บทที่ 233 : สามกองกำลัง
การต่อสู้ที่บ้าคลั่งกราดเกรี้ยวของจ้าวเฟิงได้ทำให้เหล่าผู้ชมรู้สึกสงสัย
คนผู้นี้ไม่สนใจชีวิตตนจริงๆ หรือ?
เหล่าศิษย์ยอดฝีมือที่เข้าร่วมล้วนมองหน้ากัน
ภายใต้การปะทะตรงๆ นั้น จ้าวเฟิงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราการเคลื่อนไหวและความคล่องแคล่วของเขา เด็กหนุ่มย่อมบาดเจ็บสาหัสและพ่ายแพ้ไปแล้ว
อ้าวเยว่เทียนเทียนประหลาดใจแต่ก็ยินดี สถานการณ์เช่นนี้นับว่าดีต่อเขา
จุดแข็งของจ้าวเฟิงนั้นคือการโจมตี ทั้งการเคลื่อนไหวยังว่องไวทำให้มันเป็นปัญหา
แต่โชคดีที่จ้าวเฟิงยอมปะทะกับกับอีกฝ่ายแบบซึ่งซึ่งหน้า และเมื่อจุดแข็งของอีกฝ่ายคือการโจมตี มันย่อมไม่อาจยื้ดเยื้อได้นานนัก
“ข้ามีพลังฝึกตนสูงกว่าเจ้า ทั้งในด้านของพรสวรรค์ ข้ายังมีพลังสายเลือด ในอีกสองร้อยกระบวนท่า เจ้าย่อมใช้พลังทั้งหมดเป็นแน่…”
อ้าวเยว่เทียนหัวเราะเสียงเย็นในใจ
มันมิใช่ว่าเขาไม่ต้องการจบการประลองนี้ลงอย่างรวดเร็ว แต่เพราะไอ้คนเสียสติเบื้องหน้าเขาจู่โจมอย่างดุดัน เกรงว่าหากทำแบบนั้นอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย
ดังนั้นแล้ว เขาจึงทำเพียงป้องกันและตอบโต้กลับเพียงนานๆ ครั้ง เฝ้ารอให้คู่ต่อสู้ใช้พลังทั้งหมด จากนั้นเขาจึงจะจัดการอีกฝ่าย
นี่เป็นกลยุทธ์ในการเอาชนะโดยใช้พลังแลกเปลี่ยนน้อยที่สุดในการที่จะล้มไอ้คนเสียสตินั่น
ดวงตาของอ้าวเยว่เทียนส่องประกายวาววับขณะที่คิดเช่นนั้น
ทว่าเมื่อเขาคิดเช่นนั้น การเคลื่อนไหวของเขาก็ตกลง
จ้าวเฟิงกราดเกรี้ยวขึ้นเรื่อยๆ จิตต่อสู้ของเด็กหนุ่มไหลทะลักออกจากร่าง โลหิตดูราวกับเดือดพล่าน อยู่ในสถานะสุดยอด
ภายในร่างของจ้าวเฟิงปรากฏเสียงครางหึ่งของสายฟ้า เส้นผมสีเขียวครามไหวกระเพื่อมราวคลื่นน้ำตก
การเคลื่อนไหว จิตต่อสู้ รวมทั้งปราณของเขาล้วนเพิ่มสูงขึ้น
หลังจากราวๆ หนึ่งร้อยกระบวนท่า ใบหน้าของจ้าวเฟิงก็แดงก่ำ พลังภายในร่างเริ่มถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเชื่องช้า
ในที่สุด
อ้าวเยว่เทียนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ภายใต้สถานการณ์ปกติ การโจมตีของจ้าวเฟิงควรจะเริ่มอ่อนลงหลังจากหนึ่งร้อยกระบวนท่า ทว่ามันกลับรุนแรงขึ้น
ไม่ใช่ ต้องมีอะไรผิดพลาด
อ้าวเยว่เทียนรู้สึกถึงแรงกดดันที่มากขึ้น กลิ่นอายของจ้าวเฟิงได้เข้าสู่จุดสุดยอด ราวกับภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิด
“ขีดจำกัดของนภาที่ห้า… อีกเพียงนิดก็จะทะลวงขั้นได้…”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก รีดเค้นความสามารถจากทุกซอกมุมของร่างกายออกมา
