บทที่ 232 : การปะทะกันของดาราดวงใหม่
ขอบเขตทั้งเจ็ดที่เป็นที่รู้จักกันในโลกใบนี้ได้แก่ ขอบเขตรวบรวมปราณ ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ขอบเขตปราณเทวะ ขอบเขตผู้วิเศษ และขอบเขตเซียนสวรรค์
เมื่อคนผู้หนึ่งเข้าสู่ขอบเขตปราณเทวะหรือสูงกว่า ทายาทของพวกเขาก็จะมีโอกาสที่จะได้รับถ่ายทอดพลังสายเลือด
แน่นอนว่าหากคนผู้หนึ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์และได้รับการยอมรับจากสวรรค์และพื้นดิน ทายาทแทบทุกคนของพวกเขาก็จะได้รับพลังสายเลือด ความแตกต่างนั้นมีเพียงความแข็งแกร่งของสายเลือดและเวลาที่มันจะตื่นขึ้นเท่านั้น
ทว่าขอบเขตที่สูงที่สุดที่ปรากฏอยู่ในบัดนี้มีเพียงขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
ในเวลาหมื่นปีที่ผ่านมา มีเพียงผู้นำลัทธิมารจันทราชาดเท่านั้นที่มีโอกาสเข้าสู่ขอบเขตปราณเทวะ
“ดูเหมือนว่าผู้ที่มีพลังแห่งสายเลือดนั้นจะมีความเป็นมาที่ยาวนาน ทั้งความเข้มข้นของสายเลือดยังเจือจางลงเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านพ้น ทั้งอัตราการถ่ายทอดยังน้อยลงอีกด้วย”
จ้าวเฟิงวิเคราะห์และตระหนักได้ว่าความเป็นมาของสายเลือดนั้นไม่ใช่ธรรมดา
มันสามารถเอ่ยได้ว่าผู้คนที่มีพลังสายเลือดนั้นคือบุตรแห่งสวรรค์ที่ได้รับการปกป้องและกำหนดโชคชะตาจากบรรพบุรุษของพวกเขา
แน่นอน
จ้าวเฟิงเองก็มีพลังสายเลือด ทว่ามันไม่ได้มาจากบรรพบุรุษของเขา
วิธีการที่เขาได้รับสายเลือดมานั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ลานประลองสุดท้าย
สองอัจฉริยะที่มีพลังสายเลือดได้ต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง ระเบิดพลังที่เกินกว่าระดับฝึกนของพวกเขาออกมา
ในยามนี้ พลังต่อสู้ของอ้าวเยว่เทียนนั้นสามารถเทียบเท่าได้กับผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงโดยสมบูรณ์ พลังในทุกๆ ด้านทั้งพลังโจมตี พลังป้องกัน และการเคลื่อนไหวล้วนกล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบ
ข้อได้เปรียบของจ้าวหยูเฟยนั้นมาจากความเข้ากันของปราณแท้และเลือดเนื้อของนาง ทำให้ปราณแท้ของนางนั้นบริสุทธิ์กว่าผู้อื่น ทั้งยังทรงพลังกว่า 1.5 เท่าตัว
กระดูกของนางกลายเป็นโปร่งใสส่องประกายยามที่นางใช้ปราณแท้หลอมรวมเข้าไป ทำให้ร่างของนางวูบไหวอย่างรวดเร็วในอากาศอย่างน่ามหัศจรรรย์ และแม้ว่านางจะไม่รวดเร็วเช่นอ้าวเยว่เทียน นางกลับคล่องแคล่วกว่านัก
ทว่าหลังจากผ่านไปสี่สิบห้าสิบกระบวนท่า จ้าวหยูเฟยก็พ่ายแพ้ในที่สุด
“ความแตกต่างระหว่างจ้าวหยูเฟยและอ้าวเยว่เทียนนั้นคือนางมีพลังฝึกตนไม่เพียงพอและวิชาก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมนัก รวมกับที่พลังสายเลือดของนางไม่ได้เพิ่มพลังต่อสู้ขึ้นมากนัก”
จ้าวเฟิงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ทั้งหมดล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของเขา
“ขอบคุณ หยูเฟย”
อ้าวเยว่เทียนเผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา ไร้ซึ่งท่าทีสูงศักดิ์เช่นปกติ
เขาได้ทำตามเป้าหมายสำเร็จแล้ว ในการเอาชนะจ้าวหยูเฟยอย่างเท่าเทียมและชัดเจน ทำ ให้คิดว่านางต้องเชื่อฟังเขา และอาจกระทั่งพึ่งพาเขาในอนาคต
อย่างไรก็ตาม สตรีส่วนมากชื่นชอบบุรุษที่แข็งแกร่ง เมื่อพวกเขาจะให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่พวกนาง
ทว่า
เมื่อจ้าวหยูเฟยพ่ายแพ้ นางกลับเยือกเย็นและดูไม่ได้รับผลกระทบอันใด
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?
