Chapter 3
ไพลินวิญญาณ!
“ถ้าเจ้าสอดรู้อีกข้าไม่เพียงแค่ตบแต่จะฆ่าเจ้าด้วย!” เฉินเหวินเคอขู่เสียงเหี้ยมโหด ฮูหยินห้าตะลึงงัน นางนั่งกุมแก้มอย่างหวาดกลัว “อึกๆ ท่านพี่”
เฉินเหวินเคอมองฮูหยินห้าแล้วก็ดึงนางขึ้นมา จับศีรษะนางกดกับกลางหว่างขา สั่งว่า “อม”
ฮูหยินห้าไม่กล้าปากมาก นางรีบแหวกชายเสื้อแก้กางเกงสามีแล้วอมองคชาติของเขา บ่าวไพร่ที่อยู่บริเวณนั้นล้วนรีบออกไปจากห้องโถงราวกับถูกแส้ไล่หวดทันที พวกเขาย่อมไม่อยากถูกเฆี่ยนจริงๆ หรอกนะ นายท่านจะเสพสุขกับฮูหยิน พวกเขาจะอยู่ชมดูให้ถูกควักลูกตาหรือล่ะ? ไม่กล้า! พวกเขายังรักตัวกลัวตาย ไหนเลยจะกล้าชมดู หลังจากนั้นบ่าวไพร่ก็ได้ยินเสียงครางของนายท่านดังแว่วออกมา
ณ จวนเฉินไฮ่ผิง เฉินไฮ่ผิงก็ได้รับรายงานว่าเฉินมู่อิ๋งป่วยเช่นกัน เขาหัวเราะสุขใจยิ่ง “ฮ่าๆๆๆ อีกไม่นานมันก็จะตายแล้ว”
บ่าวไพร่ล้วนเก็บปากสงบคำ ได้แต่มองดูนายท่านหัวเราะอย่างมีความสุข พวกเขารู้ว่านายท่านไม่ชอบครอบครัวของพี่ชายทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเสนาบดีเฉิน ฮูหยินเฉิน หรือแม้กระทั่งหลานชายที่เพิ่งจะคลอดได้ไม่นาน แต่พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่านายท่านจะดีอกดีใจถึงขนาดนี้
ณ จวนเสนาบดีเฉิน เฉินจงกุ้ยทุกข์ใจอย่างยิ่ง ลูกเพิ่งจะเกิดมาได้ยังไม่ทันถึงเดือนเลย กลับป่วยหนักจนแม้แต่แรงจะร้องไห้ยังไม่มีเสียแล้ว นี่เป็นความทุกข์อย่างแสนสาหัสของคนเป็นพ่อเป็นแม่โดยแท้ หากเจ็บป่วยแทนได้พวกเขาก็คงยอมเจ็บป่วยแทนลูกไปแล้ว
“ฮูหยินเฉิน ข้าต้มยามาใหม่แล้วขอรับ” ติงเฟิ่งเหล่ยถือถ้วยยาซึ่งไม่ร้อนแล้วเดินเข้าไป เฉินม่านอิ๋งรีบประคองลูกพิงตัก จับเขาอ้าปาก ติงเฟิ่งเหล่ยก็ป้อนยาให้คุณชายน้อยซึ่งหมดแรงไปแล้ว อาการของคุณชายน้อยนับว่าอาการหนักแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าเหตุใดคุณชายน้อยจึงอาการหนักถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะป้อนยาตำรับไหนเข้าไปก็ไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นเลย แม้แต่นมมารดายังไม่ดูดเลย ยังไม่ถึง 1 วันอาการก็หนักหนาถึงเพียงนี้เสียแล้ว!