เขาได้กินยาจิตวิญญาณและสมุนไพรจำนวนมากหลังจากการทดสอบยอดนภา
มันยังคงมีพลังงานที่ยังไม่ได้ใช้จากของเหลวลึกลับที่เขาดื่มจากแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพหลงเหลืออยู่เล็กน้อย
ในยามนี้
ปราณแท้และโลหิตของเด็กหนุ่มได้เข้าสู่จุดเดือด พลังสายเลือดสามารถปกป้องอวัยวะภายในและจุดชีพจรของเขา สร้างโล่ป้องกันขึ้น อีกทั้งยังเป็นพลังเสริมได้อีกด้วย
และเพราะเหตุนี้ จ้าวเฟิงจึงสามารถจู่โจมอย่างดุดันได้โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง
“ศิษย์พี่อ้าว คนผู้นั้นต้องการที่จะทะลวงขั้นในยามนี้!”
ใครบางคนอุทานขึ้นจากด้านล่างลานประลอง เอ่ยเตือนอ้าวเยว่เทียน
อันใดนะ!?
ใบหน้าของอ้าวเยว่เทียนพลันไร้สีเลือดเมื่อได้รับคำเตือนนั้น
เขาตระหนักได้ว่าสีหน้าของจ้าวเฟิงนั้นแม้ว่าจะต่อสู้อย่างบ้าคลั่งเพียงใดก็ยังคงสงบเยือกเย็น ชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่ได้เสียสติ
จ้าวเฟิงผู้นี้… ใช้ข้าเป็นหินลับคมหรือ?
หลังจากรับรู้ความจริง เปลวเพลิงแห่งความโกรธก็ได้ลุกโชนขึ้น กลืนกินทรวงอกของอ้าวเยว่เทียน
เหล่าผู้ชมเบื้องล่างล้วนสูดลมหายใจเย็นเยียบ
พวกเขาส่วนมากเห็นเพียงด้านไร้สติของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว ทว่าหาได้มองเห็นการคาดคำนวณของเด็กหนุ่ม
ฝ่ามือเทพจันทรา!
อ้าวเยว่เทียนระเบิดและใช้พลังสายเลือดอย่างเต็มที่ การโจมตี ป้องกัน และความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าพลังของอ้าวเยว่เทียนพลันเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ปราณแท้ของเขาได้ถูกกดลง
พลังสายเลือดมาจากบรรพบุรุษที่อยู่ในขอบเขตปราณเทวะซึ่งเป็นพลังอีกระดับหนึ่ง ย่อมกดดันพลังที่ต่ำต้อยกว่าเป็นธรรมดา
“จ้าวเฟิง ข้าจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น”
อ้าวเยว่เทียนใช้พลังสายเลือดของเขาสองร้อยส่วน ที่กระทั่งให้ความรู้สึกของราชาอยู่เจือจาง
พลังที่จ้าวเฟิงรวบรวมมาอย่างยากลำบากกลับถูกอีกฝ่ายขัดขวาง
“ข้าจะล้มเหลวหรือ?”
จ้าวเฟิงไม่ยินยอม
อีกเพียงเล็กน้อย เขาก็จะทะลวงขั้นแล้ว
ทว่าโชคร้ายที่คู่ต่อสู้ของเขาไม่โง่เขลา และย่อมไม่ยอมให้เขาทะลวงขั้นอย่างแน่นอน
“หากเป็นเช่นนั้น… ก็จบลงตรงนี้แหละ”
พลังสายเลือดที่ถูกปกปิดไว้ในร่างของจ้าวเฟิงได้ถูกกระตุ้นจากกลิ่นอายราชาที่เจือจางของอ้าวเยว่เทียน
พลังของเทพบรรพกาลมิอาจที่จะดูแคลนได้
“วายุอัสนีทำลายล้าง!”
