Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 761

ตอนที่ 761 นอกเมืองฮึกเหิม ในเมืองจลาจล

อาหารค่ำหลังรบชนะ บรรดาทหารกินกันมีความสุขมาก แต่คนที่คิดการรอบคอบก็มองเห็นสีหน้าของขุนพลทหารใหญ่ แม้ว่ายินดีกับชัยชนะ แต่เหมือนมีความกังวลบางอย่าง

ไม่เพียงแต่ขุนพลทหารใหญ่ ทหารที่คิดมากก็เริ่มดีใจไม่ออก เสบียงเกือบครึ่งถูกเผาไปหมด ขากลับอย่างน้อยก็ต้องอีกสามวันขึ้นไป จะยืนหยัดไปได้อย่างไร

แม้สังหารทหารม้านอกด่านไปจำนวนมาก แต่อย่างไรก็เป็นพื้นที่ศัตรู ฝ่ายตนกำลังเดินทางกลับ พวกนอกด่านยังคงนำกำลังออกไล่ล่าได้อีก ถึงตอนนั้นฝ่ายตนใช้เสบียงหมด ขวัญทหารเริ่มสั่นคลอน สถานการณ์ก็คับขันแล้ว

ชัยชนะยังไม่ควรยินดี คนที่เงียบไปล้วนเห็นความลำบากที่กำลังตามมา

หวังทงประกาศเสียงดังอยู่บนที่สูง พูดถึง ‘ตัดหัวมาได้แปดพัน เชลยอีกหนึ่งพัน’ ไม่ว่าคนกังวลหรือไม่กังวลก็ล้วนโห่ร้องตะโกนด้วยความดีใจ

‘ต้องชนะ ต้องชนะ’ เสียงตะโกนดังจากศูนย์กลางค่ายทหารหมิงดังไม่หยุด ม้าในค่ายกับนอกค่ายก็ตกใจส่งเสียงร้องดัง บรรดาฝูงนกก็ตกใจกระพือปีกบินขึ้น

นี่เป็นชัยชนะยิ่งใหญ่จริงๆ ตั้งแต่ฮ่องเต้หมิงไท่จู่ขับไล่พวกนอกด่านไป และหมิงเฉิงจู่มีชัยหลายครั้ง นอกจากสองฮ่องเต้ยิ่งใหญ่นี้แล้ว แผ่นดินหมิงก็ไม่เคยมีชัยชนะใหญ่ในการรบทางชายแดนตอนเหนืออีกเลย

ชัยชนะที่ทางการบันทึกไว้ ตัดหัวส่วนใหญ่ก็เรือนพัน ชัยชนะที่มากกว่านั้นก็แค่รักษาประตูเมืองไว้ได้ยามพวกนอกด่านมาโจมตีเท่านั้น

พ่ายแพ้มากขึ้น เสียงบประมาณชายแดนไปมากขึ้น เวลาส่วนใหญ่ก็เหมือนกับวันเวลาที่ร่วงโรยไปไร้ค่า มักจะถูกพวกนอกด่านรวมกลุ่มใหญ่บ้างเล็กบ้างเข้าโจมตี เป็นความอัปยศยิ่ง ยังเคยมีเหตุข่านเผ่าอันต๋าสังหารทหารชาวเมืองต้าถงมณฑลซานซีไปสองแสนกว่า นำกำลังไปถึงประชิดใกล้กำแพงเมืองหลวงได้อย่างน่าอดสู

แต่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนไป ทหารไม่ถึงสามหมื่น ตีมาถึงกำแพงเมืองพวกนอกด่านได้ รบในพื้นที่ศัตรูกับศัตรูที่ได้เปรียบกว่า ยังถึงกับรบได้ผลสำเร็จเช่นนี้ เรื่องนี้ช่างทำให้รู้สึกภาคภูมิใจ มีประวัติศาสตร์เช่นนี้ ก็สามารถเอาไว้คุยให้ลูกหลานฟังได้ เป็นเกียรติยศชั่วลูกหลาน

เสียงร้องตะโกนยินดีดังขึ้น กว่าจะสงบลงได้ หวังทงต้องโบกมือให้เงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งก็เงียบลง หวังทงตะโกนต่อว่า

“การรบเมื่อกลางวันทุกคนก็ได้เห็นแล้ว ได้เห็นแล้วว่าเสบียงเราถูกทำลายหมดไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ทัพเราขาดเสบียง เหลือเพียงแค่สามวันเท่านั้น แต่หากกินกันเช่นนี้ คงไม่ถึงสามวันแล้ว……”

ทหารด้านล่างรถม้า ทุกระยะก็จะมีทหารนายหนึ่ง ทหารพวกนี้เอาไว้ทำหน้าที่ดังเครื่องกระจายเสียง นำสิ่งที่หวังทงกล่าวตะโกนดังอีกรอบ

