Skip to content

King of Gods 230

King Of Gods

บทที่ 230 : การประลองรอบสุดท้าย

หลังจากต่อสู้อีกหลายครั้ง การต่อสู้ในพื้นที่สามก็สิ้นสุดลง

อันดับหนึ่ง: จ้าวเฟิง

อันดับสอง: สวี๋จีเสวี๋ยน

อันดับสาม: กู่หลานเยว่

จ้าวเฟิงคือม้าที่มืดมิดที่สุดที่มาพร้อมปาฏิหาริย์ สร้างชื่อเสียงเลื่องลือและกลายเป็นดาราดวงใหม่ในงานนี้

ในเวลาเดียวกัน

รอบคัดเลือกของพื้นที่อื่นๆ ต่างก็สิ้นสุดลงหรือใกล้จะสิ้นสุด

ตามกฎของงานพันธมิตร ทุกๆ พื้นที่จะเลือกอัจฉริยะสามคนเข้าสู่รอบสุดท้าย

การแข่งขันรอบสุดท้ายนี้จะถูกขีดเขียนลงในประวัติศาสตร์ และเป็นการตัดสินโชคชะตาของพวกเขา

หนึ่งในสิบอันดับแรกจะได้รับรางวัลจำนวนมาก

สามอันดับแรกจะมีโอกาสได้เข้าไปยังซากแก่นก่อกำเนิด

อันดับหนึ่งจะได้รับรางวัลที่ใหญ่ที่สุด ‘ยาปลดวิญญาณ’

“บัดนี้พลังฝึกตนของข้าอยู่ในขั้นสุดยอดของนภาที่ห้า และต้องรอให้เข้าสู่นภาที่หก ข้าค่อยกินยานั่นและทำให้ข้าสามารถเข้าสู่นภาที่เจ็ดได้ในทันที”

ดวงตาของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว มือกำแน่น

นอกจากนั้น หากเขาเข้าสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้ พร้อมกับใช้พลังเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าร่วมด้วย ก็อาจจะสามารถทำให้เขาทะลวงขั้นได้

นั่นหมายความว่าหากจ้าวเฟิงได้รับอันดับหนึ่ง พลังฝึกตนและความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

ในเวลาเดียวกัน

การต่อสู้จากพื้นที่ที่หนึ่งได้รับความสนใจจากคนจำนวนมาก

ชางหยูเยว่ ปะทะ เป่ยม่อ

ฝ่ายหลังก็เป็นม้ามืดตัวหนึ่ง

เช้ง!

ประกายแสงสีแดงพุ่งวาบผ่านอากาศราวกับจะแหวกสวรรค์

ในเสี้ยววินาที ทุกคนรู้สึกราวกับว่าหัวใจของพวกเขาได้ถูกทะลวง

พื้นที่ธาราทมิฬ

ระลอกคลื่นสีน้ำเงินเข้มปรากฏขึ้นรอบกายเป่ยม่อ สร้างม่านป้องกันที่ไร้จุดสิ้นสุดราวกับมหาสมุทร

ในเวลาเดียวกัน แสงสรเขียวทองก็ได้ส่องประกายออกจากเสื้อสีเขียวทองของเขา หมุนวนไปรอบร่าง

ฉัวะ!

ในเสี้ยววินาที พื้นที่ธาราทมิฬก็ถูกควบรวมกัน ปีกคู่หนึ่งปรากฏขึ้นที่แผ่นหลังของเป่ยม่อ ทำให้เขาสามารถพุ่งตัวรวดเร็วราวสายฟ้าไปยังชางหยูเยว่ได้

ทว่า

ไม่มีผู้ใดสามารถป้องกันการโจมตีของชางหยูเยว่ได้

การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเป่ยม่อ ‘พื้นที่ธาราทมิฬ’ ได้แตกสลายลงในเสี้ยววินาทีพร้อมด้วยเสียง ‘แคร่ก’ พร้อมกับโลหิตที่ไหลย้อยลงที่มุมปากของเด็กหนุ่ม