อ้าวเยว่เทียนรู้สึกโกรธและอารมณ์ไม่ดี
แม้ว่าจ้าวหยูเฟยจะพ่ายแพ้ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกเคารพหรือต้องการพึ่งพาเขาเลยแม้แต่น้อย
“ข้าเอาชนะนางเช่นที่จ้าวเฟิงทำ แต่จ้าวหยูเฟยนับถือหมอนั่น มิใช่ข้า… ดูเหมือนว่าคนแรกจะสำคัญกว่า”
ดวงตาของอ้าวเยว่เทียนส่องประกายระริก ดูจะเข้าใจขึ้นมา
มันเป็นเพราะจ้าวเฟิงรู้จักจ้าวหยูเฟยก่อนเขา และเรื่องราวได้เกิดขึ้นในวัยเด็กของพวกเขา
ในเวลานั้น มุมมองของสตรีต่อชีวิตยังไม่มั่นคง และมันง่ายสำหรับพวกนางที่จะมีความรู้สึกชื่นชมและต้องการพึ่งพิง
ทว่าบัดนี้ จ้าวหยูเฟยได้เติบโตขึ้น และหัวใจของนางได้มั่นคงแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้นางหวั่นไหวเช่นเมื่อก่อน
“มันก็มิใช่ว่าไร้ซึ่งหนทาง หากข้าสามารถเอาชนะจ้าวเฟิงได้ ข้าก็สามารถแทนที่เขาในหัวใจของจ้าวหยูเฟยได้”
สีหน้าเย็นชาของอ้าวเยว่เทียนถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเมื่อเขาค้นพบหนทาง
หนทางนั้นคือจ้าวเฟิง
แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นหนึ่งในสี่ดาราเช่นเดียวกันเขา อ้าวเยว่เทียนก็มีความมั่นใจอย่างสิ้นเชิง พลังสายเลือดของเขาแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน และความเชี่ยวชาญในเทพสงครามจันทราเองก็มากขึ้นเช่นกัน
อ้าวเยว่เทียนได้ชมการต่อสู้ระหว่างจ้าวเฟิงและสว่ี๋จึเสวี๋ยน
เหตุผลทสว่ี๋จึเสวี๋ยนพ่ายแพ้นั้นเป็นเพราะเขามั่นใจมากเกินไปในตอนแรก และได้ถูกตอบโต้โดยคันศรหลัวซุยของจ้าวเฟิงโดยสมบูรณ์
ในหัวใจของอ้าวเยว่เทียน จ้าวเฟิงนับเป็นหนึ่งในดารา ทว่ามันยังคงมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างเขา ชางหยูเยว่ และหลินทง
ลานประลองสุดท้าย
การประลองรอบที่สองได้สิ้นสุดลง
นอกจากสี่ดาราแล้ว อัจฉริยะที่เหลือล้วนมีชัยชนะและพ่ายแพ้
เหล่าผู้ชมรอบลานประลองคาดหวังถึงการต่อสู้ของสี่ดาราอย่างหนัก
รอบที่สาม
ชางหยูเยว่และหลินทงต่างขึ้นไปและเอาชนะคู่ต่อสู้ของพวกเขาในเสี้ยววินาทีตามลำดับ
จากนั้นจึงเป็นตาของจ้าวเฟิง
“จ้าวเฟิง ปะทะ อ้าวเยว่เทียน”
น้ำเสียงใสกระจ่างประกาศขึ้น
เฮือก!