วาจานี้กระจายออกไปโดยรอบ ทั้งค่ายเงียบกริบ หยางจิ้นกับหม่าหย่งที่เดิมฟังอยู่ก็สีหน้าแปรเปลี่ยน ไม่เพียงแต่สีหน้าพวกเขาสองคน หากพวกทหารเมืองจี้โจวกับเมืองต้าถงก็แปรเปลี่ยนเช่นกัน หยางจิ้นกระทืบเท้ากล่าวว่า

“แม่ทัพใหญ่ไยจึงกล่าวเช่นนี้ กำลังใจทหารกำลังฮึกเหิม ควรจะรักษาไว้ ไยต้องสาดน้ำเย็นใส่ด้วย เช่นนี้ ขวัญทหารเกรงว่าคงสั่นคลอนแล้ว”

คนที่เหลือก็เหมือนคิดเช่นเดียวกัน แต่ที่ต่างก็คือ กองกำลังหู่เวยที่มีขันทีคุมกำลังและเสบียงอย่างไช่หนานคุมนั้นล้วนมีสีหน้าสงบนิ่ง ไช่หนานหันไปยิ้มกล่าวว่า

“แม่ทัพใหญ่กล่าวเช่นนี้ ย่อมมีเหตุผล ชัยชนะใหญ่เช่นนี้ยังทำมาได้ พวกเจ้ายังคิดว่าแม่ทัพใหญ่เลอะเลือนหรือ?”

พอกล่าวจบ ทหารเมืองจี้โจวกับเมืองต้าถงที่ลังเลสงสัยก็เงียบกริบ ไม่ว่าหวังทงกล่าวเช่นนั้นด้วยเจตนาอันใด เขาก็ย่อมมีวิธีของเขา หากตนเองมัวมาสงสัย ดีไม่ดีสุดท้ายตนเองคงกลายเป็นคนโง่อยู่คนเดียว เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง ทหารเมืองจี้โจวก่อนรบรู้สึกว่าตนเองเป็นกำลังหลักในการศึกนี้ กองกำลังหู่เวยยังต้องอาศัยตนเองปกป้องคุ้มครองจึงจะรอดไปได้

แต่พอรบกันจบลง พวกเขาจึงได้รู้ว่าตนเองคิดผิดไปแล้ว กำลังโจมตีหลักก็คือกองกำลังหู่เวย สร้างความเสียหายใหญ่ให้กับพวกนอกด่านได้มากที่สุดก็คือกองกำลังหู่เวย สุดท้ายที่ช่วยทัพเมืองจี้โจวที่กำลังถูกตีพ่ายให้กลับคืนมา ก็คือกองกำลังหู่เวย มีตัวอย่างให้เห็นเช่นนี้แล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าหวังทงทำอันใดได้บ้าง อย่างไรก็พูดให้น้อยหน่อยดีกว่า คำประกาศของหวังทงยังคงดังต่อเนื่อง

“……รู้สึกหวาดหวั่นแล้วใช่ไหม รู้สึกความดีใจหดหายไปแล้วใช่ไหม ไม่ต้องกังวลไป พวกเราไม่มีเสบียง แต่เมืองกุยฮว่าเฉิงมี!!!!”

หวังทงกล่าวเสียงดัง พอกล่าวจบ ก็ชี้มือไปที่กำแพงเมืองในความมืด ใกล้จะวันที่ 15 เดือนหนึ่งแล้ว แสงจันทร์บนทุ่งหญ้านอกด่านแม้กระจ่าง แต่รอบๆ รถนี้ คนส่วนใหญ่มองไปทางนั้น ก็ไม่เห็นอันใด หากอารมณ์ทหารก็ค่อยๆ ทวีความฮึกเหิมขึ้น

“พวกนอกด่านก็มีกำลังชาวนาสองแสนอยู่ที่แม่น้ำถู่ม่อชวน ในเมืองก็มีเสบียงสั่งสมไว้ ขอเพียงพวกเราเปิดประตูเมืองกุยฮว่าเฉิงได้ กินดื่มห้าปีสิบปีก็ไม่ต้องกังวลแล้ว พวกเจ้ากังวลเสบียงอันใดกัน!!?”