รอยยิ้มข่มขื่นปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเป่ยม่อ พื้นที่ธาราทมิฬของเขาสามารถที่จะป้องกันการโจมตีจากผู้ฝึกตนในนภาที่เจ็ดได้หลายครั้ง ทว่ามันกลับถูกทำลายลงในเสี้ยววินาทีจากดาบเดียวของชางหยูเยว่

โชคดีที่เขามีเสื้อสีเขียวทองที่เป็นสมบัติมรดกที่ไม่เพียงเพิ่มพลังป้องกันของเขา ทว่ารวมทั้งความเร็วด้วย ทำให้เขาสามารถพุ่งตรงไปยังชางหยูเยว่ได้

สิบหลา… แปดหลา… ห้าหลา…

ตั้งแต่เริ่มต้นงานพันธมิตรมา ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ชางหยูเยว่ได้เพียงนี้

และนี้มันยังเป็นครั้งแรกที่มีคนสามารถป้องกันหนึ่งในกระบวนท่าของชางหยูเยว่ได้โดยที่ไม่พ่ายแพ้

“พลังป้องกันของเด็กนี่แข็งแกร่งยิ่ง”

อ้าวเยว่เทียนยิ้มออกมาเล็กน้อย

เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของเป่ยม่อในยามที่อยู่ในงานสามสำนัก เด็กหนุ่มได้พัฒนาความเร็วขึ้นได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

จ้าวเฟิง อ้าวเยว่เทียน และสวี๋จีเสวี๋ยนล้วนพบว่ามันยากนักในการที่จะทำลายพื้นที่ธาราทมิฬของเด็กหนุ่มผู้นั้น

ทว่าโชคร้ายที่คู่ต่อสู้ของเขาคือชางหยูเยว่ที่สามารถผ่ามันได้ด้วยดาบเดียว

ธาราทมิฬ มังกรหวน!

คลื่นขนาดยักษ์ปรากฏออกจากร่างของเป่ยม่อและม้วนพันที่แขนของเขา สร้างน้ำวนที่ฟาดลงไปยังร่างของคู่ต่อสู้อย่างรุนแรง

พลังของการโจมตีนี้น่าตะลึงนัก

กระทั่งอ้าวเยว่เทียนยังต้องยอมรับว่าความแตกต่างระหว่างเขากับเป่ยม่อนั้นลดลงอย่างมหาศาล อีกฝ่ายนั้นอยู่ในระดับเดียวกับเขายามที่อยู่ในงานสามสำนักแล้ว

ผ่าเมฆา ผ่าคลื่นวารี!

ชางหยูเยว่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะวาดดาบที่สองของนางออก ที่พลันสร้างเสียงแตกสลายขึ้นในทันที

ทุกคนสามารถเห็นได้เพียงแสงสีขาวสว่างจ้าที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ค่ายกลป้องกันสั่นไหวและกระทั่งปรากฏรอยแตกขึ้นเล็กน้อย

“ไม่ดีแล้ว!”

ผู้ตัดสินใจขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอุทานออกมา เขาส่งพลังของเขาไปยังค่ายกลเพื่อทำให้มันมั่นคงอีกครั้ง

มันยากที่จะจินตนาการว่าดาบนั้นทรงพลังเพียงใดที่ทำให้มีความรุนแรงในระดับนั้น

ตุบ

เป่ยม่อได้อยู่ที่พื้นแล้ว บนหน้าผากปรากฏรอยบาดของดาบ วาดลงมาที่จมูกและหน้าอก

ชางหยูเยว่ยังคงสะอาดสะอ้าน ดวงตาใสกระจ่าง ด้วยดาบเดียวของนาง นางได้บดขยี้อัจฉริยะทุกคนในสิบสามแคว้นลงใต้ฝ่าเท้าของนาง

อัจฉริยะในรุ่นเดียวกับนางล้วนหลบลี้ ด้วยนางเป็นสตรีที่ทำให้เหล่าบุรุษต้องสยบลงแทบเท้านาง

“พลังของดาบนี้มัน…”

จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกอย่างช่วยไม่ได้

ดวงตาซ้ายของเขาเริ่มที่จะวิเคราะห์สถานการณ์ของเขาหากเขาต้องเผชิญหน้ากับดาบเดียวนั้น

ผลลัพธ์คือความพ่ายแพ้

แน่นอนว่าจ้าวเฟิงยังรู้ถึงจุดอ่อนของชางหยูเยว่ ในฐานะของของผู้ฝึกดาบและพลังโจมตีที่ถึงจุดสูงสุด พลังป้องกันของนางจึงไม่ดีนัก

ทว่ามันไม่ใช่เพียงจ้าวเฟิงที่รู้เรื่องนี้ ทุกคนเองก็เช่นกัน

ตัวของชางหยูเยว่เองก็รู้

ทว่าปัญหานั้นคือ ผู้ใดจะสามารถป้องกันดาบของนางได้กัน?

หนึ่งดาบทลายวิชานับหมื่น

ทุกวิชาจะถูกฟาดฟันจนเป็นชิ้นๆ โดยนาง

ชางหยูเยว่ได้ออมมือให้ในการโจมตีก่อนหน้า หรือมิเช่นนั้นบัดนี้เป่ยม่อคงแยกเป็นสองส่วนแล้ว

ลำดับของพื้นที่ที่หนึ่งได้ปรากฏออกมาแล้วเช่นกัน

อันดับหนึ่ง: ชางหยูเยว่

อันดับสอง: เป่ยม่อ

อันดับสาม: หลิ่วเชียนหลง

ชางหยูเยว่และหลิ่วเชียนหลงต่างก็มาจากสำนักดาบเมฆาและเป็นผู้ฝึกดาบเช่นกัน

มันยอดเยี่ยมเกินพอแล้วสำหรับการที่เป่ยม่อสามารถเอาชนะหลิ่วเชียนหลงได้ และมันเกี่ยวข้องกับพลังป้องกันของเขาอีกด้วย

ผู้ฝึกดาบจะพ่ายแพ้หากพวกเขาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่ง ทำให้พวกเขาไม่อาจต่อสู้ยืดเยื้อได้นานนัก

หลังจากนั้น

ลำดับของพื้นที่ที่สองจึงออกมา

อันดับแรก: หลินทง

อันดับสอง: จ้าวหยูเฟย

อันดับสาม: หยานชวน

หยานชวนนั้นก็เป็นม้ามืดอีกตัวหนึ่งที่ได้เอาชนะหยางกาน ทว่าเขากลับพ่ายแพ้ให้จ้าวหยูเฟยในที่สุด

ผลสุดท้ายของพื้นที่ที่สี่

อันดับแรก: อ้าวเยว่เทียน

ทั้งอันดับสองและอันดับสามล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่ติดสิบอันดับแรกในงานคราวที่แล้ว มาจากสำนักดาบเมฆาและวิหารโบราณตามลำดับ

บัดนี้

รอบคัดเลือกได้สิ้นสุดลง

และเหล่าศิษย์ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ล้วนได้รับอนุญาตให้พักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งคืนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันรอบสุดท้ายในวันรุ่งขึ้น

รอบสุดท้ายนั้นยังเป็นจุดที่ขีดเขียนลงไปบนหน้าประวัติศาสตร์ กระทั่งศิษย์ที่พ่ายแพ้ก็ยังไม่ต้องการที่จะพลาดงานนี้

จากนั้น

สรุปจำนวนของศิษย์ที่ได้เข้าสู่รอบสุดท้าย

  1. 1. สำนักดาบเมฆา
  2. 2. วิหารโบราณ
  3. 3. สำนักจันทร์สลาย
  4. 4. สำนักวิญญาณจันทร์

สี่สำนักนี้ได้มีศิษย์จำนวนมากที่ได้เข้าร่วมในรอบสุดท้าย

ตำหนักหยกเดี่ยวและสำนักเสวียนเจินเมิ่นต่างก็มีผู้เข้าร่วมเพียงสำนักล่ะหนึ่งคน

สำนักดาบเมฆานับว่าเหมาะสมในการครองอันดับหนึ่งในสิบสามสำนักโดยแท้ ศิษย์ของเขาได้เข้ารอบสุดท้ายจำนวนมากที่สุด