เหล่าผู้ชมและศิษย์ที่เข้าร่วมไม่อาจปกปิดความตื่นเต้นเอาไว้ได้
ในที่สุดมันก็เกิดการปะทะกันของดาราแล้ว
“เยี่ยม!”
อ้าวเยว่เทียนหัวเราะในใจ เมื่อเขาคิดถึงสิ่งใด เขาก็ได้รับ ดูเหมือนว่ากระทั่งสวรรค์ยังรับฟังเสียงภาวนาของเขา
ในสี่ดารา คนที่เขาต้องการประลองด้วยมากที่สุดคือจ้าวเฟิง
ความแข็งแกร่งของชางหยูเยว่และหลินทงเพียงน่าหวาดกลัวจนเกินไป และเขาไม่มีความมั่นใจใดๆ ที่จะเอาชนะสองคนนั้น ทว่าความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงนั้นใกล้เคียงกับเขา และตราบเท่าที่เขาชนะ เขาจะสามารถแทนที่อีกฝ่ายในหัวใจของเทพธิดาได
การประลองครั้งนี้
เขาต้องชนะการประลองนี้
อ้าวเยว่เทียนส่งจิตต่อสู้อันไร้ที่สิ้นสุดออกมา
การประลองนี้ส่งผลต่อคะแนนโดยรวมในงานพันธมิตร และมันยังส่งผลว่าเขาจะสามารถครอบครองหัวใจของสตรีในฝันได้หรือไม่ รวมทั้งส่งผลต่อโชคชะตาของเขา
ในทางกลับกัน จ้าวเฟิงเดินขึ้นไปบนลานประลองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“นี่เป็นโอกาสดี…”
จ้าวเฟิงจับจ้องไปยังอ้าวเยว่เทียนอย่างเยือกเย็นด้วยดวงตาที่ส่องประกายระริก
จ้าวเฟิงวางแผนบัดซบอันใดไว้กัน?
อ้าวเยว่เทียนมีความรู้สึกว่าการกระทำของเขาได้ถูกคาดเดาไว้หมด
ทว่าเขามีความมั่นใจในพลังสายเลือดและเทพสงครามจันทราอย่างที่สุด
ในด้านของพลังโจมตี พลังป้องกัน และความเร็ว ทุกอย่างสามารถเรียกได้ว่าสมบูรณ์ ไร้ซึ่งจุดอ่อน
นอกจากนั้น พลังฝึกตนของเขายังเข้าสู่นภาที่เจ็ด ทั้งมีพลังแห่งสายเลือด ในขณะที่จ้าวเฟิงนั้นกระทั่งไม่อยู่ในนภาที่หกและไม่มีพลังสายเลือด อีกฝ่ายจะสู้เขาได้อย่างไร?
หากเขาไม่อาจกระทั่งเอาชนะการประลองนี้ได้ เขาก็ควรจะหาเต้าหู้สักก้อนมาโขกศีรษะตนจนตายแล้ว
“เริ่ม”
ผู้ตัดสินในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงประกาศ
อ้าวเยว่เทียนไม่ได้เคลื่อนไหวในทันที และเริ่มโคจรพลังสายเลือดแทน
ร่างเทพสงครามจันทรา
แสงสีเงินปรากฏขึ้นล้อมรอบร่างของชายหนุ่ม กลิ่นอายของเขาเข้มข้นขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงพอที่จะบดขยี้ผู้ฝึกตนทั่วไปในนภาที่ห้าลงโดยไร้ซึ่งโอกาสให้ดิ้นรน
ฝ่ามือวายุอัสนี!
ร่างของจ้าวเฟิงถูกล้อมรอบไปด้วยกระแสไฟฟ้าขณะที่พุ่งตรงไปยังคู่ต่อสู้
คนผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือ?
