บทที่ 231 : การต่อสู้แห่งสายเลือด
ในความคิดของหยานชวน จ้าวเฟิงได้พึ่งดวงอย่างมากในการเอาชนะสวีจีเสวียน
ตราบเท่าที่เขาไม่ออมมือหรือดูแคลนอีกฝ่าย เขาเชื่อว่าแม้เขาจะไม่อาจเอาชนะเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวได้ เขาก็จะไม่พ่ายแพ้รวดเร็วเพียงนั้น
ดังนั้นแล้ว หยานชวนจึงไม่คิดว่าว่าจ้าวเฟิงจะน่าเหลือเชื่อเช่นนั้น และควรค่าแก่ฉายาดารา
“ศิษย์น้องจ้าว ระวังด้วย วิชาเสริมกายาและพลังป้องกันของเขานั้นได้อยู่ในจุดที่น่าตื่นตะลึงแล้ว…” หยางก่านเอ่ยเตือนจ้าวเฟิง
ตัวเขาได้พ่ายแพ้ให้กับคนผู้นี้มาก่อน
จ้าวเฟิงผงกศีรษะและเดินออกไปยังลานประลอง
เริ่ม!
วินาทีที่เสียงของผู้ตัดสินดังขึ้น หยานชวนนั้นก็เป็นราวกับนักรบสีทอง เขาพุ่งเข้าหาจ้าวเฟิง
เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวรู้สึกได้ถึงพลังอันน่าเหลือเชื่อที่ร่างของหยานชวนมี กระทั่งช้างก็อาจถูกฟาดจนตายโดยคนผู้นี้ได้
ในด้านของการเสริมกายา อาจไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะเขาได้ในบรรดาคนรุ่นใหม่ในงานพันธมิตรนี้
หยานชวนกำลังได้เปรียบ สัญลักษณ์เปลวเพลิงได้ส่องสว่างมากขึ้น เปลี่ยนร่างของเขาให้กลายเป็นลูกบอลเพลิงไป
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าลมหายใจและการไหลเวียนโลหิตของเขาได้รับผลกระทบเล็กน้อย มันมาจากปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติเนื่องจากความแตกต่างของความแข็งแกร่งร่างกาย
ทว่า พลังโดยรวมนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงแค่ร่างเนื้อเท่านั้น หรือมิเช่นนั้นชางหยูเยว่และหลินทงคงต้องหลีกทางให้กับหยานชวนแล้ว
“โอ้ สวรรค์!”
ด้านล่างลานประลองปรากฏเสียงอุทานขึ้น หยานชวนได้รวบรวมพลังทั้งหมดของเขาและกำลังจะโจมตีไปถึงตัวของจ้าวเฟิง ทว่าผู้เป็นเป้าหมายกลับไม่กระทั่งขยับกาย
หรือนี่เป็นว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวตั้งใจจะใช้ร่างกายรับการโจมตีเข้าไปตรงๆ?
หากไม่ใช้ปราณแท้ กระทั่งสี่ดาราก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้
รอยยิ้มเยาะหยันปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของจ้าวเฟิงพร้อมกับที่คลื่นพลังจิตได้ไหลบ่าออกไปยังอากาศ
ตูมมม
หยานชวนนั้นราวกับลูกบอลเพลิงที่กระแทกลง สร้างหลุมขึ้นบนพื้นเบื้องหน้าจ้าวเฟิง หินทรายสีดำที่เทียบเท่าได้กับอาวุธชั้นมนุษย์แตกละเอียด เศษซากกระจัดกระจายไปทั่ว
เหนือหลุมนั้น จ้าวเฟิงไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย เรือนผมสีเขียวครามของเขาพลิ้วไหวอยู่ในอากาศ ไม่มีฝุ่นผงใดๆ เฉียดเข้าใกล้ร่าง
ในทางกลับกัน หยานชวนได้จมลึกลงในหินสีดำพร้อมกับที่รอยเลือดได้ปรากฏขึ้นบนร่างของเขา ร่างใหญ่โตสั่นสะท้านและพยายามดิ้นรน ทว่ายิ่งเขาดิ้นรนเท่าใด ร่างของเขาก็ยิ่งจมลึกลงเท่านั้น
“เกิด… เกิดอันใดขึ้น?”