จ้าวเฟิงตวาดลั่นพร้อมกับชั้นแสงที่ส่องสว่างขึ้นรอบกายเขา สร้าง ‘โซ่สายฟ้า’ ขึ้นมา
โซ่สายฟ้านี้เป็นราวกับภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิดออก
ตูม!
เรือนผมสีเขียวครามของจ้าวเฟิงพัดไหวไปกับสายลม สายฟ้าเต้นระริกรอบกาย
ในเวลาเดียวกัน
คิ้วของเขาได้แปรเปลี่ยนไปเป็นสีเขียวครามพร้อมกับที่โลหิตสีเขียวครามได้โคจรไปทั่วร่างของเด็กหนุ่ม ราวกับว่ามีเงาร่างของพลังที่เก่าแก่ยืนอยู่ที่เบื้องหลังของเขา
กลิ่นอายเก่าแก่ที่หลอมรวมเข้ากับพลังทำลายล้างของอัสนีได้สร้างพลังที่รุนแรงขึ้น
“อันใดกัน!?”
ปราณแท้และโลหิตของอ้าวเยว่เทียนมิอาจที่จะขยับเคลื่อน
จ้าวเฟิงในสายตาของเขาได้กลับกลายเป็นเทพมารไปแล้ว ราวกับว่าสายฟ้าจากฝ่ามือของอีกฝ่ายสามารถทำลายสวรรค์ได้
“พลังสายเลือด!”
“เขาเองก็มีพลังสายเลือด!”
เหล่าผู้ชมอุทานออกมา ผู้อาวุโสบางคนกระทั่งผุดลุกขึ้น
เฮือก!
จ้าวสำนักจันทร์สลายและผู้อาวุโสหลายคนล้วนยืนขึ้น แทบจะกลั้นลมหายใจ
“หืมมม? พลังสายเลือดนี้บริสุทธิ์และเก่าแก่นัก…”
ด้านแคว้นมังกรโลหะได้ปรากฏเสียงพึมพำแผ่วเบาขึ้น
เปรี้ยง
ในลานประลองปรากฏเสียงดังลั่น พร้อมกับคลื่นสายฟ้าที่สาดซัดเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า
พื้นหินทรายสีดำแหลกสลายเป็นฝุ่นผงโดยมีจ้าวเฟิงจุดศูนย์กลาง ก่อนจะกระเด็นกระจายออกไปทุกทิศพร้อมกับเสียงคำรามของสายลม
แสงสีเงินรอบกายอ้าวเยว่เทียนส่องสว่างจ้าพร้อมกับที่เจ้าของร่างล่าถอยไป
ตูมมม
ร่างของอ้าวเยว่เทียนถูกพลังซัดเข้าที่กลางอากาศ กระเด็นลอยทะลุออกไปจากลานประลองที่ถูกกั้นพื้นที่ด้วยม่านพลังที่สร้างล้อมรอบลานประลองไว้
ในจุดนั้น
จ้าวเฟิงยืนอยู่ใจกลางหลุมขนาดยักษ์สีดำ โลหิตสีครามจางหายไป
จากนั้นคิ้วและส่วนอื่นๆ ของร่างกายจึงกลับไปเป็นปกติ
ฟู่ววว
จ้าวเฟิงปิดเปลือกตาลง ร่างกายรับรู้ได้ถึงความว่างเปล่าภายในที่อ่อนแอ
ทว่าในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายที่เต็มไปด้วยชีวิตก็ได้ระเบิดออกภายในร่างของเขา ปราณแท้สีเขียวครามเจือจางราวกลุ่มควันได้ปรากฏประกายสายฟ้าขึ้นเป็นครั้งคราว และโคจรอยู่ภายในร่างกายเขาอย่างไม่หยุดยั้ง
“เขาทะลวงขั้นแล้ว!”