อ้าวเยว่เทียนสะดุ้งอย่างตกใจ มันดูราวกับว่าอีกฝ่ายจะพุ่งเข้ามาฉีกเขาเป็นชิ้นๆ
“ฝ่ามือเทพจันทรา”
มือขวาของอ้าวเยว่เทียนปลดปล่อยแสงจันทร์สีเงินยวงที่รวมกันเป็นรูปดาบออกมา ก่อนที่มันจะปะทะเข้ากับฝ่ามือวายุอัสนีของจ้าวเฟิง
เปรี้ยง!
ใจกลางเสียงของสายฟ้า พลังที่น่าพรั่นพรึงทั้งสองได้ระเบิดออก
อ่าวเยว่เทียนรู้สึกว่าข้อมือและร่างกายของเขาชาเล็กๆ
ตูม!
จ้าวเฟิงกระเด็นถอยออกไปหลายหลา
ภายใต้การปะทะตรงๆ พลังโจมตีและป้องกันที่สมบูรณ์แบบของอ้าวเยว่เทียนได้แสดงอำนาจของมันออกมา
“วายุอัสนีร่ายรำ!”
จ้าวเฟิงตวาดเสียงเบาพร้อมกับที่ประกายสายฟ้าได้พุ่งวาบไปยังร่างของคู่ต่อสู้ราวกับพายุ
ครานี้ มรดกอัสนีของจ้าวเฟิงได้ถูกใช้ออกจนถึงขีดสุด ทั้งความเชี่ยวชาญฝ่ามือวายุอัสนียังใกล้เคียงกับขั้นสุดยอดของระดับหก
“เป็นสายฟ้าที่รุนแรงอันใดเช่นนี้”
อ้าวเยว่เทียนรู้สึกว่าบรรยากาศรอบกายบีบอัดเข้ามาด้วยกลิ่นอายทำลายล้าง
ชายหนุ่มโคจรพลังสายเลือดเพื่อควบรวมแสงสีเงินรอบกาย
ก่อนที่ประกายสายฟ้าจะหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อมันเข้าใกล้ร่างของเขา
ในด้านของพลังป้องกัน อ้าวเยว่เทียนนั้นกระทั่งแข็งแกร่งกว่าสวี๋จึเสวี๋ยน
ตูมมม!
ในการปะทะครั้งที่สอง ร่างของจ้าวเฟิงกระเด็นออกไปสองสามก้าว ในขณะที่ร่างของอ้าวเยว่เทียนสั่นสะท้านเล็กๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า จ้าวเฟิง พลังของเจ้าก็ได้แค่นี้ เหตุใดจึงไม่ทำเพียงยอมรับความพ่ายแพ้เสียเล่า”
อ้าวเยว่เทียนหัวเราะเสียงดังด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง
จนกระทั่งบัดนี้ เขาใช้พลังสายเลือดเพียงห้าสิบถึงหกสิบในร้อยส่วนเท่านั้น ทว่ากลับสามารถป้องกันการโจมตีรุนแรงของจ้าวเฟิงได้โดยที่ได้เปรียบเล็กน้อยไปพร้อมๆ กัน
อ้าวเยว่เทียนวิเคราะห์ว่าจุดแข็งของอีกฝ่ายนั้นคือพลังโจมตี เพราะทั้งเคล็ดพลังจิต ฝ่ามือวายุอัสนี และคันศรหลัวซุยต่างก็เน้นการโจมตีเป็นหลัก
ดังนั้นแล้ว เขาจึงจำเป็นเพียงแค่รักษาสถานการณ์นี้ไว้และป้องกัน ชัยชนะนั้นเพียงขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
ย่าห์!
