Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 734

ตอนที่ 734 เมืองต้าถงตั้งค่ายทหาร

กองกำลังฝ่ายขวาเมืองต้าถงใกล้กับทางซ้ายของกองกำลังอวี้หลิน ทหารมาใหม่ 30 , 000 กว่านาย ก็ย่อมเริ่มคึกคัก ทหาร 30 , 000 กว่า บ้างมาจากเมืองจี้โจว บ้างมาจากเทียนจิน

ทหารแต่ละหน่วยแยกกันไปหาที่ตั้งกระโจม กระโจมพักของใต้เท้าผู้แทนพระองค์อยู่ในเขตที่ตั้งกระโจมค่ายกองกำลังหู่เวย ราษฎiที่อาศัยอยู่ในเขตกองกำลังฝ่ายขวาเมืองต้าถง ปกติถูกกดขี่อย่างมาก ทหารมาใหม่มากเช่นนี้ หนีได้ก็พากันหนีก่อน หนีไม่ได้ก็ได้แต่อยู่อย่างหวาดผวา สตรีไม่กล้าออกจากบ้าน ของมีค่าก็รีบเอาไปเก็บซ่อน

แต่พอเดือนสิบเอ็ดมา ก็พบว่าทหารที่มาใหม่ไม่ได้เลวอย่างที่คาดไว้ พวกที่มาชุดแรกไปตั้งกระโจม ก่อตั้งค่ายพัก ย่อมต้องการแรงงานชาวบ้านจำนวนมาก แต่ก็มิได้ทำงานฟรี หากมีเงินให้ด้วย เงินสดๆ สิบวันจ่ายทีไม่ติดค้าง และตอนทำงานก็มีข้าวให้กิน แต่หากกินข้าวก็จะถูกหักเงินค่าแรงจำนวนหนึ่ง ทุกคนคิดดูแล้ว จบงานนี้ ปีใหม่ปีนี้ ครอบครัวย่อมมีเงินทองใช้สอยกันสบาย

ดังนั้นต่อมา พวกที่หนีไปจึงได้กลับเข้ามา ความคืบหน้าการก่อสร้างก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว เสร็จตรงตามเวลา

ครั้งนี้ต่างกับเมื่อก่อนมาก เรื่องแรกมีโกดังใหญ่และเสบียงอาหารจำนวนมาก ตอนเริ่มสร้างยังมีคนหัวเราะเยาะ บอกว่าไม่แน่ว่าอาจเป็นดังอุบายสร้างเรือล่อเอาลูกธนู รอพวกมองโกลมา ก็ให้ยิงธนูใส่โกดัง เพราะอย่างไรข้างในก็ว่างเปล่า

แต่คนหัวเราะเยาะก็พบว่าตนเองกลายเป็นถูกหัวเราะเยาะแทน เพราะเมืองต่างๆ ในมณฑลซานซี ยังมีรถใหญ่จากเหอหนานขนสินค้ามาที่นี่ ขนกันมาเต็มคันรถ ยังต้องสร้างที่เก็บเพิ่มอีก จึงจะวางพอ

เห็นเช่นนี้ก็มีคนกล่าวอีกว่า เสบียงและสิ่งของมากมายเช่นนี้ ย่อมต้องถูกคนมาขโมยแน่ หรืออาจมาปล้นเอาไปเลยก็ได้ ทหารที่นี่ไหนเลยจะมีระเบียบวินัยอันใด

คนที่พูดก็พบในทันทีว่าตนเองกล่าวผิดไปแล้ว มีนายทหารนายหนึ่งอ้างว่าลูกน้องไม่มีเสบียงอาหารจะกิน นำคนไปแย่งชิงอาหารมา ผู้ใดก็รู้ว่าผู้นี้เป็นคนที่ใต้เท้าจากกองกำลังฝ่ายขวาเมืองต้าถงส่งมาเป็นสายที่นี่ หากทางนี้ไม่มีปฏิกิริยาใด เช่นนั้นจากนี้ก็คงเกิดเหตุแย่งชิงกันใหญ่ แต่เช้าแย่งชิงไป บ่ายก็ถูกตัดหัวไปแขวนไปบนราวไม้ให้ทุกคนได้เห็นทั่วกัน

ว่ากันว่าคนที่จับไปตัดหัวก็คือทหารในสังกัดของหม่าต้งที่มาเป็นแม่ทัพชั่วคราวที่นี่ แม้แต่ทหารใต้เท้าหม่ายังต้องมาดูแลโกดังนี้ นี่เป็นโกดังผู้ใดกัน ถึงกับสามารถให้ทหารรองแม่ทัพมาดูแลด้วยตนเองเช่นนี้ได้