เหล่าผู้ชมล้วนนิ่งอึ้ง
เกิดอันใดขึ้นกับหยานชวน? จ้าวเฟิงทำเพียงยืนอยู่ตรงนั้นและไม่ได้ขยับกายแม้แต่น้อย แทนที่จะโจมตีคู่ต่อสู้ หยานชวนกลับพยายาม ‘ฆ่าตัวตาย’ แทนเสียอย่างนั้น
ทุกคนควรรู้ว่าเวทีหินทรายดำนั้นแข็งแกร่งเทียบเท่ากับอาวุธชั้นมนุษย์ระดับต่ำ
และหยานชวนกำลังใช้ศีรษะโจมตีมัน?
“เคล็ดพลังจิต” ศิษย์จากวิหารโบราณเอ่ย
เคล็ดพลังจิต
คำพูดที่ลึกลับและทรงพลังนี้ได้ปรากฏขึ้นในสมองของทุกคน
ในยามนี้ ดวงตาของหลินทงได้เพ่งมองเล็กน้อยยามที่มองไปยังการประลองบนลาน
จ้าวเฟิงไม่จำเป็นที่จะต้องเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย แต่กลับสามารถทำให้หยานชวนพยายามฆ่าตัวตายได้
เมื่ออีกฝ่ายฟื้นตัว ร่างกายก็อาบย้อมไปด้วยโลหิตจำนวนมาก แม้ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่ง เขาก็ยังคงบาดเจ็บได้หากเขาทำร้ายตนเอง โดยเฉพาะยามที่เขาใช้พลังทั้งหมด
“เจ้าแพ้แล้ว”
จ้าวเฟิงยกเท้าและเหยียบลงบนศีรษะของหยานชวนที่เพิ่งจะโผล่ออกมา
ตึก
หยานชวนกระอักโลหิตออกมาก่อนจะสิ้นสติไป
“จ้าวเฟิงชนะ!”
ผู้ตัดสินมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยสายตาแปลกประหลาด
มีเพียงยามที่เด็กหนุ่มเดินออกจากลานประลอง เหล่าผู้ชมจึงเข้าใจว่าสิ่งใดเกิดขึ้น และเมื่อผู้คนเข้าใจ จึงสูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนาวเหน็บ
ในยามนี้ จ้าวเฟิงนั้นกระทั่งลึกลับและทรงพลังยิ่งขึ้นกว่าเดิมในสายตาของพวกเขา
สำหรับการต่อสู้ระยะประชิด เขามีฝ่ามือวายุอัสนี สำหรับการต่อสู้ระยะไกล เขาก็มีคันศรหลัวซุยของเขา รวมทั้งพลังจิต
และไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ล้วนแล้วแต่แข็งแกร่ง
หลังจากจ้าวเฟิงเดินออกจากลานประลอง อ้าวเยว่เทียนก็เดินขึ้นไป
คู่ต่อสู้ของเขาคือฉีจิ่วที่เคล็ดดาบด้อยกว่าเพียงชางหยูเยว่
ในสถานการณ์ปกติ อ้าวเยว่เทียนย่อมต้องเหนื่อยเล็กน้อยเพื่อที่จะเอาชนะอีกฝ่าย
“ร่างเทพสงครามจันทรา”
แสงสีเงินรวมตัวกันรอบกายอ้าวเยว่เทียน ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์
ฟุ่บ!