“คุณชายน้อยต้องหายนะขอรับ” เขาพูดออกไปอย่างทุกข์ใจ ไม่รู้ว่าพยายามปลอบใจตัวเองหรือว่าปลอบใจฮูหยินกับท่านเสนาบดีกันแน่ เฉินจงกุ้ยกำมือแน่น เขากำจนเล็บจิกเนื้อเลือดไหลซึมเลยทีเดียว ยามนี้เขากลัวเหลือเกินว่าลูกจะตาย เขากลัวจริงๆ กลัวจนแทบจะร้องไห้ออกมา แต่เขาก็อดทนเอาไว้เพราะถ้าเขาไม่เข้มแข็งฮูหยินก็จะยิ่งใจเสียมากขึ้น
ไป๋อู่ฉาง นั่งอยู่ข้างเตียง เขาเป็นยมทูตที่คอยนำวิญญาณไปยังยมโลก ไม่มีใครมองเห็นเขาสักคน เขามีหน้าที่มานำวิญญาณของเฉินมู่อิ๋งไปยังยมโลกเพราะทารกน้อยคนนี้กำลังจะสิ้นอายุขัยในอีกไม่นานแล้ว พิษแพร่ไปทั่วร่างแล้ว แต่พิษชนิดนี้หมอทั่วไปย่อมตรวจไม่พบ ดังนั้นทารกน้อยมีแต่หนทางตายรออยู่เท่านั้น
เฉินมู่อิ๋งเห็นคนชุดขาวนั่งอยู่บนเตียงจึงมองดูแต่คนชุดขาวที่มีใบหน้างามกว่าท่านแม่เสียอีก เขาเป็นเด็กทารกจึงไม่รู้หรอกว่าความงามชนิดนี้คืองามราวเทพเซียน เขารู้แต่ว่าคนชุดขาวๆ คนนั้นน่ามองยิ่งนัก เขาอยากไปจับคนๆ นั้นอย่างไร้เดียงสา แต่มือของเขาก็ไม่มีแรงแล้ว เขามองแต่คนชุดขาวตาไม่กะพริบ
ไป๋อู่ฉางเห็นทารกน้อยมองมาที่ตัวเอง เขาจึงรู้ว่าทารกน้อยมองเห็นเขา เด็กส่วนใหญ่จะมีสัมผัสพิเศษสามารถมองเห็นสิ่งที่เรียกว่าภูตผีวิญญาณได้ ตัวเขาก็จัดอยู่ในประเภทภูตผี ดังนั้นเด็กทารกหรือเด็กเล็กๆ ก็มักจะมองเห็นเขาได้ เขาบอกทารกน้อย “ทนอีกนิดเถอะ อีกไม่นานเจ้าก็จะไม่เจ็บไม่ปวดแล้ว”
เฉินมู่อิ๋งพยายามขยับปาก แต่เขาไม่มีแรงเลย เขาเจ็บไปหมดทั้งตัว เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกเจ็บนี้จะบรรยายอย่างไรดี เขายังเป็นแค่ทารกไร้เดียงสา ไม่มีความรู้ใดๆ มีแต่สัญชาตญาณในการดื่ม กิน ขับถ่าย นอนหลับ เท่านั้น
ติงเฟิ่งเหล่ยก็พยายามรักษาคุณชายน้อยสุดฝีมือ แต่อาการคุณชายน้อยก็ทรุดเร็วมาก ตัวร้อนจัดราวกับจะลวกมือได้ เฉินม่านอิ๋งร้องไห้สงสารลูกแทบขาดใจแล้ว เฉินจงกุ้ยเดินวนไปวนมา เขานั่งไม่ติดเลยทีเดียว คิดๆ หาหนทางรักษาลูกน้อยอย่างสุดความสามารถ
เขาเคยได้ยินว่าที่แคว้นเสิ่นหยางมีหมอเทวดา แต่แคว้นเสิ่นหยางก็ห่างไกลจากที่นี่มากนัก ต่อให้ขี่ม้าเร็วไปยังต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับถึง 1 ปี ส่วนหมอหลวงก็มีความรู้ความสามารถพอๆ กับติงเฟิ่งเหล่ย ยิ่งถ้าจะพูดกันตรงๆ ความรู้ความสามารถของหมอหลวงด้อยกว่าติงเฟิ่งเหล่ยไปแล้วเพราะว่าติงเฟิ่งเหล่ยรักษาคนมามาก เจอคนเจ็บคนป่วยมากกว่าจึงทำให้ฝีมือพัฒนาขึ้นไปมาก
เขารู้เรื่องนี้แต่ก็หุบปากเงียบเอาไว้ หากพูดออกไปก็จะกลายเป็นการสร้างศัตรูโดยใช่เหตุ ยามที่มิตรสหายเจ็บป่วยเขาก็จะแนะนำให้เชิญติงเฟิ่งเหล่ยไปรักษา หากว่าเกินความสามารถของติงเฟิ่งเหล่ยจริงๆ ก็ถือว่าคนๆ นั้นชะตาถึงฆาตแล้ว แต่เมื่อถึงคราวลูกตัวเองป่วยขึ้นมาเขากลับหวังให้มีปาฏิหาริย์ เขาแอบบนบานศาลกล่าวในใจ ขอให้ลูกหายป่วยด้วยเถิด!
