บทที่ 225 : ข้าไม่ได้ตั้งใจ
สตรีชุดน้ำเงินนั้นงดงามดั่งภาพวาด และนางได้รับความสนใจจากเวทีที่สามน้อยกว่าสวี๋จึเสวี๋ยนเพียงเล็กน้อย
ในทั่วทั้งงานพันธมิตร คนที่มีรูปลักษณเทียบเทียมนางได้มีเพียงจ้าวหยูเฟยและชางหยูเยว่
เสี้ยววินาทีที่นางขึ้นไปบนเวที นางก็ได้รับความสนใจจากทั้งงานพันธมิตร
“ฮี่ฮี่ นั่นคือหลานเยว่ หัวหน้าศิษย์จากตำหนักหยกเดี่ยว นางติดอันดับหนึ่งในสิบด้วย”
“โชคของเด็กนั่นนับว่าไม่แย่ ทว่าเขาไม่มีโอกาสที่จะลิ้มรสมัน”
ศิษย์ยอดฝีมือที่อยู่บนเวทีต่างก็มองไปที่จ้าวเฟิงด้วยความย่ามใจ
กู่หลานเยว่เป็นหัวหน้าศิษย์ของตำหนักหยกเดี่ยว และมันเป็นสำนักที่พิเศษที่สุดในทั้งสิบสามสำนัก ศิษย์ทั้งหมดล้วนเป็นสตรีงดงาม
“คู่ต่อสู้ของเฟิงเอ๋อร์คือนาง”
สีหน้าจ้าวสำนักจันทร์สลายแปรเปลี่ยนไป
กู่หลานเยว่โด่งดังในสิบสามสำนัก มีข่าวลือว่ากระทั่งอ้าวเยว่เทียนยังตามจีบสตรีผู้นี้ ทว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า จากเพียงเรื่องนี้ คนสามารถมองเห็นมาตรฐานของนางได้
ผู้มากอำนาจของสำนักจันทร์สลายมีสีหน้าเคร่งเครียด แม้ว่าจ้าวเฟิงจะแข็งแกร่ง พวกเขาก็ไม่ได้มีความมั่นใจในตัวเด็กหนุ่มอย่างเต็มที่
เพราะในด้านของความแข็งแกร่งนั้น กู่หลานเยว่กระทั่งแข็งแกร่งกว่าหยางกาน
มีเพียงผู้อาวุโสหนึ่งที่ยังคงเยือกเย็นขณะมองไปยังเวทีที่สาม ชายชราคิดในใจ “เฟิงเอ๋อร์ เป้าหมายของเจ้าคือการเป็นดารา หากเจ้าไม่อาจกระทั่งผ่านเวทีนี้ไปได้ เช่นนั้น…”
ในยามนี้ เสียงหัวเราะของสตรีได้ดังขึ้นจากพื้นที่ชม
“ฮะฮะ ศิษย์พี่กู่จะชนะได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน”
“พวกเราพนันว่าศิษย์พี่กู่จะชนะในไม่กี่กระบวนท่า”
“ข้าพนันว่าเจ็ดกระบวนท่า”
“ข้าพนันว่าสามกระบวนท่า”
เสียงเหล่านี้ได้ทำให้เหล่าระดับสูงของสำนักจันทร์สลายมองไป
ดูเหมือนว่าศาลาชมของตำหนักหยกเดี่ยวจะอยู่ข้างๆ พวกเขา
จ้าวสำนักจันทร์สลายและเหล่าผู้อาวุโสมีสีหน้าน่าเกลียด ตำหนักหยกเดี่ยวนับว่าดูถูกพงกเขาเกินไปยิ่ง
ราวกับรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของสำนักจันทร์สลาย สาวงามในชุดสีน้ำเงินจากศาลานั่งชมของตำหนักหยกเดี่ยวจึงมองไปและเอ่ยขึ้น “ที่แท้ก็คือผู้ฝึกตนจากสำนักจันทร์สลาย พวกท่านไม่ต้องกังวลไป หลานเยว่รู้จักที่จะออมมือให้ยามลงมือ”