เสี้ยววินาทีต่อมา อ้าวเยว่เทียนได้กลายเป็นแสงจันทร์ที่โจมตีไปยังฉีจิ่วในพริบตา
เหล่าผู้ที่สามารถเข้าร่วมรอบสุดท้ายได้ย่อมไม่อ่อนแอ ฉีจิ่วสะบัดดาบของเขาออกไปรวดเร็วราวสายฟ้า บดขยี้ทุกสิ่งในรัศมีสองสามหลาจนกลายเป็นเศษฝุ่น
แคร่กกกก
ฉีจิ่วรู้สึกได้เพียงพลังที่ไม่อาจป้องกันที่ได้โจมตีมายังร่างของเขา และพลันกระอักโลหิตออกมาคำโต
เหล่าผู้ชมพูดคุยกัน
ดาบของฉีจิ่วได้ปะทะเข้ากับร่างของอ้าวเยว่เทียน ทว่ามันได้ถูกป้องกันโดยแสงจันทร์รอบร่างของเขา เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ
ทุกคนควรจะรู้ว่าเพราะฉีจิ่วฝึกปรือวิชาดาบ ดาบที่วาดออกก่อนหน้าจึงสามารถคุกคามผู้ที่อยู่ในนภาที่เจ็ดได้ ทว่ามันกลับถูกป้องกันได้โดยอ้าวเยว่เทียน
“ในด้านของพลังป้องกัน อ้าวเยว่เทียนเหนือกว่าเป่ยม่อ ทั้งพลังโจมตีและความเร็วยังมากกว่า” จ้าวเฟิงวิเคราะห์
ในฐานะของผู้ที่ครอบครองฉายาดารา อ้าวเยว่เทียนนับว่าแข็งแกร่งโดยแท้
เช่นนี้ สี่ดาราใหม่จึงได้ประลองรอบแรกไป พวกเขาได้เอาชนะคู่ต่อสู้ในเพียงหนึ่งกระบวนท่า อยู่ในระดับที่สูงกว่าผู้อื่น
การประลองดำเนินต่อไป
ตามกฎ ทุกคนต้องประลองทั้งหมด 11 ครั้ง นั่นยังหมายความว่าทุกคนต้องเผชิญหน้ากันทั้งหมด และผู้ที่ชนะมากที่สุดจะครองอันดับหนึ่ง
หากผู้ใดชนะทั้งสิบเอ็ดครั้ง คนผู้นั้นก็จะได้ครองอันดับหนึ่ง
แน่นอนว่ามันก็เป็นไปได้ที่คนผู้หนึ่งจะครองอันดับหนึ่งแม้จะชนะเพียงสิบครั้งเพราะคู่ต่อสู้บางคนอาจสามารถตอบโต้ได้อย่างสมบูรณ์
การประลองรอบแรกได้สิ้นสุดลงในไม่ช้า ดาราทั้งสี่ล้วนคว้าชัยชนะไปอย่างง่ายดาย
ครึ่งวันต่อมา การประลองรอบที่สองจึงได้เริ่มต้นขึ้น
สถานการณ์ในรอบที่สองแปรเปลี่ยนไป และเหล่าดาราอาจมีโอกาสได้ต่อสู้กันเอง
ทว่าในครั้งนี้ ทั้งสี่ไม่ได้เจอกันเอง
ทว่า ชางหยูเยว่ได้เจอกับสวีจีเสวียน
สวีจีเสวียนใช้รูปแบบสามดาบของเขาจนถึงขีดสุด ทว่ากลับสามารถป้องกันได้เพียงสองกระบวนท่า พ่ายแพ้ในกระบวนท่าที่สาม
ทว่าแม้กระนั้น มันก็เป็นสถิติที่มากที่สุดแล้ว ชางหยูเยว่ได้ใช้สามดาบกับเขา ในขณะที่ใช้กับเป่ยม่อเพียงสองดาบ
ในรอบที่สอง คู่ต่อสู้ของจ้าวเฟิงคือกู่หลานเยว่
“ข้ายอมรับความพ่ายแพ้” กู่หลานเยว่แย้มยิ้มขมขื่นก่อนจะเอ่ยยอมแพ้
นางจะรู้ได้อย่างไรว่าจ้าวเฟิงจะออมมือให้กับนางเช่นในการประลองแรกและ ‘ใจดี’ ต่อนาง?