เฉินมู่อิ๋งค่อยๆ หมดแรงหลับตาลงไป ร่างกระตุกสองสามทีแล้วก็แน่นิ่งไป ติงเฟิ่งเหล่ยตกตะลึงไปแล้ว เขายื่นนิ้วไปจับชีพจร พบว่าชีพจรไม่เต้นแล้ว เขายืนตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าบอกฮูหยินเฉินว่าคุณชายน้อยสิ้นใจแล้ว เขาตั้งสติดึงมือกลับ กลั้นใจโกหกว่า “คุณชายน้อยหลับ”
เฉินม่านอิ๋งเบาใจ นางอุ้มลูกนอนลง ติงเฟิ่งเหล่ยถอยออกไปจากห้อง เขารีบเดินเร็วๆ ไปทางห้องครัวเข้าไปร้องไห้อย่างกลั้นไม่อยู่ บ่าวของเขาเดินตามไป แต่พอเห็นนายท่านร้องไห้ก็ตกตะลึงไป เขาพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงนั่งลงตรงหน้าประตูอย่างเศร้าๆ
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” ไป๋อู่ฉางบอกแล้วใช้เชือกมัดวิญญาณจับวิญญาณทารกน้อยออกจากร่าง แต่วิญญาณกลับไม่ออกมา เขามองอย่างงงๆ “หือ?”
เขาพยายามหลายหน แต่ผลก็ยังเป็นเช่นเดิม นี่นับเป็นเหตุการณ์แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา เขาพยายามอยู่นานแต่ก็ไม่อาจดึงวิญญาณทารกน้อยออกจากร่างได้ เขาคิดหาหนทาง แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกจึงเรียกเฮยอู่ฉาง “เฮยอู่ฉาง—”
เฮยอู่ฉางนั้นเป็นสหายของเขา เป็นยมทูตเช่นกัน แต่วิญญาณที่เฮยอู่ฉางไปรับคือวิญญาณคนชั่ว ส่วนเขาทำหน้าที่รับวิญญาณคนดีมีคุณธรรมกับเด็ก เพราะเด็กส่วนใหญ่มักจะยังไม่มีจิตชั่วร้ายจึงถือว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม
“มีอะไรรึ?” เฮยอู่ฉางปรากฏตัวขึ้น ไป๋อู่ฉางก็รีบบอกทันที “ข้าพยายามจะจับวิญญาณทารกคนนี้แต่กลับจับออกมาไม่ได้”
“เชือกมัดวิญญาณของเจ้ามีปัญหาหรือ?” เฮยอู่ฉางถาม ไป๋อู่ฉางส่ายหน้า “ไม่มีปัญหานะ ก่อนมารับวิญญาณทารกคนนี้ข้าก็เพิ่งจะส่งพระรูปหนึ่งไปยมโลก ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่นา”
“เช่นนั้นข้าลองใช้เชือกของข้าดูล่ะกัน” เฮยอู่ฉางบอกแล้วก็ใช้เชือกมัดวิญญาณของตัวเองจับวิญญาณทารกน้อย แต่ปรากฏว่าเขาไม่อาจจับวิญญาณทารกน้อยออกมาได้ ทำเขางุนงง “หือ?”
