บทที่ 224 : การปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่
เมื่อได้ยินคำสามคำ ‘ยาปลดวิญญาณ’ เหล่าศิษย์ผู้เข้าร่วมก็ล้วนแล้วแต่รู้สึกว่าโลหิตเดือดพล่าน คนรุ่นเก่าบางคนรู้สึกตื่นตะลึงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ในฐานะของนักปรุงยา ข้อมูลเกี่ยวกับยาได้ปรากฏขึ้นในสมองของจ้าวเฟิงในไม่ช้า
ยาปลดวิญญาณนั้นเป็นยาจิตวิญญาณระดับสาม ผลของมันนั้นจะช่วยให้ผู้ที่กินมีโอกาสทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้เพิ่มขึ้นอีกยี่สิบในร้อยส่วน
ผลนี้เพียงพอที่จะทำให้โอกาสเหล่าผู้ที่อยู่ในนภาที่เจ็ดและครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเพิ่มขึ้นหรือกระทั่งได้รับพลังอย่างมหาศาล
มีคำหนึ่งเคยถูกเอ่ยไว้ในโลกใบนี้: “ครั้นเป็นจิตวิญญาณที่แท้จริงก็มิใช่มนุษย์อีกต่อไป”
พูดอย่างง่ายๆ เมื่อคนผู้หนึ่งทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง พวกเขาจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจเทียบเคียงกับมนุษย์ได้ เป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่ามนุษย์ ทั้งความแข็งแกร่งและช่วงชีวิตล้วนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
ผู้ฝึกตนทั่วไปในนภาที่เจ็ดมีโอกาสสิบในร้อยส่วนที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสำเร็จ
การกินยาปลดวิญญาณเข้าไปหมายความว่าโอกาสที่มีแต่เดิมนั้นได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
“นอกจากนั้น ยาปลดวิญญาณยังมีผลอีกอย่าง ยามเมื่อผู้ใดที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณกินมัน พวกเขาจะสามารถทะลวงเข้าสู่นภาต่อไปได้อย่างแน่นอน แม้ว่าคนผู้นั้นจะอยู่ในนภาที่เจ็ด พวกเขาก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้อย่างง่ายดาย
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกอย่างช่วยไม่ได้ หัวใจเต้นแรง
ผลของยาปลดวิญญาณนั้นนับเป็นตำนานยาวิเศษสำหรับผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
โอกาสหนึ่งร้อยส่วนในการที่จะเข้าสู่นภาถัดไป มันช่างดึงดูดมากอันใดเพียงนี้?
อย่างที่รู้กันว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายของนภาที่เจ็ดแต่ล่ะย่างก้าวที่จะเพิ่มระดับของขอบเขตก่อกำเนิดปราณนั้นยากเย็น โดยเฉพาะหลังจากนภาที่สี่ คนผู้หนึ่งอาจจะติดอยู่ที่ระดับนั้นเป็นปีหรือสิบปี
“มิแปลกใจเลยที่มันเป็นยาจิตวิญญาณระดับสาม”
