์พักอยู่ในค่าย รอบๆ ค่ายที่นี่ล้วนเป็นทหารในชุดเครื่องแบบ เป็นพื้นที่ปลอดภัยยิ่ง
พอเข้าไปในค่ายก็มีคนมารับม้าไป พวกหวังทงลงจากม้าเดินเข้าไปในค่ายด้านใน เดินไปไม่กี่ก้าวก็เห็นหลี่หู่โถวตะโกนด่าอยู่ข้างหน้าว่า
“พวกเจ้างุ่มง่ามเช่นนี้ ไปถึงสนามรบคงได้ถูกฆ่าก่อนแล้ว แถวตรงหน่อย กลางวันตอนกินข้าวไม่เห็นว่าพวกเจ้าไม่มีแรงเช่นนี้นี่!!”
รูปร่างเขาแม้ว่าสูงกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันมาก แต่เทียบกันคนในลานฝึกที่รูปร่างกำยำแล้ว ก็ยังเห็นได้ว่าเตี้ยอยู่มาก แต่พอเขาตะโกนดัง ทุกคนก็ทำตามอย่างว่าง่าย ไม่มีคนกล้าไม่ปฏิบัติ
หวังทงเห็นเช่นนี้แล้ว มุมปากก็ยกยิ้มอย่างอดไม่ได้ ทหารข้างๆ ก็สัพยอกว่า
“แม้ว่าใต้เท้ากำชับให้หัวหน้าหน่วยหลี่พักผ่อน แต่หัวหน้าหลี่พอหายป่วยก็ออกมาฝึกหน่วยรักษาความปลอดภัยทันที หน่วยรักษาความปลอดภัยพวกนี้เอาแต่บ่นว่าลำบากทุกวัน”
ทุกคนพากันหัวเราะฮาดัง อู๋ต้าด้านหลังหวังทงเห็นหลี่หู่โถว ก็ตาส่องประกาย ชะเง้อมองไปข้างหน้าก่อนสีหน้าจะนิ่งลง
หลี่หู่โถวเห็นพวกหวังทงมา ก็หันไปตะโกนใส่ขบวนฝึกว่า
“ฝึกต่อไป!!”
ตนเองก็หันหลังวิ่งมาทางนี้ หวังทงหันไปกวาดตามองกล่าวว่า
“จางซื่อเฉียง อู๋ต้าอยู่นี่ก่อน คนอื่นๆ ไปหาที่พักผ่อนกันก่อน!”
ทุกคนก้มคำนับออกไป หลี่หู่โถวมาถึงด้านหน้า หวังทงส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“เจ้าช่างมีแรงกำลังมากเสียจริง บอกว่าให้พักผ่อนให้เต็มที่ ปีนี้ให้เจ้าพักได้แล้ว ไปฉลองปีใหม่กับบิดาเจ้าที่เมืองหลวงได้แล้ว บิดาเจ้าปีนี้เป็นนายกองพันแล้ว ตำแหน่งอื่นๆ ก็ไม่น้อย เจ้าน่ากลับไปฉลองสักหน่อย”
หลี่หู่โถวต่อหน้าคนอื่นจะวางท่าทางแบบนายทหารใหญ่ แต่ต่อหน้าหวังทงกลับทำตัวอย่างสบายอย่างมาก ไม่ได้เจอหวังทงมานานจึงตื่นเต้นยินดีอย่างมาก กระโดดไปมากล่าวว่า
“หน่วยหนึ่งทางนี้ไม่ได้ไปดูมาหลายเดือน ไม่ดูไม่ได้เลย เจ้าพวกนั้นหากไม่เฝ้าดูให้ดี ก็ชอบแอบขี้เกียจ จะว่าไป กลับบ้านไปไม่สู้อยู่ที่ค่ายทหารนี่อิสระกว่า เมื่อก่อนกลับบ้านไปให้บิดาข้าสั่งสอน แต่ตอนนี้กลับไปก็เอาแต่ให้ข้าระวัง บ่นๆ จนรับไม่ไหวแล้ว”
“บิดาเจ้าก็หวังดีกับเจ้า พาข้าไปหาอู๋เอ้อร์!”
หวังทงตบบ่าหลี่หู่โถวอย่างไม่รู้จะว่าอย่างไรดี หลี่หู่โถวพยักหน้ารับ เดินไปได้สองก้าวก็หันมากล่าวว่า
“เจ้าคืออู๋ต้า พี่ชายอู๋เอ้อร์หรือ?”
เห็นอู๋ต้าพยักหน้า หลี่หู่โถวก็กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า
“ตลอดทางได้ยินอู๋เอ้อร์เล่าถึงพี่ไม่น้อย บอกว่าเขาสูงใหญ่ แต่พี่เตี้ย เป็นเพราะตอนเด็กไม่ได้กินอะไร ให้เขากินคนเดียว จึงทำให้เขาโตสูงใหญ่ หากพี่กลับไม่โตแทน!”
