ตอนที่ 738 ทัพใหญ่เคลื่อนกำลัง ต่างมีวาจาวิจารณ์
แต่ผู้แทนพระองค์หวังทงนำทัพ ก่อนหน้านี้ยังใช้วิธีรุนแรงจัดการ ตัดหัวเลือดสาด ทุกคนพากันหวาดกลัว ไม่กล้าเล่นลูกไม้
กอปรกับเมื่อสองเดือนก่อน ร้านสามธารากับอีกหลายร้านค้าได้เริ่มซื้อหาเสบียงจากทั่วมณฑลซานซีมาเตรียมไว้แล้ว ยังมีขนมาจากเหอหนานและเขตปกครองเหนืออีกระลอกใหญ่ เมืองต้าถงเองก็มีสะสมไว้ ในเวลาสั้นๆ จึงได้เสบียงสะสมเต็มสมบูรณ์
แผ่นดินหมิงตั้งแต่ตั้งมาก็รบกับพวกทุ่งหญ้านอกด่านไม่หยุด หลายครั้งที่แพ้หนักไม่ใช่ในสนามรบแต่เป็นเพราะกองหลังถูกศัตรูตัดตอน จากนั้นขวัญทหารก็สั่นคลอน ถูกโจมตีจึงได้พ่ายแพ้หนัก
ใช่ว่าทหารม้าทุ่งหญ้านอกด่านไม่ต้องการเสบียง แต่ทุ่งหญ้านอกด่านเป็นพื้นที่พวกเขา ทุกครั้งที่ทหารหมิงออกศึกพวกนอกด่านก็มักรบในเขตตนเอง
เสบียงเป็นเรื่องใหญ่ หากไม่ใช่แค่แม่ทัพเท่านั้นที่รู้ แม้แต่ทหารผู้น้อยหรือชาวบ้านเมืองต้าถงเองก็รู้เรื่องนี้ดี
ตอนได้ข่าวว่าจะเคลื่อนกำลังทหาร พื้นที่รอบๆ กองกำลังฝ่ายขวาเมืองต้าถงรราว 300-400 ลี้ พริบตาเดียวก็ว่างเปล่าทั้งบ้าน พวกบ้านที่มีแรงงานชายล้วนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
จนกระทั่งก่อนออกเดินทางสองวัน จึงค่อยๆ มีคนออกมาจากที่หลบซ่อน เหตุผลก็ง่ายมาก กองทัพใหญ่เช่นนี้เดินทาง คนงานชายที่ใช้ขนของก็ย่อมต้องการจำนวนมาก พวกที่มาขนของย่อมไม่อยากมา งานในกองทัพยากลำบากทั้งหลายล้วนโยนให้พวกเขาทำ แล้วตอนพ่ายศึกก็ทิ้งพวกเขารั้งท้าย ไม่มีค่าตอบแทนให้อีก งานหนักนี้ใครอยากทำกัน
ทางการก็ย่อมรู้ว่าชาวบ้านไม่อยากทำงานหนักพวกนี้ ดังนั้นทุกครั้งจึงมาจับตัวบังคับไปทำไม่บอกกล่าวก่อน แต่ครั้งนี้ไม่มีการเคลื่อนไหว ใกล้ออกเดินทางสองวัน แม้จะมาจับก็คงไม่ทันแล้ว ชาวบ้านจึงได้วางใจกลับมา และก็มีบางคนรู้สึกงงในเรื่องนี้
ไม่มีแรงงานชาย ออกนอกด่านไปพวกเจ้าตั้งกระโจมเองหรือ หรือว่าจะขนเสบียงและทำงานหนักกันเอง ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ออกหน้าแทนชาวบ้าน แต่เรื่องเช่นนี้ละเลยไม่ได้ ผิดไปจากปกติมาก หรือว่าจะไปรนหาที่ตายบนทุ่งหญ้านอกด่าน!