“เชือกเจ้าก็มีปัญหากระมัง?” ไป๋อู่ฉางพูดขึ้นพลางมองเชือกของเฮยอู่ฉาง เฮยอู่ฉางส่ายหน้า “เชือกข้าใช้งานได้ปกติดี หากเจ้าคิดว่าเชือกข้าผิดปกติเช่นนั้นเจ้าก็ตามข้าไปจับวิญญาณสักคนก่อนก็ได้”
“อืม” ไป๋อู่ฉางพยักหน้า จากนั้นสองยมทูตหนึ่งขาวหนึ่งดำก็หายตัวไป ทั้งสองปรากฏตัวอีกครั้ง ณ บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งควรจะเรียกว่ากระท่อมซอมซ่อจะเหมาะกว่า ภายในบ้านมีบุรุษคนหนึ่งถูกดาบเสียบท้อง เลือดสาดเป็นทางตั้งแต่ประตูเข้าไปถึงข้างใน คาดว่าบุรุษผู้นั้นคงกระเสือกกระสน มาจนถึงกระท่อมหลังนี้กระมัง ไม่ทันถึงสองอึดใจบุรุษคนนั้นก็ขาดใจตาย “อ๊อกๆ”
เฮยอู่ฉางก็จับวิญญาณบุรุษชั่วช้าผู้นี้ออกมา บุรุษผู้นี้ยามมีชีวิตอยู่เป็นโจรปล้นฆ่า ไม่ทำอาชีพสุจริต นิสัยเหี้ยมโหดฆ่าไม่เว้นแม้แต่ลูกเล็กเด็กแดง วันนี้ต้องจบชีวิตลงเพราะไปปล้นฆ่ารถม้าของจอมยุทธ์เข้าจึงถูกจอมยุทธ์ผู้นั้นแทงจนอาการสาหัส โจรผู้นี้จึงหนีมาจนถึงกระท่อมซอมซ่อแห่งนี้
“เชือกข้าก็ยังใช้งานได้ดีนี่นา” เฮยอู่ฉางพูดพลางมองเชือกมัดวิญญาณที่ยังคงทำงานได้ดี ไป๋อู่ฉางขมวดคิ้ว “เช่นนั้นข้าคงต้องลองหาคนอื่นทดสอบเชือกของข้าก่อน”
“ไปซิๆ ข้าไปกับเจ้าด้วย” เฮยอู่ฉางบอก ไป๋อู่ฉางจึงหายตัวไป เฮยอู่ฉางหายตัวตามไป ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง
บ้านหลังนี้เป็นบ้านของเศรษฐีใจบุญผู้หนึ่ง เจ้าของบ้านกำลังจะสิ้นอายุขัย ไป๋อู่ฉางต้องมารับวิญญาณไปส่งยมโลก แต่เพราะเขาเสียเวลาไปกับทารกน้อยจึงทำให้เกือบมาไม่ทัน ทันทีที่เขามาถึงเศรษฐีใจบุญก็สิ้นใจพอดี เขาจึงใช้เชือกมัดวิญญาณจับวิญญาณเศรษฐีใจบุญออกมาจากร่าง เขามองเชือกของตัวเองที่ยังทำงานได้ดีไม่มีอะไรผิดปกติ “เอ เชือกข้าก็ยังใช้ได้นี่นา”
“หรือว่าเด็กคนนั้นผิดปกติ?” เฮยอู่ฉางคาดเดา ไป๋อู่ฉางครุ่นคิด “นั่นซิ”
“เช่นนั้นพวกเราพาวิญญาณสองคนนี้กลับยมโลกไปก่อนเถอะแล้วรายงานให้ท่านเหยียนหลัวหวาง* ทราบเถอะ” เฮยอู่ฉางบอก ไป๋อู่ฉางพยักหน้า “อืม”
(*เหยียนหลัวหวาง คือพยายมราช)
ทั้งสองพลันหายไปพร้อมกับวิญญาณของคนทั้งสอง หลังจากพวกเขาส่งวิญญาณเสร็จแล้วก็รีบไปเข้าเฝ้าเหยียนหลัวหวาง “นายท่าน”
“พวกเจ้ามีอะไรรึ?” เหยียนหลัวหวางเงยหน้าขึ้นมองไป๋อู่ฉางกับเฮยอู่ฉาง ไป๋อู่ฉางกุมมือรายงาน “นายท่านขอรับ ข้าไม่อาจนำวิญญาณทารกคนหนึ่งกลับมาได้ขอรับ เฮยอู่ฉางลองใช้เชือกมัดวิญญาณของเขาก็ไม่อาจจับวิญญาณทารกออกมาจากร่างได้เหมือนกันขอรับ”
“หือ?” เหยียนหลัวหวางแปลกใจ เขาลุกขึ้นยืน สั่งว่า “พาข้าไปดูซิ”
“ขอรับ” ไป๋อู่ฉางรับคำสั่งแล้วนำทางไป เฮยอู่ฉางรีบตามไป เขาอยากรู้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นได้ เหยียนหลัวหวางตามไปทันที ทั้งสามปรากฏตัวขึ้น ณ จวนเสนาบดีเฉิน พวกเขายืนอยู่ข้างเตียงที่ทารกน้อยนอนอยู่ ทารกน้อยนอนอยู่ในอ้อมอกมารดา ผู้เป็นมารดานั้นกำลังหลับ ส่วนผู้เป็นบิดาก็นอนอยู่ใกล้ๆ บ่าวไพร่นั่งสัปหงกอยู่ข้างเตียง
“ที่นี่…” เหยียนหลัวหวางมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “โลกสามพัน ลำดับที่ 2,900!”