ดวงตาของจ้าวเฟิงส่องประกายระริก เขาตัดสินใจแล้วว่า หากจะต้องเปิดเผยพลังทั้งหมด เขาก็จะต่อสู้เพื่อชิงที่หนึ่งมาให้ได้
ความวิเศษของยาปลดวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะห้ามใจสำหรับทุกคน
หมัดของเป่ยม่อกำแน่น ประกายแสงแล่นวาบในแววตา
อ้าวเยว่เทียนแห่งสำนักวิญญาณจันทร์สูดลมหายใจลึก พลังสายเลือดของเขาเริ่มที่จะสั่นสะท้านเล็กๆ สร้างกลิ่นอายน่าเกรงขามขึ้น ศิษย์คนอื่นที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็รับรู้ได้
หลังจากรางวัลถูกประกาศออกมา เหล่ายอดอัจฉริยะของทั้งสิบสามสำนักก็ล้วนแต่มีสายตาเด็ดเดี่ยว บางคนกระทั่งมีสีหน้าอำมหิตบ้าคลั่ง
ไม่ช้า
รางวัลได้ถูกประกาศจนหมด
สามอันดับแรกจะสามารถเข้าไปยังซากแก่นก่อกำเนิดได้
และสิบอันดับแรกล้วนมีรางวัลเช่นกัน รวมทั้งยาจิตวิญญาณ ผลึกเริ่มต้น และวิชา เป็นต้น
โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า รางวัลของอันดับหนึ่งนั้นดึงดูดใจที่สุด
โดยเฉพาะสำหรับเหล่าสี่ดาราที่ล้วนเข้าสู่นภาที่เจ็ด หากพวกเขาสามารถครอบครองยาปลดวิญญาณนั้นได้ พวกเขาก็จะมีโอกาสในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงในหนึ่งหรือสองปี
ในวันเดียวกัน
หลังจากรางวัลและกฎได้ถูกประกาศออกไป ตัวแทนศิษย์ของแต่ล่ะสำนักก็ไปลงทะเบียนและรับแผ่นป้ายลำดับของตน
วันที่สอง
งานพันธมิตรที่จัดขึ้นทุกๆ สิบปีได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
ในเวลานี้ ศิษย์จากทั้งสิบสามสำนักล้วนรู้สึกว่าโลหิตของตนได้เดือดพล่านด้วยความตื่นเต้น
งานรพันธมิตรนั้นจะจัดขึ้นทุกๆ สิบปีเท่านั้น
และมันแตกต่างจากงานสามสำนัก มันเป็นเวทีสำหรับเหล่าคนรุ่นใหม่เท่านั้น เหล่าคนรุ่นเก่าทำได้เพียงเฝ้ามอง
ในประวัติศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า มีอัจฉริยะมากกมายที่ได้ประลองที่เวทีแห่งนี้ และได้สร้างความตื่นตาให้กับคนที่นี่มานักต่อนัก
นอกจากนั้น งานพันธมิตรมิใช่งานประลองยุทธ์ธรรมดาทั่วไป
จ้าวเฟิงได้ยินรองหัวหน้าตำหนักหลี่เอ่ยว่าลำดับของศิษย์นั้นจะส่งผลต่อการแจกจ่ายทรัพยากรให้กับแต่ล่ะสำนัก
นั่นหมายความว่าหากจ้าวเฟิงสามารถติดหนึ่งในสามอันดับแรก หรือกระทั่งครองอันดับหนึ่งได้ สำนักจันทร์สลายจะได้รับผลประโยชน์อย่างมาก
มันยังเป็นสาเหตุให้ทั้งสิบสามสำนักให้ความสำคัญกับงานพันธมิตรอย่างมาก
เวทีค่ายกลหินทรายสีดำที่กว้างหลายลี้พลันส่องสว่างขึ้น
วิ้ง!