เสียงตะโกนด้วยความประหลาดใจดังขึ้นจากเหล่าผู้ชม
หลายคนสูดลมหายใจเย็นเยียบ โดยที่ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มหรือการทะลวงขั้นของเขากันแน่
ตุบ!
นอกลานประลอง ร่างโทรมของอ้าวเยว่เทียนทรุดตัวลงบนพื้นพร้อมกับรอยไหม้เกรียม
“จ้าวเฟิงชนะ!”
ผู้ตัดสินรู้สึกตัวในที่สุด เขามองไปยังจ้าวเฟิงราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์ประหลาด
ในยามที่เสียงประกาศดังขึ้น
เหล่าผู้ชมจึงได้สติในที่สุด
“เกิดบัดซบอันใดขึ้น? จู่ๆ จ้าวเฟิงได้แข็งแกร่งมากมายเพียงนี้และสามารถส่งอ้าวเยว่เทียนกระเด็นลอยออกไปด้วยฝ่ามือเดียวได้อย่างไร?”
“พลังสายเลือด ข้ามิคิดว่าไอ้ตัวเสียสตินี่จะมีพลังสายเลือดเช่นกัน”
เสียงอุทานและโต้เถียงดังขึ้นทุกหนแห่ง
“มิแปลกใจเลยที่เขาฝึกตนได้รวดเร็วนักทั้งที่มีพรสวรรค์ธรรมดา ที่แท้เป็นเพราะมีพลังสายเลือด”
หยางกาน เป่ยม่อ และคนอื่นๆ มีสีหน้าซับซ้อน ไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะเสียใจหรือว่ายินดี
จ้าวสำนักจันทร์สลายและผู้อาวุโสหลายคนยินดีอย่างมาก
“ในที่สุดสวรรค์ก็เข้าข้างเรา สำนักจันทร์สลายของเราได้ให้กำเนิดอัจฉริยะเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว!”
จ้าวสำนักจันทร์สลายยินดีอย่างมาก
“จ้าวเฟิงผู้นั้นรู้วิธีการที่จะปกปิดตัวตน”
ใบหน้าของผู้อาวุโสหยุนไห่บิดเบี้ยวเล็กๆ ขณะที่เขาพยายามควบคุมจิตสังหารในใจ
“เช่นที่ข้าคิด”
ผู้อาวุโสหนึ่งพ่นลมหายใจออกก่อนจะแย้มรอยยิ้ม ในฐานะของผู้เป็นอาจารย์ เขาได้รับรู้ว่ามีบางอย่างผิดแปลกเกี่ยวกับศิษย์ของเขาผู้นี้ เพียงแค่ไม่มั่นใจเท่านั้น
จ้าวเฟิงเดินออกจากลานประลองพร้อมกับเสียงถกเถียงของเหล่าผู้ชม จากนั้นเด็กหนุ่มจึงนั่งลงและเริ่มที่จะโคจรปราณแท้เพื่อสร้างสมดุลให้กับขอบเขตพลังของเขา
ในเวลาเดียวกัน เขาก็กินยาจิตวิญญาณที่ช่วยในการฟื้นฟูเข้าไป
อีกด้านหนึ่ง
อ้าวเยว่เทียนที่พ่ายแพ้มีสีหน้าไม่ยินยอม ความหวาดกลัวและตื่นตะลึงปรากฏอยู่ในแววตา
“หมอนั่น… หลบซ่อนพลังได้ลึกนัก”
อ้าวเยว่เทียนขบฟันแน่น
การประลองนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องแพ้ชนะ ทว่ามันนับเป็นความอับอายด้วย
หากจ้าวเฟิงใช้พลังสายเลือดเร็วกว่านี้ เด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาชนะอ้าวเยว่เทียนได้อย่างแน่นอน
ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำเช่นนั้นและใช้ตัวเขาเป็นหินลับคมเพื่อที่จะกระตุ้นความสามารถของตนเอง และด้วยการระเบิดพลังสายเลือดออก ทำให้เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวสามารถทะลวงขั้นเข้าสู่นภาที่หกได้ในที่สุด
อ้าวเยว่เทียนได้กลายเป็นหินลับคม เป็นเบี้ยตัวหนึ่ง
แล้วจะไม่ให้เขาจะไม่โกรธแค้นและอับอายได้อย่างไร?