“ขอรับ” ไป๋อู่ฉางพยักหน้าหงึกๆ เหยียนหลัวหวางมองอย่างหวาดผวานิดๆ ก็ที่โลกแห่งนี้มีท่านผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นอาศัยอยู่น่ะซิ เกิดต้องไปเจอนางเข้าเขาแทบไม่อยากจะคิดเลย แต่นางอยู่ถึงเสิ่นหยางคงไม่โผล่มาแถวนี้ง่ายๆ กระมัง หรือไม่บางทีนางก็อาจจะอยู่แดนเทพ หรือแดนมารกระมัง คงไม่เจอกันง่ายๆ หรอกน่า
เขาปลอบใจตัวเองในใจ ทำสีหน้าเรียบเฉยข่มความหวาดผวาเอาไว้ในใจ ไป๋อู่ฉางชี้ไป “ทารกคนนั้นขอรับที่ข้าไม่อาจจับวิญญาณออกมาได้”
“อ่อ” เหยียนหลัวหวางพยักหน้า เขายื่นมือไปจับวิญญาณทารกน้อยออกมา แต่ก็จับออกมาไม่ได้ ทำเขางุนงง “หือ?”
ไป๋อู่ฉางกับเฮยอู่ฉางขมวดคิ้วมองเขม็ง แม้แต่นายท่านก็ยังจับไม่ได้หรือ? นี่!
เหยียนหลัวหวางก้าวไปถึงตัวทารกน้อย เขาอุ้มทารกน้อยขึ้นมาตรวจดู หากมีคนเห็นตอนนี้คงเห็นคุณชายน้อยลอยอยู่กลางอากาศจนต้องเป็นลมไปเลยกระมัง แต่โชคดีที่ทุกคนหลับกันหมด เหยียนหลัวหวางตรวจร่างกายทารกน้อย เขาแกะห่อผ้าออก จับเสื้อผ้าถอดออกจนทารกน้อยตัวเปลือยๆ เขามองดูจนทั่วร่างทารกน้อยแล้วก็เห็นต่างหูไพลินน้ำงามข้างหนึ่งอยู่ที่ติ่งหูทารกน้อย เขามองต่างหูข้างนั้นแล้วเบิกตาโต “ไพลินวิญญาณ!”
“หือ?” ไป๋อู่ฉางกับเฮยอู่ฉางส่งเสียงฉงนพร้อมกัน พวกเขาไม่รู้จัก ‘ไพลินวิญญาณ’
เหยียนหลัวหวางเห็นลูกน้องทั้งสองมองเขาเป็นตาเดียว จึงอธิบายว่า “ไพลินวิญญาณก็คือไพลินวิญญาณ เป็นของวิเศษของเผ่าวิญญาณ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้วิญญาณ ของวิเศษชนิดนี้จะเลือกเจ้านาย ไม่ใช่ว่าใครก็ครอบครองได้ เมื่อไพลินวิญญาณเลือกเจ้านายแล้วมันจะปกป้องวิญญาณเจ้านายไปจนกว่ามันจะแตกสลาย นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเราไม่อาจนำวิญญาณออกมาจากร่างได้”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรขอรับ?” เฮยอู่ฉางถาม เหยียนหลัวหวางคิดหนักทันที ไป๋อู่ฉางถามว่า “หรือว่าพวกเราต้องปล่อยไปเช่นนี้ขอรับ”
“เด็กคนนี้สิ้นอายุขัยแล้ว แต่ไม่อาจนำวิญญาณไปได้ เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจเกิดใหม่ได้น่ะซิ” เหยียนหลัวหวางคิดหนักจนหัวโตแล้ว