เวทีค่ายกลหินทรายสีดำขนาดยักษ์ได้แบ่งออกเป็นสี่ส่วนด้วยเส้นแสงสีทองจาง
รอบแรก รอบคัดเลือก
เวทีทั้งสี่ส่วนแบ่งออกเป็นพื้นที่ต่อสู้สี่พื้นที่
ตามกฏคือแต่ล่ะพื้นที่จะมีสี่ดาราอยู่หนึ่งคน
หลังจากต่อสู้กันจนครบ แต่ล่ะพื้นที่จะคัดเลือกสามอันดับแรกออกมา
หลังจากรอบคัดเลือกจบลง
ทั้งสี่พื้นที่จะกลายเป็นหนึ่งเดียว และนับแต่ตอนนั้น การประลองที่ตื่นตาที่สุดในประวัติศาสตร์จะเริ่มต้นขึ้น
ทุกคนคาดหวังและตื่นเต้นกับรอบสุดท้าย และหากคนผู้หนึ่งสามารถเข้าร่วมในรอบนี้ได้พวกเขาก็จะสร้างชื่อเสียงให้กับสำนักของพวกเขาแล้ว
แน่นอนว่านี่นับว่าคนผู้นั้นสามารถผ่านขั้นแรกไปได้แล้ว
ไม่ช้า
ศิษย์ยอดฝีมือสองร้อยคนจากทั้งสิบสามสำนักถูกแบ่งออกสู่ทั้งสี่พื้นที่
พื้นที่แรกมีชางหยูเยว่
พื้นที่ที่สองมีหลินทง
พื้นที่ที่สามมีสวี๋จีเสวี๋ยน
พื้นที่ที่สี่มีอ้าวเยว่เทียน
ทุกๆ พื้นที่นำมาโดยหนึ่งในสี่ดารา นั่นหมายความว่าทั้งสี่ดาราจะไม่ปะทะกันเร็วเกินไป ทั้งยังเป็นการรับประกันว่าแต่ละพื้นที่ประลองนั้นมีความสนุกสนานอย่างแน่นอน
จ้าวเฟิงถูกส่งไปยังพื้นที่ที่สาม
หลินฝานเองก็ถูกส่งไปที่พื้นที่ที่สามเช่นกัน
ทั้งสองมองหน้ากัน แย้มยิ้ม ก่อนจะเดินไปยังพื้นที่ที่สาม
พื้นที่ที่สามนั้นได้มีคนอยู่ก่อนแล้วราวๆ สี่สิบถึงห้าสิบคน ผู้ฝึกตนเหล่านี้ถึงแม้ว่าจะอายุไม่มากนักแต่ทุกคนกลับมีกลิ่นอายบางอย่างที่น่ากลัว เป็นกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งยากที่จะจับต้องได้
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งกว่าศิษย์หลักของสำนักจันทร์สลาย
พื้นที่ที่สามนำโดยสวี๋จึเสวี๋ยน ทุกคนมองไปยังเขาด้วยความระแวดระวัง และมีสีหน้าเคร่งเครียด
สวี๋จึเสวี๋ยนยืนสองมือไพล่หลัง ใบหน้าหล่อเหลานัก เขามักจะแย้มยิ้มบางเบา ดูง่ายที่จะพูดคุย มีสิ่งเดียวที่แตกต่างออกไปนั่นคือเขามีดาบวิเศษสามเล่มอยู่บนแผ่นหลัง แต่ล่ะเล่มล้วนมีพลังที่ไม่ธรรมดา
ในด้านของลำดับ สวี๋จีเสวี๋ยนอยู่เหนือกว่าอ้าวเยว่เทียน ทว่าเขาไม่ได้เย่อหยิ่งเช่นอีกฝ่าย
นอกจากสวี๋จีเสวี๋ยนแล้ว ยังมีอัจฉริยะอันดับต้นอยู่ในพื้นที่นี้อีกด้วย
อัจฉริยะที่อยู่ที่สุดขั้นบันได้คืออัจฉริยะที่ห่างจากสี่ดาราเพียงหนึ่งก้าว พลังฝึกตนของพวกเขาเข้าสู่นภาที่หก มีพลังของหัวหน้าศิษย์
จากพื้นที่สามนั้น อัจฉริยะอันดับต้นนั้นคือมีประมาณสามถึงสี่คน มีพลังที่แข็งแกร่งและอาจกระทั่งเอาชนะหยางกาน หัวหน้าศิษย์ของสำนักจันทร์สลายได้
อัจฉริยะอันดับต้นเหล่านี้ส่วนใหญ่มองไปที่สวี๋จึเสวี๋ยนด้วยสายตาที่ส่องประกายวาววับ
แน่นอนว่าเป้าหมายของพวกเขาคือสี่ดารา และไม่มีผู้อื่นอยู่ในสายตา
“รอบคัดเลือกจะเริ่มขึ้นในบัดนี้!”