************
วันที่ 29 เดือนสิบสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11ผู้แทนพระองค์หวังทงนำทัพใหญ่ออกเดินทางจากกองกำลังฝ่ายขวาเมืองต้าถง มุ่งหน้าทุ่งหญ้านอกด่าน ว่ากันว่าการออกเดินทางนี้มีสองจุดประสงค์ หนึ่ง ปราบปรามกองโจรม้า สอง กำราบพวกนอกด่าน ทำให้พวกนอกด่านรู้บ้างว่าอย่าได้เคลื่อนไหวเกินไปนัก
อย่างไรก็ใกล้ปีใหม่แล้ว ไม่มีงานกัน ทหารก็ไม่จับชาวบ้านไป ราษฎรในกองกำลังฝ่ายขวาเมืองต้าถงกับบรรดาครอบครัวทหารก็ออกมาดูการออกเดินทางของกองทัพ ทัพใหญ่เช่นนี้ เมืองต้าถงไม่ได้เห็นหลายสิบปีแล้ว เห็นเช่นนี้ อย่างไรก็รู้สึกคึกคักอยู่ ได้เปิดหูเปิดตา
บูชาฟ้า โบกธงรบ……พิธีกรรมก่อนออกเดินทัพดำเนินจบลง ทัพใหญ่เคลื่อนกำลัง รอบด้านมีคนมามุงดูกันไปน้อย บ้างก็เป็นบรรดาครอบครัวทหารกับราษฎรในละแวกนั้นมาดูเรื่องครึกครื้นกัน บ้างก็เป็นนายทหารเมืองต้าถง แน่นอน ย่อมต้องมีสายสืบนอกด่านแฝงกายมาด้วย เป็นเรื่องที่ไม่อาจป้องกันได้
แต่ละคนมีเรื่องจะดูจะชมต่างกัน ทุกคนล้วนวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด เห็นแล้วเหมือนว่าเป็นเทศกาลบัวลอยที่มีขบวนแห่มังกรผ่านมา แล้วมีชาวบ้านมาชมดูสองข้างทาง
“รถใหญ่นี่ต้องใช้เงินเท่าไรกัน นับไม่ถ้วนสินะ ไม่งั้นจะเอารถใหญ่เช่นนี้มาได้มากมายจากไหนกัน……”
“เจ้าไม่รู้เสียแล้ว นั่นมันห้องรถม้าเมืองจี้โจวใช้เพื่อออกสนามรบสังหารศัตรู แม่ทัพชีสร้างขึ้น ยอดเยี่ยมที่สุด แต่ทหารทางเทียนจินนั่นสิ รถใหญ่ดูแล้วแปลกใหม่กว่า ม้าสี่ตัวลาก ล้อสี่ล้อ ด้านหน้าไม่ใช่ล้อแข็ง เหมือนเป็นหนัง ไม่ต้องใช้แรงมาก……”
“ไม่สิ เจ้านับดู อย่างไรก็ม้าสี่ตัว แม้ไม่ใช้แรงมาก แต่ก็ขนของได้มากกว่ารถม้าสองตัว ทว่ารูปแบบการต่อรถเช่นนี้เกรงว่าคงใช้เงินไปไม่น้อย……”