“เผ่าวิญญาณอาจช่วยได้นะขอรับ” เฮยอู่ฉางเสนอ เหยียนหลัวหวางส่ายหน้าทันที “เผ่าวิญญาณก็เป็นเหมือนศัตรูของพวกเรา หากพวกเราไปหาพวกมันก็จะถูกพวกมันกินวิญญาณน่ะซิ”
ไป๋อู่ฉางกับเฮยอู่ฉางปากอ้าตาค้าง พวกเขาไม่รู้เลยว่าเผ่าวิญญาณคือศัตรู ไปหาศัตรูก็คือไปหาที่ตายน่ะซิ! “…”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีขอรับ?” ไป๋อู่ฉางถาม เหยียนหลัวหวางคิดหนักอย่างยิ่ง เขาไม่รู้ว่าเหตุใดไพลินวิญญาณจึงได้มาอยู่ที่เด็กคนนี้ได้ อีกทั้งไพลินวิญญาณก็เลือกเจ้านายแล้ว เผ่าวิญญาณนั้นใกล้ชิดกับเผ่ามารบางทีผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นอาจจะพอช่วยเหลือได้กระมัง เห็นทีคงต้องบากหน้าไปขอให้นางช่วยเหลือสักครั้งแล้ว เฮ้อ…
เขาคิดๆ แล้วก็บอกลูกน้องทั้งสองว่า “ข้าจะพาเด็กคนนี้ไปหาแม่นางเฟยเทียน** พวกเจ้าก็ทำให้คนที่นี่อย่าเพิ่งตื่นขึ้นมาก่อนที่ข้าจะกลับมา”
(**เฟยเทียน เป็นตัวละครจากเรื่องหงส์คืนแค้นค่ะ)
“ขอรับ” ไป๋อู่ฉางกับเฮยอู่ฉางรับคำสั่ง เหยียนหลัวหวางมองเฮยอู่ฉางแล้วสั่งว่า “เจ้าสนิทกับแม่นางเฟยเหยา*** นี่นา เช่นนั้นเจ้าไปกับข้าบางทีแม่นางเฟยเทียนอาจจะไม่ขูดรีดอะไรมากนักก็ได้”
(***เฟยเหยา เป็นตัวละครจากเรื่องหงส์คืนแค้นค่ะ อ่านความสัมพันธ์ของเฮยอู่ฉาง เหยียนหลัวหวาง แม่นางเฟยเทียน แม่นางเฟยเหยา หมอเทวดาได้ในเรื่องหงส์คืนแค้นค่ะ)
“หา!” เฮยอู่ฉางปากอ้าตาค้าง นายท่านจะให้เขาออกหน้างั้นรึ! “…”
“ไป” เหยียนหลัวหวางสั่งแล้วก็หายตัวไปพร้อมกับศพทารกน้อย เฮยอู่ฉางได้แต่ตามไปอย่างกุมขมับ แม่นางเฟยเทียนร้ายกาจขนาดไหนใครๆ ก็รู้ แม่นางเฟยเหยาผู้นั้นก็ร้ายกาจพอๆ กันนั่นแหละ เขายังถูกนางใช้ทำงานตั้งหลายอย่างโดยไม่ได้รับผลตอบแทนอะไรเลย ฮือๆๆๆ
ณ หุบเขาร้อยพิษ เหยียนหลัวหวางปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับศพทารกน้อย เฮยอู่ฉางปรากฏตัวตามมา เขาเดินไปที่กระท่อมน้อยหลังนั้นซึ่งยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขาตะโกนเรียก “แม่นางเฟยเทียน—”
“ท่านแม่ มีคนมาหาขอรับ” เสียงเด็กชายดังออกมาจากในกระท่อม ตามด้วยเสียงสตรี “ใครมารึ?”
“ข้าน้อยเฮยอู่ฉาง” เฮยอู่ฉางร้องบอก ครู่ต่อมาประตูก็เปิดออก ผู้ที่เปิดประตูคือเฟยเหยา “อ่อ เจ้านี่เอง มีอะไรรึ?”