ภายใต้เสียงนั้น ผู้ตัดสินทั้งสี่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ประกาศเริ่มต้น
ในเสี้ยววินาทีต่อมา ทั้งสนามประลองก็ปรากฏความตื่นตาขึ้น
สี่ดาราแต่ล่ะคนนับเป็นตัวแทนของยอดอัจฉริยะของสิบสามสำนักได้เดินขึ้นไปบนเวที
เวทีแรก
เด็กสาวถือดาบสีเขียวยาวสามหลา ดวงตาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ยืนอย่างเงียบงัน ราวกับภาพของเทพธิดา
นางคือชางหยูเยว่ หัวหน้าของสี่ดารา สตรีที่ได้บดขยี้ทุกคนในเหล่าคนรุ่นใหม่ภายใต้ฝ่าเท้าของนาง
เวทีที่สอง
เด็กหนุ่มสวมใส่ชุดสีดำสนิทยืนอยู่ ดูราวกับมีความสามารถที่จะดึงหัวใจทุกคนให้ร่วงหล่นลงสู่นรก
บนเวทีที่สาม
เด็กหนุ่มหล่อเหลาพร้อมด้วยดาบวิเศษสามเล่มบนหลังยืนนิ่ง ดูราวกับไม่ใช่ส่วนหนึ่งของโลกใบนี้
เวทีที่สี่
ชายหนุ่มเย็นชา รูปลักษณ์ราวกับรูปสลัก มีความสูงศักดิ์อย่างแปลกประหลาด พร้อมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
ในยามนี้
การแข่งในรอบนี้ สี่ดาราล้วนขึ้นมาบนเวทีอย่างพร้อมเพรียงกัน
คู่ต่อสู้ของพวกเขาลนลานและกังวลอย่างมาก ไม่รู้จะนับการเผชิญหน้ากับดาราที่แข็งแกร่งในรุ่นนี้ว่าเป็นเกียรติหรือน่าเศร้าดี
เช้ง!
ประกายแสงเย็นเยียบที่ดูราวกับสามารถผ่าเมฆาได้ปรากฏขึ้น
ประกายแสงเพียงหนึ่งนั้นได้ดับแสงของทุกสิ่ง
รวมทั้งค่ายกลเวทีหินทรายดำ ก็หมองหม่นลงด้วยแสงของดาบนั้น
หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน เมื่อดวงตาเห็นเงาดาบ รู้สึกราวกับถูกดึงดูดและฉีกกระชากจิตใจ
ในเวลานี้ การโจมตีของชางหยูเยว่ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว
คู่ต่อสู้ของนางที่อยู่ในขั้นสุดยอดของนภาที่ห้าปรากฏรอยเลือดบางเบาที่ลำคอ
ผู้ชมล้วนนิ่งอึ้งไปกับการวาดดาบอันงดงามนั้น
หัวใจของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน เขารู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขาถูกดาบนั้นผ่าออก
ดาบนั้นดูราวกับสามารถตัดเข้าไปในจิตใจของผู้คนและทำลายทุกสิ่งด้วยความรู้สึกเดียวดาย
ถูกแล้ว
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงความเดียวดายในดาบนั้น ความโดดเดียวจากผู้ที่ยืนอยู่บนจุดยอดของภูเขา
เกือบจะช่วงเวลาเดียวกัน หลินทง สวี๋จีเสวี๋ยน และอ้าวเยว่เทียนล้วนจบการต่อสู้ครั้งแรกลง
ตุบ
คู่ต่อสู้ของหลินทงล้มลงบนพื้นอย่างเงียบงัน /โลหิต –>เลือด/ไหลออกจากดวงตา จมูก และใบหู
คู่ต่อสู้ของหลินทง ผู้เป็นหัวหน้าศิษย์ของวิหารโบราณ มักจะพ่ายแพ้โดยไร้ซึ่งเสียงใดๆ
ในพื้นที่ที่สาม
ฟุ่บ
หนึ่งในสามดาบบนแผ่นหลังของสวี๋จีเสวี๋ยนพลันล่อนออกจากฝักและพุ่งผ่านอากาศ ก่อนที่มันจะจัดการคู่ต่อสู้ของเขา
การโจมตีผ่านอากาศด้วยดาบของเขานั้นทรงพลังโดยแท้จริง
“เขาได้ฝึกฝนวิชาของสำนักเสวี๋ยนเจินเหมินจนถึงระดับสูงได้เพียงนี้!”