โกดังและค่ายทหารสร้างเสร็จ ทัพใหญ่มาถึง ราษฎรก็เริ่มเครียดอีกครั้ง อย่างไรก็ต้องหาที่หลบซ่อน กลัวว่าจะเกิดเหตุภัยทหารรังแก

แต่พวกเขาก็คิดผิดอีก ทหารเมืองจี้โจวกับทหารที่ว่าสังกัดกองกำลังวังหลวงที่มาใหม่ รักษาระเบียบวินัยเคร่งครัด วันๆ ฝึกอยู่แต่ในค่ายทหาร ไม่ออกมารบกวนราษฎรแม้แต่น้อย

ทุกครั้งที่ทหารพวกนี้ต้องการสิ่งใด ก็จะนำเงินออกมาซื้อหาที่ตลาด ราคาเท่าไรพวกเขาก็ไม่เคยต่อราคา แต่หากโก่งราคาสูง พวกเขาก็ย่อมไม่ให้ตนเองเสียเปรียบ กลับกัน ทหารเมืองต้าถงที่อยู่ตามกำแพงเมืองกลับไร้วินัย มีคดีหลายคดี ขุนนางท้องที่กับขุนพลท้องที่ก็ทำเป็นไม่เห็น เป็นเรื่องชินชาเสียแล้ว

*************

นอกกำแพงก็คือทุ่งหญ้า สายสืบพวกนอกด่านในเมืองต้าถงก็มากราวกับขนวัว ทหารมารวมตัวกันมาเช่นนี้ ก็ย่อมนำพาสายสืบมากมายให้มาสังเกตการณ์เช่นกัน

แม้ว่าเดือนสิบสองอากาศเมืองต้าถงจะเหน็บหนาวเสียดแทง พอฟ้ามืดลมพัดมาก็ราวกับมีดบาดผิว แต่ก็ยังมีพวกสายสืบมาชะเง้อดูกันอยู่รอบนอกค่าย

“……เมืองจี้โจวมีทหารหรือไม่กันแน่ มีมาจากเทียนจินอีกกอง……เหตุใดจึงเงียบเชียบเช่นนี้?”

คนหนึ่งชะเง้อมองไปก็กล่าวพึมพำเบาๆ ไป อีกคนยกนิ้วขึ้นปิดปากเป็นสัญญาณให้เงียบ กล่าวเบาๆ ว่า

“จะไม่มีได้อย่างไร กลางวันฝึกกันเจ้าไม่ใช่ว่าก็เห็นหรือ เจ้าดูทางนั้น ที่ตั้งกองกำลังฝ่ายขวาเมืองต้าถงเอะอะราวกับตลาดสด เจ้าดูทางนี้ กองกำลังทหารที่ชีจี้กวงฝึกมา ไม่เหมือนกัน”

สองคนตกตะลึง คนหนึ่งกล่าวว่า

“ไปกันก่อนเถอะ อีกไม่นาน พวกทหารม้าหมิงก็จะออกมาลาดตระเวนแล้ว!”

สองคนย่อตัวย่องถอยไปในความมืด ระหว่างทางยังแอบกระซิบวิพากษ์วิจารณ์ว่า

“ทหารเมืองจี้โจวเป็นเช่นนี้ก็สมควรอยู่ เหตุใดทหารกองกำลังสังกัดวังหลวงนั้นกลับเป็นเช่นกัน……”

“ก็แค่ของจำอวด กองกำลังสังกัดวังหลวงจะไปสามารถอันใด ก็แค่กองกำลังคุณชายน้อย……”

พวกหวังทงที่ถูกเรียกว่ากองกำลังจำอวดกำลังอยู่ในค่ายทหาร หวังทงในฐานะผู้แทนพระองค์และผู้บัญชาการเมืองต้าถงย่อมนั่งอยู่ตรงกลาง รองแม่ทัพเมืองต้าถงหม่าต้ง รองแม่ทัพเมืองจี้โจวหยางจิ้นนั่งอยู่ด้านซ้ายแถวหน้า ทหารกองกำลังหู่เวยล้วนอยู่ด้านขวา