นางมองเลยไปเห็นบุรุษคนหนึ่งกับทารกน้อยลอยอยู่กลางอากาศ เฮยอู่ฉางรีบพูด “แม่นางเฟยเหยา นายท่านข้าท่านเหยียนหลัวหวางมีเรื่องขอให้แม่นางเฟยเทียนช่วยเหลือ”
“ท่านแม่ไม่สะดวกรับแขก มีอะไรก็บอกมาเถอะ” เฟยเหยาบอก เฮยอู่ฉางไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี เขาหันไปมองนายท่าน เหยียนหลัวหวางจึงเดินไปหาแม่นางเฟยเหยา พูดว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเผ่าวิญญาณ คงต้องรบกวนแม่นางเฟยเทียนสักครั้ง”
“เผ่าวิญญาณ?” เฟยเหยางุนงง นางไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่าวิญญาณเลย เป็นเผ่าแบบไหนกัน? เหมือนเผ่ามารของพี่สาวหรือไม่?
“เผ่าวิญญาณ” เสียงเฟยเทียนดังออกมา จากนั้นก็มีเสียงก้าวเดินออกมา อึดใจต่อมาเฟยเทียนก็ยืนอยู่ข้างหลังเฟยเหยา เหยียนหลัวหวางเห็นแม่นางเฟยเทียนก็รีบนำศพทารกน้อยส่งให้แม่นางเฟยเทียนทันที “เขามีไพลินวิญญาณของเผ่าวิญญาณที่ติ่งหู อีกทั้งไพลินวิญญาณก็เลือกเจ้านายแล้ว ข้าไม่อาจนำวิญญาณของเขาออกมาได้ เขาสิ้นอายุขัยแล้วจำต้องนำวิญญาณเขาไปผ่านขั้นตอนการเกิดใหม่ แต่เพราะไพลินวิญญาณทำให้ข้าไม่สามารถนำวิญญาณของเขาออกมาได้ แม่นางเฟยเทียนโปรดช่วยเหลือสักครั้ง ข้ายินดีตอบแทนเจ้าอย่างงามทีเดียว”
“ไหนๆ ข้าดูก่อน” เฟยเทียนอุ้มทารกน้อยมาแล้วพิศดูที่ติ่งหูข้างซ้ายซึ่งมีต่างหูไพลินวิญญาณสวมเอาไว้ เฟยเหยาก็มองอย่างอยากรู้
เด็กชายเดินออกมาอยู่ข้างหลังท่านแม่ เขาจับชายเสื้อท่านแม่กำเอาไว้ ตาก็มองดูยมทูตทั้งสองอย่างอยากรู้อยากเห็น เฮยอู่ฉางนั้นเขาเจอบ่อยแล้ว แต่ยมทูตอีกคนนั้นเขาไม่เคยเห็น นับว่าคนที่มาใหม่หน้าตางดงามกว่าเฮยอู่ฉางเสียอีก เขาจึงจ้องมองยมทูตคนนั้นอย่างไม่ละสายตา เขากระตุกชายเสื้อท่านแม่พูดว่า “เมื่อข้าโตขึ้นข้าจะแต่งพี่สาวคนงามเป็นฮูหยินของข้า”
เฟยเหยาก้มมองหลานชายตัวน้อย มองตามสายตาของเขา พบว่าสายตาของหลานชายจ้องเหยียนหลัวหวางอยู่ นางจึงตะลึงไปสองอึดใจแล้วก้มลงกระซิบกับหลานชายตัวน้อยว่า “นั่นไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นผู้ชาย พี่ชายท่านนั้นไม่ใช่พี่สาว อีกทั้งท่านเหยียนหลัวหวางไม่อาจแต่งงานกับเจ้าได้หรอก”
“หา! พี่ชาย!” เด็กน้อยตกตะลึงปากอ้าตาค้าง เขารู้สึกเหมือนตัวเองปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อแล้ว “…”
เหยียนหลัวหวางหน้ากระตุกยึกๆ เจ้าเด็กนี่คิดจะแต่งเขาเป็นภรรยางั้นรึ! น่าเขกกะโหลกสักสามสี่ทีจริงๆ! ฮึ่ม!