หลังจากเอ่ยเช่นนั้น ทุกคนในศาลาชมของตำหนักหยกเดี่ยวก็เริ่มหัวเราะขึ้น
สีหน้าของจ้าวสำนักจันทร์สลายและเหล่าผู้อาวุโสแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดยิ่งขึ้น
“จ้าวตำหนักหยกเดี่ยว อย่าได้เอ่ยเร็วเกินไปนัก”
ดวงตาของจ้าวสำนักจันทร์สลายส่องประกายวาบขณะที่นางเอ่ยโต้
จ้าวตำหนักหยกเดี่ยวมิคิดเช่นนั้น ความเยาะเย้ยปรากฏขึ้นที่มุมปาก ราวกับว่านางเหยียดหยามเกินกว่าที่จะเอ่ยอธิบาย
ชัดเจนว่านางมั่นใจในความแข็งแกร่งของกู่หลานเยว่ยิ่งนัก
“เฟิงเอ๋อร์ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน”
ผู้อาวุโสหนึ่งเปิดปากและเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า คำพูดเรียบง่ายสั้นๆ ของชายชรานั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ ทำให้หัวใจของเหล่าระดับสูงของทั้งสองสำนักสั่นสะท้าน
ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน
น้ำหนักในคำนั้นมากมายเพียงใดกัน
เหล่าผู้ที่มาจากสำนักจันทร์สลายจดจำขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่านอกจากที่จ้าวเฟิงจงใจพ่ายแพ้ต่อหลันเสี่ยวเยวี่ยนแล้ว เขาไม่เคยพ่ายแพ้เลยจริงๆ
สีหน้าของจ้าวจำหนักหยกเดี่ยวแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เด็กหนุ่มนั่นคือศิษย์ของท่านหรือ?”
ในยามนั้นเอง
บนเวทีที่สาม ทั้งสองได้เริ่มปะทะกันไปหลายกระบวนท่าแล้ว
เร็วยิ่ง!
เหล่าศิษย์ยอดฝีมือต่างก็มีสีหน้าตกใจ ราวกับกลั้นใจในการเฝ้าดูอย่างไรอย่างนั้น
ระหว่างจ้าวเฟิงและกู่หลานเยว่ไม่ได้เอ่ยวาจาผายลมอันใด พวกเขาทำเพียงมองหน้ากันหนึ่งหรือสองลมหายใจก่อนจะเคลื่อนไหวในเสี้ยววินาที
แม้ว่ากู่หลานเยว่ภายนอกจะดูอ่อนหวาน นางก็มีความเย่อหยิ่งอยู่ในกระดูกที่ทำให้นางไม่นำเด็กหนุ่มเบื้องหน้ามาไว้ในสายตา
เมื่อคิดว่านางได้ปฏิเสธอ้าวเยว่เทียนเช่นไร นางจะนำเด็กหนุ่มไร้ชื่อผู้หนึ่งมาไว้ในสายตาได้อย่างไร
ทว่า ในวินาทีที่พวกเขาแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากัน สีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เด็กหนุ่มเบื้องหน้านางนั้นสงบนิ่งเย็นชา การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วราวสายฟ้า ทั้งความเร็วและการเคลื่อนไหวล้วนไร้ซึ่งจุดอ่อน อีกฝ่ายสลายการโจมตีของนางอย่างง่ายดาย
เปรี้ยง!