ทหารที่เดิมเงียบสงบอยู่ก็เริ่มส่งเสียงดัง ทุกคนรู้สึกฮึกเหิมไปกับวาจาของหวังทง หวังทงด้านบนยังคงกล่าวต่อว่า

“มีคนกล่าวว่า โจมตีกำแพงเมือง ไหนเลยวันสองวันก็จัดการได้สำเร็จ เปิดไม่ได้ สถานการณ์คงคับขัน ไม่ต้องกังวลแม้เปิดเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่ได้ นอกเมืองก็มีโรงเลี้ยงสัตว์ที่พวกเขาไว้เก็บวัวแพะในฤดูหนาวอยู่ เปิดโรงเลี้ยงสัตว์ได้ พวกเราก็ไม่ต้องกังวลเช่นกัน พี่น้องเรา ที่พวกเจ้าต้องทุกข์ใจก็คือกินข้าวหรือกินเนื้อดี ไม่ใช่กังวลว่าไม่มีกิน!!”

ด้านล่างพากันหัวเราะดังลั่น ความกังวลกับความทุกข์ใจหายไปด้วยวาจาของหวังทง หวังทงกล่าวต่อว่า

“พวกเราวันนี้ได้ชัยชนะใหญ่ แต่ชัยชนะที่พวกเราควรได้นั้นไม่ควรหยุดอยู่แค่นี้ คืนนี้พวกเจ้ากินให้อิ่มนอนให้หลับ อย่าได้ฉลองกันหนักไป เวลาฉลองชัยชนะใหญ่ยังรอพวกเราอยู่ข้างหน้า!!”

กล่าวจบ ด้านล่างก็ส่งเสียงดังจอแจ บรรดาทหารพากันซุบซิบ พวกหยางจิ้นเห็นทหารผ่อนคลายกันแล้ว ความกังวลเมื่อครู่ก็มลายหายไปสิ้น ทุกคนล้วนพากันยิ้มแย้มวิพากษ์วิจารณ์ จิตใจเริ่มเป็นปกติ

พูดให้ดีก็คือ บรรดาทหารตอนนี้จิตใจเรียกได้ว่าดีกว่าเมื่อวานก่อนรบเสียอีก ขณะพวกหยางจิ้นในใจกำลังรู้สึกบอกไม่ถูก ก็ได้ยินทหารตะโกนพร้อมกันว่า

“ฟ้าปกป้องแผ่นดินหมิง!! ทัพเราต้องชนะ!!”

ทหารทั้งหมดตะโกนขึ้นพร้อมเพรียงกัน ขุนพลทหารที่อยู่ข้างๆ ลังเลครู่หนึ่งก็พากันตะโกนตาม

หลังการประกาศเมื่อครู่ ความกังวลในใจของทหารทุกคนก็มลายหายไป หลังการรบดุเดือดเมื่อกลางวัน ความเหนื่อยมีมาก พอไร้กังวล ทุกคนก็พากันหลับสนิทไปหมด

บรรดาทหารไปพักกันแล้ว แม่ทัพกับขุนพลทหารใหญ่กลับไม่ได้พัก มารวมตัวในกระโจมหวังทง ทุกคนนั่งลงเสร็จ หวังทงก็ยิ้มกล่าวว่า

“วาจาให้กำลังเช่นนี้ ควรจะกล่าวในเช้าวันพรุ่งนี้ถึงจะถูก แต่คืนนี้ในกองทัพเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ อย่างไรก็ต้องสร้างขวัญให้พวกเขา แต่คืนนี้เกรงว่าคงมีคนตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเช่นกัน!”

ทุกคนในกระโจมหัวเราะฮาลั่น หยางจิ้นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้น

“แม่ทัพใหญ่ แม่ทัพใหญ่พูดถึงการโจมตีเมืองในวันพรุ่งนี้ เพื่อสร้างขวัญทหารหรือว่าเป็นเรื่องจริง ข้าน้อยเห็นว่าการจะโจมตีโรงเลี้ยงสัตว์รอบๆ หรือปล้นวัวแพะพวกนอกด่านเป็นเรื่องทำได้ หากต้องส่งทหารไปปล้นชิงสัตว์ พรุ่งนี้คงต้องเคลื่อนกำลังเร็วหน่อย เพื่อป้องกันพวกนอกด่านหลบหนี”

ได้ยินหยางจิ้นกล่าวเช่นนี้ หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“ปล้นชิงสัตว์เป็นเรื่องปลอบขวัญทหารเท่านั้น การรบพรุ่งนี้ย่อมโจมตีประตูเมืองเป็นสำคัญ หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายการมาของทัพเรา ก็เพื่อชัยชนะอย่างนั้นหรือ?”