จ้าวเฟิงพลันตวาดลั่นพร้อมกับที่ประกายแสงได้พุ่งเข้าสู่สมองของอ้าวเยว่เทียน
โลหิตของผู้ถูกจู่โจมเดือดพล่าน ร่างเทพสงครามจันทราแหลกสลาย
“มันไร้ประโยชน์ ร่างเทพสงครามจันทรามีความสามารถในการป้องกันการโจมตีทุกรูปแบบอย่างสูง”
อ้าวเยว่เทียนกลับกลายเป็นแสงจันทร์และเริ่มโจมตีกลับ
พลังจิตเสียงโจมตีร่างเทพสงครามจันทรากะทันหันของจ้าวเฟิงส่งผลต่ออ้าวเยว่เทียนเพียงเล็กน้อย
ย่างก้าวอัสนีมายา
ใจกลางอากาศปรากฏเสียงครางหึ่งของสายฟ้า ร่างของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวกลับกลายเป็นรวดเร็วและลึกลับ ผ้าคลุมเงาหยินที่แผ่นหลังมักจะสะบัดไหวและเปลี่ยนผู้เป็นเจ้าของให้กลายเป็นเพียงเงาสีดำเลือนลาง
ในเสี้ยวพริบตา
ร่างที่รวดเร็วทั้งสองก็ได้เข้าปะทะกันอย่างน่าตื่นตา
เหล่าผู้ชมรอบลานประลองอ้าปากค้าง
การเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงและอ้าวเยว่เทียนนับว่ายอดเยี่ยมนัก กระทั่งชางหยูเยว่และหลินทงยังตกใจเล็กน้อย
“ในด้านของความเร็ว จ้าวเฟิงนับว่าเทียบเท่ากับศิษย์พี่อ้าว โดยเฉพาะเมื่อเขาใช้ผ้าคลุมลึกลับนั่น แต่ในด้านของความเข้าใจการใช้มรดกอัสนี จ้าวเฟิงเหนือกว่า”
จ้าวหยูเฟยคิด
มรดกอัสนีเพิ่มความเร็วของคนผู้หนึ่งขึ้นอย่างมหาศาล
ในขณะที่ร่างเทพสงครามจันทราของอ้าวเยว่เทียนทำให้เขาสามารถหลอมรวมเข้ากับแสงจันทร์ได้
ทว่าจ้าวเฟิงมีผ้าคลุมเงาหยินที่ใช้พลังสายเลือดเพียงน้อยนิดในการทำให้มันทำงาน
โดยรวมแล้ว จ้าวเฟิงมีความได้เปรียบในด้านของความเร็ว ทว่าอ้าวเยว่เทียนได้เปรียบในด้านของพลังป้องกัน
ทว่าด้านการป้องกันโจมตีอ้าวเยว่เทียนถือว่าได้เปรียบ
ในเวลานี้ การต่อสู้ระหว่างดาราทั้งสองนับว่าสูสี
ร่างทั้งสองเข้าปะทะกันเดี๋ยวสูงเดียวต่ำ เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
โชคดีที่พวกเขาอยู่ในลานประลองสุดท้ายที่กว้างใหญ่กลายลี้ เพียงพอให้ทั้งสองเคลื่อนไหวไปมา หากเป็นลานประลองปกติอาจกลายเป็นเศษซากแล้วในยามนี้
“จ้าวเฟิงเสียสติไปแล้ว ยิ่งต่อสู้เขายิ่งดุดันขึ้นเรื่อยๆ ”
อ้าวเยว่เทียนตกใจ
จ้าวเฟิงไม่มีแผนการใดๆ แม้แต่น้อยและทำเพียงเข้าต่อสู้อย่างเกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อยๆ
คนควรจะรู้ว่าในการปะทะตรงๆ นั้น จ้าวเฟิงจะไม่มีทางได้เปรียบแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เด็กหนุ่มกำลังพ่ายแพ้
ทั้งพลังป้องกันของร่างเทพสงครามจันทราของอ้าวเยว่เทียนยังแข็งแกร่งและไม่อาจเอาชนะได้
และแม้ว่าจ้าวเฟิงจะบาดเจ็บภายในเล็กน้อย
ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงปะทะกับคู่ต่อสู้ตรงๆ
แม้ว่าจะบาดเจ็บ พลังโจมตีกับปราณนกลับเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
“ต่อสู้เช่นนี้ หรือเป็นว่าจ้าวเฟิงมิต้องการมีชีวิตอยู่แล้ว?”
ศิษย์รอบๆ อุทานออกมา
“ฮี่ฮี่ เป็นเช่นนี้เอง”
ร่างสีดำจากแคว้นมังกรโลหะหัวเราะแผ่วเบา