วินาทีที่นางปะทะกับจ้าวเฟิง ความรู้สึกหนึบชาจากสายฟ้าได้แล่นพล่านไปทั่วร่างของนาง
เพียงสามกระบวนท่า
ไม่เพียงกู่หลานเยว่จะไม่ได้เปรียบ แต่นางกระทั่งด้อยกว่าเล็กน้อย
ความรู้สึกชาหนึบได้ขัดขวางความเร็วของนาง และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป มันจะสร้างอันตรายให้กับชีวิตนาง
พลังฝึกตนกู่หลานเยว่ทมีี่และความแข็งแกร่งกระทั่งเหนือกว่าหยางกาน หากเป็นผู้อื่น พวกเขาย่อมผวาไปในเสี้ยววินาที
สิ่งที่ทำให้เด็กสาวตกใจนั้นคือดวงตาของคู่ต่อสู้ /พวกมันแหลมคมและเยือกเย็น ช่างเฉียบขาดและเยือกเย็น ไม่ได้สะทกสะท้านไปกับรูปลักษณ์ภายนอกของนางเลยแม้แต่น้อย
เด็กหนุ่มผู้นี้เย็นชายิ่งนัก
สามกระบวนท่า… ห้ากระบวนท่า… เจ็ดกระบวนท่า…
ทุกครั้งที่กู่หลานเยว่แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับอีกฝ่าย ร่างกายของนางจะชา ร่างที่สั่นสะท้านเล็กๆ นั้นได้สร้างความอับอายแก่นาง
เมื่อเข้าสู่กระบวนท่าที่สิบ
จ้าวตำหนักหยกเดี่ยวมีสีหน้าเคร่งเครียด
เสียงหัวเราะจากศาลาเงียบงันลง
สถานการณ์ในตอนนี้ดูย่ำแย่สำหรับกู่หลานเยว่นัก
จ้าวเฟิงมีพลังโจมตีและความเร็วมากมาย ที่ได้เปรียบกว่าเขา
ในทางกลับกัน เหล่าระดับสูงของสำนักจันทร์สลายกลับมีสีหน้าโล่งอก
“เมื่อใดกันที่ตัวบัดซบเสียสตินั่นพ่ายแพ้?”
“ใช่ ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าเราเพิ่งจะกังวลให้เด็กนั่น”
เมื่อคิดเกี่ยวกับการกระทำของจ้าวเฟิงในการทดสอบยอดนภา หลายคนกลับพบว่ามันตลกนัก
ในยามนี้
กู่หลานเยว่พลันล่าถอยออกไปนับสิบหลาด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าคือใครกัน?”
ข้าคือใคร!?
จ้าวเฟิงชะงัก เขาดูจะจดจำได้ว่าผู้ตัดสินได้เอ่ยเรียกชื่อของเขาก่อนหน้า
และบัดนี้สตรีผู้นี้เอ่ยถามชื่อของเขา ชัดเจนว่านางไม่กระทั่งสนใจเลย
“ข้าคือใคร ช้าเร็วเจ้าก็จะรู้เอง”
จ้าวเฟิงเค้นเสียงเย็น
“จองหอง”
กู่หลานเยว่พลันอับอายและโกรธเกรี้ยว มิคาดจะถูกดูแคลนเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นคนที่อายุเท่ากันเสียด้วย
ร่ายรำมายาจันทร์คราม!
กู่หลานเยว่อ้าแขนออกกว้าง คลื่นสีน้ำเงินแพร่กระจายอยู่รอบร่างของนาง ในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายของนางพลันแข็งแกร่งขึ้น
วินาทีต่อมา กู่หลานเยว่ก็ทะยานขึ้นสู่อากาศ โบกชายเสื้อและเริ่มร่ายรำบนอากาศ
ทุกครั้งที่นางหมุน ชายเสื้อของนางจะส่งคลื่นน่าสะพรึงที่สามารถทำลายต้นไม้ที่มีขนาดหลายคนโอบได้ในเสี้ยววินาที
“กระบวนท่าร่ายรำมายาจันทร์ครามมีทั้งหมดเก้ากระบวนท่า แต่ล่ะกระบวนท่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ศิษย์พี่กู่ได้ฝึกฝนจนเข้าสู่กระบวนท่าที่เจ็ด และนางได้ทำให้ผู้ฝึกตนในนภาที่เจ็ดบาดเจ็บมาแล้ว”
ศิษย์สตรีจากตำหนักหยกเดี่ยวเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับมัน
“กระบวนท่าร่ายรำมายาจันทร์คราม ดูเหมือนว่าดวงของเจ้าจะย่ำแย่นักในการที่พบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ทำให้เจ้าต้องใช้กระบวนท่านี้แล้ว”
จ้าวตำหนักหยกเดี่ยวถอดถอนใจ
เมื่อเห็นว่าแต่ล่ะกระบวนท่าของวิชาร่ายรำมายานั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แรงกดดันที่จ้าวเฟิงได้รับก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
หากเขาปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป กระทั่งเขาอาจจะต้องเป็นปัญหา
“จบเพียงแค่นี้เถอะ”
จ้าวเฟิงพูดเสียงเบา เรือนผมสีเขียวครามพลิ้วไหวตามสายลม ประกายสายฟ้าปรากฏขึ้นในอากาศ
กู่หลานเยว่ที่อยู่กลางอากาศเพียงรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายทำลายล้างและสายฟ้าที่ให้ความรู้สึกรุนแรงกว่าก่อนหน้าหลายเท่าตัวนัก
วายุอัสนีร่ายรำ!