ขุนพลทหารใหญ่กองกำลังหู่เวยยิ้มให้กัน ขุนพลทหารเมืองจี้โจวกับเมืองต้าถงสบตากัน ชัยชนะใหญ่เช่นนี้ยังไม่พออีกงั้นหรือ ชัยชนะเช่นนี้กลับถึงแผ่นดินหมิง ก็พอจะมีชื่อจารึกในประวัติศาสตร์ ใช้ชีวิตสุขสบายไปชั่วชีวิตแล้ว

ยังไม่ทันได้พูดอันใดต่อ ด้านนอกก็มีรายงาน ไม่นานก็มีทหารม้ารีบรุดเข้ามาในกระโจม คำนับเสร็จ ก็รายงานว่า

“แม่ทัพใหญ่ เมืองกุยฮว่าเฉิงเกิดเหตุวุ่นวายขึ้น เหมือนว่ามีจลาจลภายใน แต่ไม่เห็นทหารเคลื่อนกำลังอันใด ประตูเมืองยังคงปิดแน่น”

ระยะห่างแค่นี้ แม้มีชัยใหญ่ แต่หวังทงก็ไม่ชะล่าใจ ย่อมส่งสายสืบทหารม้าออกวนรอบเมืองกุยฮว่าเฉิง มีข่าวอันใดก็มารายงาน ได้ยินรายงาน หวังทงก็ออกคำสั่งให้ออกไปจับตาดูต่อ จากนั้นสั่งการให้ถอยออกไป ยิ้มกล่าวว่า

“ดูท่าแล้วให้ทัพม้าไปวนรอบเมือง ได้ผลจริง!!”

**************

เมืองกุยฮว่าเฉิงวุ่นวายกันไปหมด ทุกแห่งมีแต่เสียงร่ำไห้ มีควันไฟขึ้นให้เห็นเป็นระยะ ร้านค้าตามถนนก็มีทหารนอกด่านเข้าๆ ออกๆ ในร้านค้ามีเสียงร่ำไห้โหยหวน

เผ่าอันต๋าเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือทุ่งหญ้านอกด่าน ยังสร้างเมืองกุยฮว่าเฉิงในพื้นที่ยุทธศาสตร์ เมืองกุยฮว่าเฉิงจึงเป็นศูนย์กลางของทุ่งหญ้านอกด่าน เผ่ารอบๆ และพ่อค้าหมิงก็มาทำการค้ากันที่นี่ พ่อค้ามณฑลซานซีก็มาเปิดร้านกันที่เมืองกุยฮว่าเฉิงจำนวนมาก

กลับเป็นชาวมองโกลที่เลี้ยงสัตว์เร่รอนมาตลอด แม้ว่ามีกำแพงเมืองแล้ว แต่คนทำการค้าก็ยังเรียกได้ว่าน้อยมาก นอกจากพ่อค้าชาวฮั่น ก็มีแต่พ่อค้าที่เป็นชาวซีอวี้เท่านั้น

ในเมืองมีการค้าชาวฮั่นอยู่ ยังมีคนงานชาวฮั่นจำนวนมากทำการค้าทำงานกัน คนจำนวนมาก แต่พวกเขาไม่มีสถานะอันใดในเมือง

พวกมองโกลราชวงศ์หยวนล้วนแบ่งเป็นสี่ระดับ อันดับหนึ่งคือชาวมองโกล อันดับสองคือคนตาสีฟ้า อันดับสามคือชาวฮั่นตอนเหนือ อันดับสี่คือชาวฮั่นตอนใต้ วิธีการกระทำที่ป่าเถื่อนไร้ยางอายเช่นนี้ เผ่าอันต๋าก็สืบทอดต่อกันมาเช่นกัน ในเมืองกุยฮว่าเฉิง ผู้คนก็แบ่งระดับเช่นกัน สถานะชาวฮั่นต่ำที่สุด

ยามปกติยังดี วันนี้ทหารม้าพวกนอกด่านพ่ายแพ้กลับมาก พอกลับเข้าเมืองมา ก็ไม่รู้สาเหตุใด มีคนเริ่มปล้นชิงร้านค้าชาวฮั่น มีคนเริ่มกระจายข่าวออกไปอย่างรวดเร็ซ ทหารพวกนอกด่านที่อัดอั้นก็เริ่มปล้นร้านค้า ก่อเรื่องในเมืองไม่ยำเกรงกฎหมาย

หัวหน้าพ่อค้าชาวฮั่นในเมืองก็คือหนิวเกินกัง ปีนี้อายุ 50 กว่า รุ่นบิดาเป็นผู้ทำงานให้ข่านเผ่าอันต๋ารุ่นแรก มีสถานะในเมืองสูงส่ง แม้แต่ข่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิงยังไว้หน้าเขา แต่ตอนนี้ เขากำลังคุกเข่าอยู่หน้าวังข่าน มีนายกองพันพูดใส่อย่างเย็นชาว่า

“ท่านข่านกำลังพักผ่อน ไม่ต้อนรับแขก ท่านข่านบอกแล้ว ชาวฮั่นในเมืองกุยฮว่าเฉิงทำกำไรได้มากเพียงนี้ ทหารเราเอากลับคืนมาหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด พวกเจ้าไม่ต้องสนใจ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!