หารือการรบ ก็เพื่อรู้สถานการณ์ทั่วไปของการฝึกทหารในแต่ละค่าย ยังมีข่าวจากสายลับที่ส่งออกไปนอกด่าน แม้ว่าทหารเมืองต้าถงจะเป็นเจ้าของพื้นที่ เรียกได้ว่าแม้แต่ลมพัดยอดหญ้าบนทุ่งหญ้านอกด่านก็ต้องรู้ราวพลิกฝ่ามือ แต่กลับเป็นว่าข่าวที่ได้มาเป็นเพียงข่าวฟังจากเขาเล่ามา ไม่มีข่าวมีค่าอันใด กลับเป็นข่าวที่หวังทงได้จากร้านสามธารามีค่าข่าวมากกว่า หม่าต้งกับหยางจิ้นล้วนฟังอย่างตั้งใจ

หม่าต้งกับหยางจิ้นอย่างไรก็รู้เรื่องภายใน ดังนั้นหารือกันจึงไม่ต้องปิดบัง พอหวังทงบอกเล่าข่าวที่ได้มาจบ เขาลังเลกล่าวว่า

“ใต้เท้า ข้าน้อยมีทหารม้า 1,700 นาย ล้วนเป็นทหารในสังกัดข้าน้อยที่ฝึกมาเอง ใต้เท้า จำนวนนี้น้อยไปหรือไม่ ทหารเมืองต้าถงในบัญชีทหารก็มีราวเกือบแสนห้า หากคิดเคลื่อนกำลัง ข้าน้อยสามารถเคลื่อนกำลังมาให้มากอีกหน่อย เช่นนี้จะดีกว่าหรือไม่”

รองแม่ทัพเมืองจี้โจวหยางจิ้นหรี่ตามองหม่าต้ง ก่อนจะนั่งตัวตรง สายตาดูแคลนอย่างยิ่ง ทหารแสนห้าเกรงว่าส่วนใหญ่ก็คงเป็นพวกชาวไร่ชาวนาเสียมากกว่า ไหนเลยจะออกศึกได้

หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“รองแม่ทัพหม่าต้องการเช่นนี้ก็ดีอยู่ แต่ทหารเน้นเก่งกล้าไม่เน้นจำนวน สามารถมีทหารกล้า 2,000 นายได้ ก็สามารถใช้การได้มากมาย ไม่ต้องร้อนใจแล้ว”

หม่าต้งยิ้มเจิดจ้า หวังทงถามขึ้นอีกว่า

“ทหารม้า 1,700 นายนี้เป็นทหารติดตามในจวนรองแม่ทัพหม่าเท่าไร?”

“เรียนใต้เท้าผู้แทนพระองค์ ทั้งหมด 900 กว่า ที่เหลือเป็นทหารเก่าจากกองกำลังเทียนเฉิงและหยางเหอ พวกเขานำมาอีกร้อยกว่า หรือหลายสิบ ยังมีอีกสามร้อยกำลังมา ดังที่ใต้เท้าทราบแล้ว”

แม่ทัพใหญ่ล้วนมีทหารติดตามตน ขุนพลตำแหน่งอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็มีเช่นกัน หม่าต้งตอนนั้นเป็นขุนพลที่ปรึกษาในกองกำลังเทียนเฉิงกับหยางเหอ และยังมีนายทหารเดิมที่ทุกคนนำทหารม้าในสังกัดตนเองมา ก็รวมได้จำนวนเช่นนี้

หยางจิ้นได้ยินก็แปลกใจ อะไรที่บอกว่าอีก ‘สามร้อยกำลังมา’ และ ‘ใต้เท้าทราบแล้ว’ นี่ไม่ใช่วาจาที่ควรกล่าวกับแม่ทัพใหญ่ในค่ายทหาร ที่เมืองจี้โจวแม้ชีจี้กวงจะวางตัวนุ่มนวล แต่ยามหารือเรื่องการทหาร หากมีผู้ใดกล่าวเช่นนี้ ย่อมถูกนำตัวออกไปตัดหัวในทันที

ที่ทำให้คาดไม่ถึงก็คือ หวังทงที่อายุยังน้อยกลับนิ่ง ถึงกับทนวาจาเช่นนี้ได้ ยิ้มพยักหน้าและยังแสดงท่าทีไม่รู้สึกอันใด ยิ้มกล่าวว่า

“รองแม่ทัพหม่ามีกำลังมากจริง 1,300 กว่านาย ช่างไม่ธรรมดา”