มันมีการประลองที่น่าตื่นตาในรอบที่สอง เป็นการประลองระหว่างอ้าวเยว่เทียนและจ้าวหยูเฟย
ทุกคิดว่าเพราะจ้าวหยูเฟยและอ้าวเยว่เทียนมาจากสำนักเดียวกัน เด็กสาวจะยอมแพ้ ทว่านางกลับไม่ทำเช่นนั้น
แทนที่จะรู้สึกโกรธ อ้าวเยว่เทียนกลับรู้สึกยินดี เมื่อเจ้าพ่ายแพ้ให้กับข้าตรงๆ เจ้าจะเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างเรา
“ร่างเทพสงครามจันทรา”
อ้าวเยว่เทียนใช้วิชาอันเลื่องชื่อของเขา มิคิดออมมือ
นั่นเป็นเพราะ
- 1. เขามีโอกาสที่จะชนะใจนาง และอีกฝ่ายอาจชื่นชมหรือกระทั่งนับถือเขาเช่นเดียวกับจ้าวเฟิง
- 2. รางวัลของสามอันดับแรกจะกำหนดโชคชะตาของคนผู้หนึ่ง และอ้าวเยว่เทียนจะไม่ยอมแพ้เพื่อสิ่งนี้
“ขออภัยด้วย ศิษย์พี่อ้าว”
จ้าวหยูเฟยแย้มยิ้มบางพร้อมกับที่ปราณแท้สีเขียวอ่อนได้ปรากฏขึ้นบนผิวที่ราวกับผลึกของนาง
เมื่อมองจากที่ไกลๆ มันราวกับว่าผิวของจ้าวหยูเฟยไม่ได้สร้างขึ้นจากเลือดเนื้อ ทว่าเป็นผลึกที่ถูกแกะสลักขึ้น สร้างภาพของเทพธิดาขึ้น
เปรี้ยง
แสงสีเขียวได้รวมตัวกันขึ้นเป็นดอกบัวในมือของเด็กสาว ป้องกันการโจมตีของคู่ต่อสู้
ในด้านของพลัง มันยังคงหลงเหลือความแตกต่างระหว่างทั้งสองอยู่ ดังนั้นจ้าวหยูเฟยจึงถูกผลักถอยออกไป ทว่านางได้บิดตัวกลางอากาศด้วยท่าทีราวเทพธิดาก่อนจะโจมตีกลับ
ศาลาชมของแคว้นมังกรโลหะ
“เป็นสายเลือดที่พิเศษอันใดเช่นนี้ แม้ว่ามันจะเจือจางนัก มันก็ยังสามารถทำให้ปราณแท้บริสุทธิ์ยิ่งนัก ราวกับว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไป เหลือเชื่อนัก…” ร่างในชุดดำเอ่ยขึ้นอย่างลึกล้ำ
“มันเพิ่มพลังโจมตีขึ้นไม่มาก ทว่าสายสัมพันธ์ระหว่างโลหิตและกระดูกกับปราณแท้ยอดเยี่ยมนัก สายเลือดนี้อาจสามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกตนของคนผู้หนึ่งได้ ทว่าโชคร้ายที่มันเจือจางนัก” อีกคนหนึ่งถอนหายใจ
แคว้นมังกรโลหะเป็นหนึ่งในแคว้นที่ทรงพลังที่สุดในทวีปเหนือ มันมีพื้นที่ ทรัพยากร และกองกำลังจำนวนมากกว่าสิบสามสำนัก
“หึหึ หยูเฟย มิแปลกใจเลยที่พรสวรรค์กายผันแปรของเจ้าจะสูงนัก เป็นเจ้ามีสายเลือดอยู่ในตัว”
อ้าวเยว่เทียนต่อสู้อย่างมั่นใจ
ในการต่อสู้ไม่นาน ทั้งสองนับว่าเสมอกัน ทว่าอ้าวเยว่เทียนเห็นได้ว่าสายเลือดของจ้าวหยูเฟยไม่ได้ส่งผลต่อพลังต่อสู้มากนัก