เฟยเหยาอมยิ้มแล้วยืดตัวขึ้น นางลูบๆ ศีรษะหลานชายสองสามทีอย่างเอ็นดู หลานชายของนางยังแยกแยะชายหญิงไม่ออก เห็นคนรูปงามก็คิดว่าเป็นสตรีไว้ก่อน เฟยเทียนยิ้มขำลูกชาย นางรีบออกตัวแทนลูกว่า “เหยียนหลัวหวางคงไม่ถือสากับคำพูดไร้เดียงสาของลูกข้ากระมัง”
“ไม่ถือๆ” เหยียนหลัวหวางพูดอย่างไม่ใส่ใจ จะให้เขาถือสาอะไรกับคำพูดของเด็กเล็กๆ เช่นนั้นล่ะ เขาเป็นผู้ใหญ่พอหรอกนะ
เฟยเทียนเบนสายตากลับมามองดูไพลินวิญญาณ นางส่งพลังมารเข้าไปตรวจร่างกายทารกน้อยแล้วส่ายหน้า “เด็กนี่ถูกพิษหนึ่งจันทราของข้าเข้าไป ข้าสามารถช่วยแก้พิษได้แต่การจะนำวิญญาณออกจากร่างนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจทำได้ ไพลินวิญญาณเลือกเจ้านายแล้วมันไม่มีทางยอมให้เจ้านายของมันแยกจากร่างนี้ไปได้จนกว่ามันจะแตกสลายไป”
“หมายความว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจแยกวิญญาณจากศพได้หรือ?” เหยียนหลัวหวางถาม เฟยเทียนพยักหน้า “ไม่อาจแยกได้”
เหยียนหลัวหวางคิดหนักทันที หากวิญญาณไม่ไปเกิดใหม่ เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบอะไรบ้าง เฟยเทียนมองเหยียนหลัวหวางแล้วบอกว่า “เด็กคนนี้ยังไม่ตาย เขาแค่อยู่ในสภาวะเหมือนตายเท่านั้น”
“หา!” เหยียนหลัวหวางกับเฮยอู่ฉางตกใจ พวกเขาเป็นยมทูตจะตรวจสอบผิดได้อย่างไร เด็กคนนี้ตายแล้วแน่นอน!
“ยังไม่ตาย จริงๆ นะ” เฟยเทียนยืนยันแล้วอธิบายว่า “พิษหนึ่งจันทราของข้าจะทำให้คนที่ถูกพิษเสมือนตายไปจริงๆ จะตกอยู่ในสภาพนี้ไป 3 วัน หลังจากนั้นหากยังไม่แก้พิษก็จะตายจริงๆ แล้ว”
“แต่เด็กคนนี้สิ้นอายุขัยแล้วนะ” เหยียนหลัวหวางยืนยัน เฟยเทียนมองจ้อง “แน่ใจหรือว่าอายุขัยของเด็กคนนี้สิ้นไปแล้วจริงๆ ไม่ใช่ว่าท่านจำผิดคนหรอกนะ หรือทำงานผิดพลาด?”
“ไม่ผิดๆ เด็กคนนี้ชื่อเฉินมู่อิ๋งเป็นบุตรของเสนาบดีเฉินจงกุ้ยกับฮูหยินเฉินม่านอิ๋ง ชะตาของเขามีอายุได้ไม่ถึง 1 เดือนก็ต้องตายเพราะถูกอาของเขาวางยาพิษ” เหยียนหลัวหวางอ่านชะตาชีวิตให้ฟัง เฟยเทียนมองๆ แล้วมองทารกน้อย พูดว่า “แต่ตอนนี้ชะตาของเขาเปลี่ยนไปแล้วเพราะว่าได้เจอกับข้า”
เหยียนหลัวหวางหน้ากระตุกทีหนึ่ง “เพ้ย! พูดมักง่ายเช่นนี้ก็ได้หรือ!”
“มักง่ายอะไร? ต่อให้เขาต้องตายไปจริงๆ เจ้าก็ไม่อาจนำวิญญาณของเขาไปได้ นี่ข้ากำลังช่วยเจ้าแก้ปัญหาอยู่นะ” เฟยเทียนเถียงหน้าตาขึงขัง เหยียนหลัวหวางหน้ากระตุกยึกๆ “ช่วยข้าอะไรเล่า เจ้าคิดจะช่วยเหลือเด็กคนนี้ต่างหาก”
“ข้าจะช่วยแล้วจะทำไม” เฟยเทียนพูดอย่างท้าทาย เหยียนหลัวหวางหน้ากระตุกอีก เขาจะทำอะไรได้ล่ะ นางเป็นถึงธิดาเจ้าแม่ฯ เขาจะไปร้องทุกข์เอาความกับใครได้!
“ข้าคิดผิดจริงๆ ที่มาขอให้เจ้าช่วยเหลือ” เหยียนหลัวหวางสบถอย่างโมโหโทโส