วินาทีที่จ้าวเฟิงพลักฝ่ามือของเขาออก สายฟ้าและสายลมได้หลอมรวมกัน แม้ว่าเป็นการ “ร่ายรำ” เช่นกัน มันกลับไร้ซึ่งความงดงามใดๆ มีเพียงพลังทำลายล้างอันน่าพรั่นพรึงเท่านั้น
คว้าง เปรี้ยะ เปรี้ยะ
ใจกลางเสียงปรบมือของสายฟ้า จ้าวเฟิงนั้นราวกับเทพมาร
พรวด!
กู่หลานเยว่พลันกระอักเลือดออกคำโตและถูกผลักลอยไปโดยพลังทำลายล้างรุนแรง ใบหน้าและร่างกายปรากฏร่องรอยถูกเผาไหม้
สาวงามเมื่อวินาทีที่แล้วกลับกลายเป็นยับเยินนัก ใบหน้าของนางแทบจะเสียโฉม
“บัดซบ! ไอ้หมอนั่นรู้จักคำว่าออมมือให้สตรีหรือไง”
“ข้าจะล้างแค้นให้กับเทพธิดากู่แน่นอน!”
“เพ้ย กระทั่งกู่หลานเยว่ยังพ่ายแพ้ เจ้าจะชนะด้วยพลังของเจ้าได้อย่างไ?”
ฝูงชนตกลงสู่ความวุ่นวาย
ศิษย์ยอดฝีมือหลายคนเริ่มก่นด่าจ้าวเฟิง
“เจ้า… เจ้า…”
ใบหน้าของกู่หลานเยว่ซีดเซียวอย่างหนัก นางรู้สึกถึงรอยไหม้บนใบหน้าของนางเอย่างชัดเจน และนางจะไม่มีวันลืมเลือนความรู้สึกชาหนึบที่แล่นพล่านไปทั่วร่างนี้
นอกจากนั้น ฝ่ามือวายุอัสนียังเป็นวิชาทำลายล้างที่รุนแรงอย่างมาก รอยแผลที่หลงเหลือเหล่านี้ย่อมไม่อาจลบเลือนได้โดยง่าย
“จ้าวเฟิงชนะ”
ผู้ตัดสินในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมุ่นคิ้วเข้าหากันก่อนจะเอ่ยประกาศชัยชนะของเด็กหนุ่ม
มันยากที่จะพบบุรุษที่สามารถทำร้ายสาวงามเช่นนั้นได้
“ที่แท้เจ้าคือจ้าวเฟิง สร้างความอับอายและรอยแผลบนใบหน้าของข้า…”
กู่หลานเยว่กล่าวออกมาด้วยความโกรธแค้น
“ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
จ้าวเฟิงเอ่ยแทรกขึ้นกลางประโยคของอีกฝ่าย เรือนผมสีเขียวครามโบกพลิ้วหยอกล้อกับสายลม ทำให้เด็กหนุ่มดูเย็นชาและลึกลับ
จากนั้นเขาจึงเดินออกจากเวทีด้วยชัยชนะ
ข้าไม่ได้ตั้งใจ
ทุกคนสำลัก มีสีหน้าหลากหลาย
ต่อหน้าทุกคน เขาแทบจะทำลายรูปโฉมของสตรีนางหนึ่งที่งดงามที่สุดในสิบสามสำนัก และเขา “ไม่ได้ตั้งใจกระทำมัน”
หมอนี่นับว่ากระทำจนเกินเลยแล้ว
“ไอ้หมอนั่นมันเสียสติ”
“เจ้าไม่เห็นหรือว่ามันมีดวงตาเพียงข้างเดียว มันต้องเป็นคนเสียสติแน่ๆ”
ทุกคนมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยสีหน้าหวาดระแวง
ไอ้คนเสียสตินั้นกระทั่งทำร้ายสาวงามเช่นกู่หลานเยว่ได้ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าเขาจะทำเช่นไรหากเป็นผู้อื่น
“แม่นางกู่หลานเยว่ เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”
น้ำเสียงใสกระจ่างของสวี๋จีเสวี๋ยนดังขึ้น ในฐานะของสี่ดารา คำพูดของเขาจึงดูมีพลัง
“ข้าไม่เป็นไร”
กู่หลานเยว่ฝืนยิ้ม ในสิบสามสำนักสวี๋จีเสวี๋ยนเป็นที่รู้จักกันว่าเขาเป็นคนใส่ใจ และเพราะว่าเขาหน้าตาหล่อเหลา เขาจึงเป็นบุรุษในฝันของหลายๆ คน
ในเวลาเดียวกัน
ทุกคนในศาลาชมของตำหนักหยกเดี่ยวรู้สึกโกรธแค้น
“เมื่อใดกันที่สำนักธรรมะเช่นสำนักจันทร์สลายได้มีศิษย์ที่โหดเหี้ยมเช่นนั้น?”
จ้าวสำนักหยกเดี่ยวตวาดลั่น
เหล่าระดับสูงของสำนักจันทร์สลายมองหน้ากัน รู้สึกกดดันเล็กๆ
ในด้านของความแข็งแกร่ง ตำหนักหยกเดี่ยวครองอันดับที่หก แข็งแกร่งกว่าสำนักจันทร์สลายที่ครองอันดับท้ายนัก
“นางบาดเจ็บเพียงแค่เล็กน้อย”
ผู้อาวุโสหนึ่งมีสีหน้าปกติ
มันไม่มีปฏิกิริยามากมายจากสำนักจันทร์สลายเช่นกัน ราวกับว่าการกระทำของจ้าวเฟิงนั้นเป็นสิ่งที่รับได้
เมื่อคิดว่าคนผู้นี้ทำร้ายกระทั่งศิษย์ในสำนักเดียวกันในการทดสอบยอดนภาแล้ว มันก็ไม่มีอันใดให้ประหลาดใจหากเขาจะลงมือกับศิษย์จากสำนักอื่น
“บาดเจ็บเล็กน้อย? เจ้าไม่รู้หรือว่ารูปลักษณ์นั้นสำคัญกับสตรีมากนัก?”
จ้าวตำหนักหยกเดี่ยวแทบจะระเบิดออกด้วยโทสะ ศิษย์แสนสำคัญของนางแทบจะเสียโฉม แล้วนางจะไม่เจ็บปวดได้อย่างไร?
และสิ่งที่ทำให้นางโกรธเกรี้ยวอย่างมากนั้นเป็นเพราะหัวหน้าศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักนางได้พ่ายแพ้อย่างง่ายดายให้กับศิษย์ไร้ชื่อผู้หนึ่ง
เวทีที่สาม
กู่หลานเยว่พลันทายาล้ำค่าในทันที ทว่ารอยแผลนั้นจะยังคงเหลืออยู่หรือไม่นับว่าเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา
“หลานเยว่ พวกเรารู้จักกันมาก่อน แค้นนี้ ข้าจะชำระให้เจ้า”
น้ำเสียงของสวี๋จีเสวี๋ยนดูอบอุ่น แต่กลับสร้างความมั่นใจให้กับผู้ฟังอย่างมาก