หลังจากเข้าสู่นภาที่หก พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็นับว่าสูงกว่ามาตรฐาน ห่างจากดาราผู้อื่นเพียงหนึ่งนภาเท่านั้น ทำให้เขาสามารถกลบจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเขาได้
ในความเป็นจริงนั้น การที่จ้าวเฟิงทำแบบนี้ก็นับว่าอันตรายไม่น้อย หากพลาดขึ้นมามันก็มีโอกาสที่ปราณแท้จะตีกลับได้
ทว่าแรงกดดันที่ชางหยูเยว่และหลินทงสร้างต่อเขานั้นมากเกินไป เขาจึงต้องเพิ่มระดับพลังฝึกตนของเขาเพื่อที่จะมีโอกาสได้รับอันดับหนึ่ง
ในยามนี้
คนจำนวนมากได้มองไปยังจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มผู้สงบนิ่งเย็นชาและโหดเหี้้ยม
นับแต่เริ่มงานพันธมิตรจนกรทั่งบัดนี้ จ้าวเฟิงได้เอาชนะดาราไปแล้วสองคน
และบัดนี้ เขาได้เปิดเผยพลังสายเลือดของเขาและเพิ่มพลังฝึกตน ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเด็กหนุ่มย่อมไม่อาจคาดคำนวณได้
ในยามนี้
จ้าวเฟิงในสายตาของทุกคนคือผู้ที่มีพลังอันน่ากลัว นับเป็นผู้ที่เทียบได้กับชางหยูเยว่และหลินทงแล้ว
“ผู้ใดจะรู้ว่าจะมีสิ่งใดหากไอ้คนเสียสตินั่นเผชิญหน้ากับชางหยูเยว่และหลินทง”
จิตใจของผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็คิดถึงสิ่งนี้พร้อมกับรอคอยด้วยความตื่นเต้น
รอบสุดท้ายยังคงดำเนินต่อไป
หนึ่งชั่วโมงต่อมา อาการบาดเจ็บของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวก็หายดี และภายใต้พลังฟื้นตัวของสายเลือดโบราณของเขา ความเร็วในการฟื้นฟูของเขาจึงมากกว่าผู้อื่น และทุกสายเลือดล้วนมีความสามารถเหล่านี้
เมื่อจ้าวเฟิงยืนขึ้นอีกครั้ง กลิ่นอายของเขาได้แข็งแกร่งขึ้น เรือนผมสีเขียวคราวของเขาโดดเด่นขึ้นจากผู้คนทั้งหมด
บัดนี้
รอบสุดท้ายได้ถูกแบ่งออกเป็นสามกองกำลัง
ชางหยูเยว่ หลินทง และจ้าวเฟิง
สามพื้นที่นี้ได้ถูกแบ่งออกเป็นสามทิศทาง แรงกดดันจากคนเหล่านี้ได้ทำให้เหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมไม่อาจหายใจได้
หากคนสามารถมองเห็นพลังแห่งโชคชะตาได้ พวกเขาคงสามารถเห็นสัตว์ประหลาดทั้งสามอยู่ในอากาศได้
หนึ่งดาบยาวสามหลา อีกหนึ่งคือดวงตาที่มืดมิดราวนรก และอีกหนึ่งคือดวงตาสีเขียวครามที่สามารถกำหนดชีวิต
แรงกดดันที่มาจากทั้งสามได้เข้าปะทะกัน พลังของพวกเขาเป็นสิ่งที่เหนือกว่าเหล่าอัจฉริยะของทั้งสิบสามสำนัก