กลุ่มคนที่อยู่พื้นที่สามรู้สึกว่าหัวใจเย็นยะเยือก บางคนใบหน้าขาวซีด
การเคลื่อนไหวของสวี๋จีเสวี๋ยนนั้นราวกับเทพเจ้า
จ้าวเฟิงและหลินฝานไม่อาจหยุดความตื่นตะลึงในใจได้ มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็น วิชาเช่นนั้น
พลังที่งดงาม รุนแรง และไม่อาจเอาชนะได้ นี่แหละคือสวี๋จึเสวี๋ยน
“สำนักเสวี๋ยนเจินเหมิน ได้ยินว่าพวกเขาพยามยามค้นหาวิธีที่ทำให้เป็นอมตะด้วยหลายวิธีและหนทางที่ไม่อาจจะคาดเดาได้”
ก่อนหน้าที่งานพันธมิตรจะเริ่มต้นขึ้น จ้าวเฟิงได้ค้นคว้าและทำความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบของสำนักอื่น
พื้นที่สี่
อ้าวเยว่เทียนชี้นิ้วของเขาออกไป ประกายแสงจันทร์เย็นเยียบพุ่งจากปลายนิ้ว ส่งร่างของคู่ต่อสู้ให้กระเด็นลอยออกไปพร้อมกับกระอักเลือด ทำให้คู่ต่อสู้พ่ายแพ้อย่างราบคาบ
ในเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งลมหายใจสั้นๆ
สี่ดาราได้จัดการคู่ต่อสู้ของตนในเสี้ยววินาที
คนที่เร็วที่สุดคือชางหยูเยว่และหลินทงที่โจมตีเสร็จสิ้นก่อนที่ผู้ใดจะได้ตอบโต้ กระทั่งคู่ต่อสู้ยังมิอาจเห็นได้ว่าตนพ่ายแพ้ได้อย่างไร
“สี่ดารานับว่าแข็งแกร่งกว่าผู้อื่นโดยแท้…”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก รู้สึกได้ถึงแรงกดดันหนักหน่วง
พลังที่สี่ดาราได้แสดงออกมาในรอบแรกนั้นเป็นแค่เสี้ยวส่วนหนึ่งเท่านั้น
พลังที่แท้จริงของพวกเขา รวมทั้งไพ่ลับล้วนไม่อาจจินตนาการ
การปรากฏตัวของสี่ดาราได้สร้างบรรยากาศทั้งหมดให้เร่าร้อน
หลังจากนั้น ทั้งสี่พื้นที่จึงเริ่มการต่อสู้รอบต่อไป
ความสนใจของจ้าวเฟิงกลับมาสู่พื้นที่ที่สาม
นอกจากสวี๋จีเสวี๋ยน มันยังมีอัจฉริยะอันดับต้นอีกหลายคนที่ทรงพลังยิ่งกว่าหยางกานและต่างก็หวังที่จะแย่งชิงตำแหน่งสี่ดารามาให้จงได้
คราแรกจ้าวเฟิงคิดว่าเขาต้องรออย่างน้อยครึ่งวันจึงจะถึงรอบของเขา
ทว่าเขากลับได้ลงในรอบที่สาม
คู่ต่อสู้ของเขาคือสตรีชุดน้ำเงินที่มีคิ้วและโครงหน้างดงาม ทว่ามีบรรยากาศที่ปฏิเสธทุกคนตั้งแต่พันลี้
สาวงามและกลิ่นอายของนางได้ทำให้สีหน้าของคนหลายๆ คนเปลี่ยนแปลง และกระทั่งสวี๋จีเสวี๋ยนยังมองไปที่นาง
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าสตรีผู้นี้ไม่ธรรมดา เขาสามารถมองออกได้จากสายตาสงสารที่มุ่งตรงมายังเขาจากฝูงชนรอบๆ เวที