รถใหญ่สี่ล้อขนเสบียงและหญ้าเลี้ยงม้าของกองกำลังหู่เวยทำให้เกิดเสียงวิจารณ์มากมาย ร้านสามธารา ร้านหย่งเซิ่ง ร้านจิ้นเหอเคยใช้รถเช่นนี้ขนของมามณฑลซานซีนานแล้ว บรรดาพ่อค้ามณฑลซานซีก็เคยเห็นข้อดีมาแล้ว เริ่มมีการลอกเลียนแบบ แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นการนำออกมาใช้จำนวนมาก
เมื่อก่อนได้เห็นขบวนทัพ ก็แค่ทหารราบจัดแถวเดินหน้า แม่ทัพกับทหารติดตามขี่ม้าอยู่ๆ ซ้ายขวาของทหารราบ ด้านหลังเป็นกองกำลังขนเสบียง
แต่วันนี้ผู้แทนพระองค์นำทัพออกนอกด่าน นอกจากทัพม้าเมืองจี้โจว ยังมีทหารราบที่มาพร้อมกับรถตู้ม้า กองกำลังหู่เวยเทียนจินก็ไม่ต่างกันนัก รถใหญ่ม้าสี่ตัวลากกับทหารราบรวมเป็นทัพขนาดใหญ่ แม้ว่ามีธงนำทัพ ทหารม้าวิ่งทะยาน แต่ยืนมองไกลๆ ก็ไม่เหมือนกองทัพเคลื่อนกำลัง หากเหมือนขบวนค้าขนาดใหญ่มากๆ มากกว่า เป็นขบวนพ่อค้าใหญ่ออกเดินทางไปชายแดนเหนือ
คนมารอดูและวิพากษ์วิจารณ์รถใหญ่ก็พวกชาวบ้านธรรมดา ต่างกับอีกฝั่งที่เป็นพวกพ่อค้าวิพากษ์วิจารณ์ ล้วนเห็นในสิ่งที่ต่างกัน
“ดู๊ดูสิ รถใหญ่สี่ล้อมากมายเช่นนี้ รถพวกนี้ใช้เงินไปเท่าไร ม้าพวกนี้ใช้เงินไปเท่าไร ครั้งนี้เงินทองเมืองต้าถงถูกกวาดเกลี้ยงไปแล้วมั้ง?”
“เหล่าจางเจ้าไม่รู้หรือ นี่เป็นรถจากกองกำลังสังกัดวังหลวงแห่งเทียนจิน ยังมีรถม้าของร้านสามธาราตามไปด้วยด้านหลัง เมืองต้าถงจ่ายเงินไปแค่ซื้อเสบียงเท่านั้น แม้ว่าไม่น้อย แต่ก็ออกไหว!”
“ใช่แล้ว เถ้าแก่กู่ร้านสามธาราวันนั้นจัดเลี้ยงที่เมืองไท่หยวน ในงานเรียนเชิญเถ้าแก่และเจ้าของร้านหลายร้าน บอกว่าเดี๋ยวจะรับซื้อสินค้าอีก ครานี้จะให้มากกว่าครั้งก่อนหนึ่งส่วน”
“ก็คือราคาเพิ่มอีกสองส่วนสินะ นับต้นทุนก็ว่าพอมีกำไรแล้ว พวกเขาซื้อหาให้ทางการ ราคาตลาดขึ้นไปอีกส่วน ก็ไม่ได้กำไรเท่าไร ในงานเลี้ยงเหล่ากู้บอกว่า ครั้งนี้ซื้อแล้ว ก็จะเป็นโอกาสให้ทุกคนได้ร่ำรวย พวกเจ้ารู้ไหมว่าเรื่องอะไร?”