ได้ยินหลี่หู่โถวเล่า อู๋ต้าก็สะดุ้ง ขอบตาแดงก่ำ ก้มหน้าใช้มือขยี้ตาสองสามที หวังทงขมวดคิ้วมอง ในใจก็คิดว่าอู๋ต้าอย่างไรก็เป็นนักเลงคนใหญ่คนโตในแวดวงที่ซานตง เหตุใดจึงมีอารมณ์อ่อนไหวราวอิสตรี จางซื่อเฉียงกลับถอนหายใจ อู๋ต้าเงยหน้าฝืนยิ้มกล่าวว่า
“หัวหน้าหลี่ฟังอู๋เอ้อร์เหลวไหลแล้ว ตอนเด็กครอบครัวข้าน้อยถูกศัตรูตามล้างแค้น ข้าน้อยพาอู๋เอ้อร์หนีออกมาได้ รอนแรมอยู่ได้ครึ่งปี ครึ่งปีนั้นลำบากไม่น้อย ต่อมาบิดาข้าน้อยกลับจากทะเล วันเวลาจึงดีขึ้น ตอนนั้นอู๋เอ้อร์อยากกินเนื้อข้าน้อยจึงไปฆ่าสุนัข……”
คิดถึงตอนนี้ที่พวกเขายังเป็นหนุ่มน้อย อู๋ต้าถึงกับกล้าฆ่าสุนัข ช่างโหดร้ายเสียจริง มิน่าเล่าพวกเขาจึงกล้าเป็นปรปักษ์กับนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรต่งช่วงสี่ หวังทงกลับฟังแล้วทนร้อนใจไม่ไหว ตบบ่าเร่งหลี่หู่โถวให้นำทางต่อ
ก้าวไปได้สองสามก้าว ข้างหน้าก็มีเรือนเดี่ยว ค่ายทหารทางเหนือของเมืองล้วนเป็นเรือนพักติดกัน ไม่มีเรือนแยกเดี่ยว เรือนนี้เป็นเรือนที่หวังทงสั่งให้คนสร้างไว้ ดูจากที่ไกลๆ แล้ว ประตูปิดแน่น ด้านนอกมีทหารเฝ้าอยู่อีกสิบกว่านาย พอเห็นว่ามีคนมา ก็รีบตั้งท่าป้องกัน
หลี่หู่โถวเดินอยู่ข้างหน้ายกมือทัก คนพวกนั้นจึงได้ผ่อนท่าทีลง รอจนเห็นว่าที่มาคือหวังทง ทุกคนก็ก้มคำนับ พอเดินเข้าไปหน้าประตู หวังทงกล่าวว่า
“หู่โถว กลับไปฝึกทหารเจ้าได้แล้ว จางซื่อเฉียงกับอู๋ต้าอยู่กับข้าก็พอ”
หลี่หู่โถวอึ้งไป ก่อนจะหันหลังจากไป กำลังจะจากไปก็หันมาขอร้องว่า
“พี่หวัง อู๋เอ้อร์ผู้นี้ไม่ค่อยมีประโยชน์ในการสงครามเท่าไร แต่หากว่าเข้าสังหารคนในเมืองแล้ว เขาเป็นคนเก่งทีเดียว ยังรู้จักคนในวงการนักเลงอีกไม่น้อย ยังไงก็มีประโยชน์”
กล่าวจบก็วิ่งออกไป ความหมายของหลี่หู่โถว หวังทงอึ้งไปก่อนจะได้สติ อดไม่ได้หลุดเสียงหัวเราะออกมา ในที่สุดก็เข้าใจอาการราวอิสตรีของอู๋ต้าเมื่อครู่แล้ว
หวังทงส่ายหน้าเดินหันกลับไปเปิดประตูเดินเข้าไป พอก้าวเข้าไป ก็เห็นอู๋เอ้อร์กำลังฝึกหมัดมวยอยู่กลางลาน พออู๋เอ้อร์เห็นว่าที่มาคือหวังทง ก็รีบเก็บท่ามวย รอจนเห็นอู๋ต้าด้านหลังหวังทง สีหน้าก็แปรเปลี่ยน รีบคุกเข่าโขกศีรษะกล่าวว่า
“ใต้เท้าให้ข้าน้อยพบพี่ชาย ความเมตตาใหญ่หลวงนี้ ชาติหน้าข้าน้อยก็มิลืม”
โขกศีรษะอีกหลายที หันไปกล่าวกับจางซื่อเฉียงกล่าวว่า
“ตลอดทางมีพี่จางดูแลอู๋เอ้อร์ไม่น้อย อู๋เอ้อร์ไม่อยู่แล้ว พี่ชายอู๋เอ้อร์และตระกูลอู๋คงต้องฝากพี่จางดูแลแล้ว”
จางซื่อเฉียงก็พยักหน้า หวังทงอยากจะร้องไห้ก็ยาก อยากยิ้มก็ไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้ากล่าวว่า
“มาครั้งนี้ไม่ใช่มาปิดปากเจ้า อย่ามาเล่นบทโศกเศร้าลาจากพวกนี้ เข้าไปด้านในคุยกัน!!”
กล่าวจบก็เดินเข้าไปด้านใน ด้านหลังกลับเงียบกริบ ตามมาด้วยเสียง ‘โครม’ จากนั้นก็เสียง ‘ปักๆ ’ ไม่ต้องหันไปดูก็ว่าพี่น้องตระกูลอู๋กำลังคุกเข่าโขกศีรษะ หวังทงผลักประตูเข้าไป กล่าวว่า
“หากต้องการปิดปากเจ้า ไม่ต้องรอเจ้ากลับมาหรอก……อย่าเสียเวลา ข้ามีงานยุ่ง!?”
***********
หวังทงรำคาญมาก พี่น้องตระกูลอู๋กลับราวกับรอดจากความตายมา หากก็ยังไม่อยากจะเชื่อนัก จนได้ยินวาจาหวังทง
“โจรสลัดกับโรงเรือหาคนมาได้น้อย ตอนนี้ให้เจ้าสองพี่น้องไปหานักเลงในวงการ พวกหัวขโมย……”