เงาเทพจันทรา
ร่างของอ้าวเยว่เทียนพลันเคลื่อนไหวราวแสงจันทร์ อิสระและรวดเร็ว
พลังโจมตีและปราณของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก แน่นอนว่าสิ่งที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดยังคงเป็นความเร็ว
“เขาใช้พลังสายเลือดของเขาแล้ว”
จ้าวเฟิงเปิดดวงตาซ้าย เด็กหนุ่มพบว่าแสงสีเงินโปร่งแสงได้ปรากฏขึ้นในโลหิตของอ้าวเยว่เทียน
เขาสามารถตรวจจับพลังสายเลือดของอ้าวเยว่เทียนได้ ในขณะที่พลังสายเลือดของจ้าวหยูเฟยนั้นพิเศษกว่าเล็กน้อย จ้าวเฟิงพบว่ามันงดงามและทำให้ร่างของคนผู้หนึ่งสามารถหลอมรวมเข้ากับปราณแท้ได้ดีกว่า
“พลังสายเลือดของจ้าวหยูเฟยพิเศษยิ่งนัก แม้ว่ามันจะไม่แข็งแกร่ง มันก็ดูราวกับได้ผ่านกระบวนการตื่นขึ้นเช่นของข้าแล้ว” จ้าวเฟิงคิดในใจ
ในเวลาเดียวกัน การประลองของทั้งสองก็ได้เข้าสู่ระดับที่น่าเหลือเชื่อ
การประลองนี้ขึ้นอยู่กับพลังสายเลือด
“นั่นคือพลังสายเลือดในตำนานที่กระทั่งมีค่ามากกว่าร่างจิตวิญญาณขั้นสุดยอด”
เหล่าผู้ชมถอดถอนใจ รู้สึกริษยา
พลังสายเลือดนั้นหายากนัก ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน เหล่าผู้ที่มีสายเลือดนับว่าได้เปรียบกว่าผู้ที่ไม่มีมากนัก
ในบรรดาสี่ดารา ทั้งหลินทงและอ้าวเยว่เทียนต่างก็มีพลังสายเลือด
บัดนี้มีอีกคนหนึ่ง จ้าวหยูเฟยที่สามารถรับมืออ้าวเยว่เทียนได้ในระยะเวลาสั้นๆ
แน่นอนว่าจ้าวเฟิงเองก็มีพลังสายเลือด ทว่าเพราะเขาใช้มันอย่างลับๆ เพียงครั้งเดียว จึงมีเพียงผู้ที่มาจากแคว้นมังกรโลหะที่รับรู้ได้
จ้าวเฟิงได้ค้นคว้าเกี่ยวกับพลังสายเลือดจากบันทึกในสำนักเป็นพิเศษ
พลังสายเลือดนั้นเป็นเหมือนมรดก ทว่าพวกมันถูกส่งต่อผ่าน ‘ยีนส์’
หากขนาด รูปลักษณ์ และกระทั่งความฉลาดสามารถถ่ายถอดรุ่นสู่รุ่นได้ เช่นนั้น ‘พลังพิเศษ’ เหล่านี้ก็ย่อมสามารถถ่ายถอดได้เช่นกัน
หากคนผู้หนึ่งมีพลังสายเลือด มันหมายความว่าบรรพบุรุษของพวกเขานั้นทรงพลังยิ่งนัก
ทว่าไม่มีผู้ใดรู้ว่าคนผู้หนึ่งจำเป็นจะต้องแข็งแกร่งเพียงใดเพื่อที่จะทำให้ทายาทของพวกเขาได้รับพลังสายเลือด
ขอบเขตปราณเทวะหรือสูงกว่าอาจทำให้ทายาทของพวกเขาได้รับพลังสายเลือดได้ กระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็ไม่อาจกระทำได้เช่นนั้น