“หรือให้ไปรวยกันที่เทียนจิน? ร้านสามธารากำไรเท่าภูเขาทองทะเลเงิน มณฑลซานซี เมืองเซวียนฝู่ เขตปกครองเหนือยังมีเมืองเหลียวโจว ทางเหนือและทางทะเล ทุกแห่งล้วนมีการค้าพวกเขา หากยอมให้ทุกได้ไปค้าขายที่เทียนจิน อำนวยทางให้ ย่อมเป็นเรื่องดี”
“มารดามันสิ ร้านหย่งเซิ่งกับร้านจิ้นเหอเมื่อก่อนแสนจะชั่ว ให้ร้ายหวังทง ทำเอาพวกเราไม่อาจไปทำการค้าที่เทียนจินได้ ถูกร้านสามธาราแย่งการค้าไปไม่น้อย ครั้งนี้เป็นโอกาสอันดี ทุกคนต้องร่วมกันผลักดัน”
ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันงงๆ แต่ในใจก็พอรู้อยู่ คนร้านสามธารามารวบซื้อสินค้า จากนั้นบอกว่าทุกคนจะได้รวยกันใหญ่ ที่จริงแล้วมีเงื่อนไข หากสินค้ามาก็มีโอกาสรวยไปด้วยกัน หากไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องคุยกันอีก พ่อค้าหากำไร เรื่องนี้ทุกคนเข้าใจดี
ทุกคนพอเห็นรถม้าใหญ่ม้าลากสี่ตัวแสดงถึงศักยภาพในการขนของ ม้าสองตัวลากกับสี่ตัวลากต่างกันมาก ไปๆ มาๆ ก็ไม่รู้น้อยกว่ากันเท่าไร หากนับเป็นเงิน ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องของการทำกำไรได้มากหรือน้อยแล้ว ครั้งนี้มณฑลซานซี ส่งสินค้าไปยังเมืองต้าถง ใช้รถม้าเทียมสองตัวกับม้าตัวเดียวลากไป หากใช้รถม้าสี่ตัวลากเช่นนี้ ไม่รู้จะลากไปได้มากเท่าไร ต้นทุนประหยัดไปเท่าไร ก็ย่อมได้กำไรมากเท่านั้น
ครั้งนี้กลับไปจะต้องให้ต่อรถใหญ่เช่นนี้สักคัน ของดีอย่างนี้จะไม่ใช้ได้อย่างไร ใช่ว่าตนเองกินกำไรตนเองหมดหรือนี่?
ราษฎรเห็นเช่นนี้ ทหารกลับเห็นอีกมุมหนึ่ง ทหารเมืองต้าถงมองดูอยู่ ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์
“เมืองจี้โจวกับกองกำลังสังกัดวังหลวงนำเสบียงไปรวม 15 วัน ออกไปทำอันใดได้ ใช่ว่าเดินวนรอบแล้วก็กลับเสียหน่อย แบกความเสี่ยงมากมายเช่นนี้ ไปรอบนี้สิ้นเปลืองงบเมืองต้าถงถึงครึ่งปี พวกเขาจะไปลำบากอันใด!?”
“หวังทงนั่นเป็นคนโปรดเบอร์หนึ่งฮ่องเต้เชียวนะ เขาอยากลำบากอย่างไร ผู้ใดกล้าไปยุ่ง เจ้าไม่เห็นผู้ตรวจการกับขันทีคุมเสบียงที่เงียบกริบพวกนั้นเหรอ ขุนพลหลัวที่ว่ามีนายหนุนหลัง บอกว่าปลดก็ปลดซะงั้น หม่าต้งนั่นอย่างไรก็ลูกหลานแม่ทัพ กลับล้อมหน้าล้อมหลังเอาใจเจ้าหวังทงนั่นทั้งวัน……”
“เจ้าดูสิ หม่าต้งนอบน้อมเชื่อฟัง ทำตัวเองเหมือนเป็นคนงานหวังทงไปเสียงั้น ทิ้งให้เขาเฝ้าเมือง พวกหวังทงหลายหมื่นออกเดินทางไปทุ่งหญ้านอกด่าน ใช่ว่าไปเป็นอาหารให้พวกอันต๋าหรือไง หากเกิดเหตุผิดพลาด ไม่รู้ว่าหัวหลุดสักเท่าไร ทิ้งหม่าต้งไว้ ก็คงปัดภาระลงได้ส่วนหนึ่ง!”
“หวังทงเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ไม่รู้ทำงานใช้ได้ไหม รอพวกทหารนอกด่านมา รอพ่ายไปก็แล้วกัน!!”
“มารดามันสิท่าน น่าเสียดายปืนใหญ่มากมาย น่าเสียดายเกราะดีเช่นนี้……”