“มิบังอาจ ใต้เท้าชมเกินไปแล้ว ทหารในจวนก็เป็นบิดาข้าน้อยที่แบ่งสรรมาให้ น้องข้าน้อยหม่าหลินทางนั้น นำทหารไปเมืองเหลียวโจวถึง 2,500 นาย เขียนจดหมายมาบอกว่า แม่ทัพหลี่เมืองเหลียวโจวมีถึงหมื่นกว่านาย รวมของบุตรชายหลายคนแล้ว ตระกูลหลี่มีทหารติดตามในตระกูลเกือบสองหมื่น นี่สิเรียกว่าไม่ธรรมดา”

กล่าวเรื่องนี้ หยางจิ้นสีหน้าคงเดิม พวกหลี่หู่โถวกลับเพิ่งค่อยๆ คิดได้ แผ่นดินหมิงตอนนี้ ทหารที่ต่อสู้ได้ก็จะเป็นทหารในสังกัดแม่ทัพมีชื่อ การบุกโจมตีก็ต้องอาศัยพวกเขา ออกสังหารไม่เกรงกลัวก็ต้องพวกเขาเหล่านี้ นายทหารนายหนึ่งเก่งหรือไม่ มิใช่ขึ้นกับความสามารถการยุทธ์ ไม่ขึ้นกับความสามารถในการฝึกทหาร และขึ้นกับว่ามีทหารในสังกัดเท่าไร เพราะเป็นต้นทุนในการออกรบที่เขามีอยู่ในมือแท้จริง

ชีจี้กวงเมืองจี้โจวฝึกทหารกับกองกำลังหู่เวยฝึกทหารกลับไม่เคยคำนึงถึงเรื่องทหารในสังกัดตน ฝึกทั้งกอง ไม่มีฝึกพิเศษเฉพาะกลุ่ม ดังเช่นทหารเทียนจิน หรือทหารติดตามหวังทงก็ล้วนได้ฝึกแบบเดียวกันในค่ายทหารที่เทียนจิน

กล่าววาจาทั่วไปสักพัก หยางจิ้นก็ลุกขึ้นขอตัวออกไปลาดตระเวนในค่าย หม่าต้งกลับอยู่ต่อ พอหยางจิ้นออกไป หวังทงก็ยิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้าหม่า หากว่าเงินทองไม่พอ มาเบิกเอาที่ข้าได้ อย่างได้ปล่อยให้พี่น้องเราต้องอดอยาก!”

“ใต้เท้าช่างเอาใจใส่อย่างมาก เมืองเซวียนฝู่จ่ายเงินก้อนแรกมาแล้ว แม้ไม่มีสินค้านั้น ข้าน้อยก็ยังมีเงินเหลือไว้รับสินค้าใต้เท้า ด่านไป๋หยางทางนั้นหากขายหมดก็อย่างน้อยสองแสนกว่าตำลึง ยกให้ข้าน้อยหมด เรื่องนี้ เรื่องนี้ ช่างน่าละอาย เรื่องทุ่งหญ้านอกด่านเป็นใต้เท้าออกหน้าจัดการ……”

หวังทงโบกมือยิ้มกล่าวว่า

“ไม่มีท่าน เรื่องนี้จะราบรื่นได้อย่างไร ทหาร 300 ของท่านบนทุ่งหญ้านอกด่านเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย และท่านยังต้องมากรับรองทหารอื่นที่มากมายเช่นนี้อีก ล้วนอาศัยเงินทองสยบทุกเรื่อง ดังนั้นไม่ต้องเกรงใจ!”

ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ หม่าต้งก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยืนขึ้นคำนับ ยิ้มกล่าวว่า

“เจ้าเด็กพวกนั้นอยู่ตอนเหนือสนุกสนานกันมาก เมื่อก่อนปล่อยพวกเขาออกไปไม่เห็นสนุกกันเช่นนี้ ทุกคนได้เงินก้อนโต ไม่อยากกลับมากันแล้ว!”

หวังทงยิ้มพยักหน้ายกมือเคาะโต๊ะ กล่าวว่า

“พวกเขาลำบากบนทุ่งหญ้านอกด่านกันมาหลายเดือนแล้ว ใกล้ได้เวลากลับมาพักผ่อนกันแล้ว!”

************

ขบวนพ่อค้าถูกปล้นไปคราก่อน ครั้งนี้ร้านจิ้นเหอนำคาราวานไป ยังมีพ่อค้าอื่นๆ ที่ขอไปด้วยอีกรวมแล้วก็รถสินค้าหลายร้อยคัน เตรียมเดินทางไปยังเมืองกุยฮว่าเฉิง ครั้งนี้ว่ากันว่า เผ่าอันต๋าส่งทหารม้ามารับและอารักขาตลอดเส้นทาง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!