แต่เมื่อเทียบกับลำดับในงานพันธมิตรคราที่แล้ว สำนักดาบเมฆาและวิหารโบราณกลับมีผู้ติดรอบสุดท้ายน้อยลงนิดหน่อย

นั่นเป็นเพราะครั้งนี้มีม้ามืดมากเกินไป

จ้าวเฟิง จ้าวหยูเฟย เป่ยม่อ และหยานชวน ล้วนแต่เป็นบุคคลหน้าใหม่ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอันใดนัก

อีกทั้งความสามารถของสำนักจันทร์สลายยังน่าตื่นตะลึงนัก

สำนักนี้มักจะรั้งท้ายในสิบสามสำนัก ทว่าบัดนี้กลับมีคนสองคนที่ได้เข้าร่วมรอบสุดท้าย

และหนึ่งในนั้นกระทั่งแย่งชิงตำแหน่งของสวีจึเสวียนไปได้และกลายเป็นหนึ่งในดาราดวงใหม่

ใบหน้าของคนจากสำนักจันทร์สลายทุกคนล้วนแดงซ่าน

งานพันธมิตรนั้นไม่เพียงเป็นเกียรติยศของสำนัก ทว่ามันยังเป็นตัวตัดสินถึงปริมาณทรัพยากรและผลประโยชน์ที่สำนักจะได้รับด้วย

ในอดีต การที่สำนักจันทร์สลายจะมีหนึ่งคนที่สามารถผ่านเข้ามารอบสุดท้ายได้นับเป็นเรื่องที่แสนยากเย็นนัก ถึงกับต้องอาศัยโชคเสียด้วยซ้ำไป

อย่างน้อยที่ผ่านมานั้น พวกเขาก็ไม่มีแม้แต่ผู้เดียวที่สามารถเข้าสู่รอบสุดท้ายได้

ตำแหน่งส่วนใหญ่มักถูกคว้าไปโดยสำนักดาบเมฆาและวิหารโบราณ สำนักอื่นๆ นั้นกระทั่งยากยิ่งนักที่จะได้รับสักตำแหน่งหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสำนักเล็กๆ เช่นสำนักจันทร์สลายเลย

“เราได้ทำลายความปกติเป็นครั้งแรกในรอบสองร้อยปี มันอาจเรียกได้ว่าคนเหล่านั้นคือยอดฝีมือที่แท้จริงของเรา”

เหล่าผู้อาวุโสต่างหยุดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึง

เหล่าอัจฉริยะเข้าสู่รอบสุดท้ายมาจากหลายสำนัก ไม่มีสำนักใดที่เคยครอบครองตำแหน่งทั้งหมดมาก่อน

เช้าวันที่สอง

การแข่งขันรอบสุดท้ายได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

เหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมต่างสดชื่น อยู่ในสถานะพร้อมประลองอย่างเต็มที่

พื้นที่ทั้งสี่ได้รวมกันเป็นหนึ่งพื้นที่ขนาดใหญ่ เพื่อเป็นพื้นที่สุดท้ายในการแข่งขัน

ลานการประลองใหม่มีอาณาเขตใหญ่ขึ้น

อัจฉริยะทั้งสิบสองมาถึงลานการตัดสินการประลองและไปนั่งยังที่นั่งของตน

ในขณะที่เหล่าผู้ชมอยู่ห่างออกไปอีกหน่อย

งานพันธมิตรที่จัดขึ้นทุกๆ สิบปีได้เข้าสู่รอบสุดท้าย และมันจะถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ทำให้ดึงดูดผู้ชมจำนวนมากมาย

แคว้นใกล้เคียงและทั้งสิบสามสำนักล้วนมีผู้เข้ามาร่วมชม

แม้ว่าจำนวนของผู้ชมจะไม่มากมาย ทุกคนที่ปรากฏตัวก็ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือในเหล่าคนรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่า

“การประลองแรก ชางหยูเยว่ ปะทะ ฉีจิ่ว”

หนึ่งในสี่ผู้ตัดสินที่ประจำในแต่ล่ะมุมประกาศขึ้น

“ข้ายอมรับความพ่ายแพ้”

เด็กหนุ่มนามฉีจิ่วแย้มยิ้มขมขื่นก่อนจะเอ่ยยอมแพ้ เขาและชางหยูเยว่ต่างก็มาจากสำนักเดียวกัน

การประลองที่สอง

“หลินทง ปะทะ เป่ยม่อ”

หลินทงที่สวมใส่เสื้อผ้าสีดำและเป่ยม่อในชุดสีเขียวทองได้เดินออกมายังลานประลอง ยืนห่างกันหนึ่งร้อยหลา

เป่ยม่อไม่ใช่ผู้ที่จะยอมแพ้อย่างง่ายๆ ปีกสีเขียวคู่หนึ่งกางออกจากเสื้อสีเขียวทองพร้อมกับที่น้ำวนปรากฏขึ้นที่ลำแขนของเขา พุ่งตรงไปยังร่างของคู่ต่อสู้

“เนตรลบสวรรค์”

ดวงตาของหลินทงพลันดำมืด ดูราวกับกลายเป็นนรกอันมืดมิด ใจกลางปรากฏแสงสีแดงที่ดูราวกับจะดูดกลืนวิญญาณของคนเข้าไป

ในตอนนั้น หลินทงเป็นราวกับจ้าวนรก ดวงตาเย็นเยียบจับจ้องไปยังเป่ยม่อ

ตุบ

เป่ยม่อทรุดลงบนพื้น ร่างเปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อเย็นเยียบ ความกลัวถูกวาดลงบนใบหน้า “เป็นไปได้อย่างไร…?”

ถึงแม้คู่ต่อสู้จะเป็นชางหยูเยว่ เขาก็ยังคงสามารถป้องกันดาบหนึ่งของนางได้

ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับหลินทงที่ใช้เนตรลบสวรรค์ ก็ทำให้คู่ต่อสู้ต้องพ่ายแพ้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียวของเขา

ทุกครั้งที่หลินทงโจมตี ทุกคนจะรู้สึกตื่นเต้น

ทั้งสวีจึเสวียนและอ้าวเยว่เทียนปรากฏความกังวลอยู่ลึกในแววตา

กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นชางหยูเยว่ยังมีสีหน้าเปลี่ยนไป

ในงานพันธมิตรมีคนสองคนที่ไม่อาจเอาชนะได้ นั่นคือชางหยูเยว่และหลินทง คนหากไม่พ่ายในหนึ่งดาบก็พ่ายในหนึ่งการมอง

“จ้าวเฟิง ปะทะ หยานชวน”

ไม่ช้าก็เป็นตาของจ้าวเฟิง

มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับทุกคนที่จะตระหนักได้ว่าผู้ที่แข็งแกร่งจะได้ขึ้นประลองก่อนทั้งหมด

“ฮ่าฮ่าฮ่า… ขอข้าดูหน่อยสิว่าผู้ที่ได้รับการเรียกขานว่าดาราดวงใหม่นั้นจะแน่สักเพียงใด”

หยานชวนหัวเราะเสียงดังลั่นพร้อมกับที่แสงสีบรอนซ์ทองที่ลอยปรากฏขึ้นครอบคลุมร่างกาย หลังจากนั้น สัญลักษณ์เปลวเพลิงก็ปรากฏขึ้นในทันใด

หนึ่งในสี่ดารา เขารู้สึกหวาดกลัวและเคารพเพียงชางหยูเยว่และหลินทง แต่สำหรับสวีจึเสวียนและอ้าวเยว่เทียน เขาก็ยังรู้สึกกังวลมากเช่นกัน

ทว่าสำหรับจ้าวเฟิงที่เป็นดาราดวงใหม่ เขาจึงไม่รู้สึกหวาดกลัวอันใด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!