บทที่ 229 : ธนูและดาบ
คันศรสีเขียวเข้มปรากฏแสงสีแดงอ่อนโอบล้อม มีสัญลักษณ์บัวหิมะสีน้ำเงินอยู่ตรงกลาง
หลายคนนิ่งอึ้งเมื่อจ้าวเฟิงนำคันศรหลัวซุยออกมา
มันเป็นเรื่องที่หายากอย่างมากที่จะเห็นผู้ฝึกตนใช้ธนูในทวีปแห่งนี้
“ธนู?”
สวีจีเสวียนหัวเราะเสียงเย็นในใจ ดาบบินของเขาสามารถโจมตีระยะไกลและป้องกันได้พร้อมกัน ทั้งรูปแบบสามดาบเองก็ทรงพลัง
ก่อนหน้า อ้าวเยว่เทียนพ่ายแพ้โดยรูปแบบสามดาบนี้ และกระทั่งบัดนี้อีกฝ่ายก็ยังไม่อาจหาหนทางต่อต้านได้
ทว่าในยามนี้ จ้าวเฟิงได้นำธนูออกมา
อีกฝ่ายกำลังฝันอยู่หรืออย่างไรว่าธนูจะสามารถทำลายรูปแบบสามดาบของเขาได้
เช้ง!
ดาบสีทองที่อยู่ในรูปแบบสามดาบฟาดฟันผ่านอากาศตรงไปยังร่างของจ้าวเฟิง
ดาบนั้นยอดเยี่ยมทั้งในกระต่อสู้ระยะไกลและระยะประชิด มีความคล่องแคล่วอย่างมาก และนี่คือข้อได้เปรียบของดาบของสวีจีเสวียน
“ฮี่ฮี่ จากอาวุธทั้งหมด ธนูคืออาวุธที่มีระยะโจมตีไกลที่สุด”
จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงแผ่ว ผ้าคลุมเงาหยินโบกสะบัดพร้อมกับเสียงคำรามของอัสนี เด็กหนุ่มทิ้งระยะห่างออกจากคู่ต่อสู้ทันที
ในด้านของความเร็วการเคลื่อนไหว สวีจีเสวียนไม่อาจนับได้ว่าด้อยกว่าจ้าวเฟิง อย่างไรเสีย พลังฝึกตนของเขาก็อยู่ที่นภาที่เจ็ด ทำให้เขาไม่มีจุดอ่อนใดๆ ที่เด่นชัด
ทว่า…
หากสวีจีเสวียนต้องการที่จะควบคุมดาบบินและโจมตีไปพร้อมๆ กัน ความเร็วของเขาจะลดลงอย่างมาก
แม้ว่าดาบทั้งสามของเขาจะสร้างขึ้นจากวัสดุพิเศษที่ทำให้เขาสามารถควบคุมมันได้ดั่งใจ แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็ต้องเพ่งความสนใจอย่างมากไปที่พวกมัน
ระยะห่างระหว่างจ้าวเฟิงและสวีจีเสวียนกว้างขึ้นในไม่ช้า
พื้นที่ที่ใช้เป็นลานประลองนั้นใหญ่เพียงพอให้จ้าวเฟิงใช้ในการเคลื่อนไหว
สวีจีเสวียนไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเพียงจุดเดียวนี้จะพลิกการต่อสู้ทั้งหมดไป
“ดาบบินทั้งสามของสวีจีเสวียนนั้นล้วนใกล้เคียงกับอาวุธชั้นมนุษย์ระดับสูง และหลังจากถูกหลอมด้วยวิธีการพิเศษ พวกมันก็กลายเป็น เหมือนสิ่งเดียวกัน ทำให้เขาสามารถควบคุมได้โดยง่าย เมื่อมันจัดเรียงใน ‘รูปแบบสามดาบ’ พลังจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก”
จ้าวเฟิงตระหนักได้ว่าข้อได้เปรียบของสวี๋จีเสวี๋ยนนั้นมาจากดาบทั้งสามของอีกฝ่าย
พลังของรูปแบบสามดาบนั้นน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก และกระทั่งอ้าวเยว่เทียนก็พ่ายแพ้เมื่อเผชิญหน้ากับมันตรงๆ
จ้าวเฟิงไม่อาจป้องกันมันได้ แม้ว่าจะใช้ฝ่ามือวายุอัสนีของเขาก็ตาม เว้นเสียแต่ว่าวิชานี้จะเข้าสู่ระดับเจ็ด
ในสี่ดารา บางทีอาจมีเพียงชางหยูเยว่ ที่จะสามารถทำลายรูปแบบสามดาบของสวี๋จีเสวี๋ยนได้ตรงๆ
ผึง ฟุ่บ ฟุ่บ
จ้าวเฟิงรั้งสายคันศรหลัวซุย ส่งลูกธนูที่ส่งเสียงหวีดหวิวแสบแก้วหูแหวกอากาศ ตรงไปยังสวีจึเสวียน
ความเย็นเยียบน่าสะพรึงใจกลางเสียงของสายฟ้าได้ปะทะกับดาบบินของสวีจีเสวียน
หนึ่งดอก สองดอก สามดอก
ร่างของสวีจีเสวียนจะแข็งเกร็งทุกครั้งที่ปะทะกับลูกธนูเหล่านั้น การกัดกร่อนของสายฟ้าและน้ำแข็งทำให้เขาไร้ซึ่งคำพูด
หลังจากที่มรดกอัสนีหลอมรวมเข้ากับคันศรหลัวซุย พลังของมันก็เข้าสู่อีกระดับหนึ่ง
นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังคงมี ‘ศรดวงตาซ้ายแห่งเทพเจ้า’ ที่ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาลึกลับนัก
ศรที่จ้าวเฟิงยิงออกมักจะหักเลี้ยวกลางอากาศ และกระทั่งหลอกล่อสายตา มุ่งตรงไปยังจุดบอดและช่องว่างของคู่ต่อสู้
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
ที่น่าหวาดกลัวไปกว่านั้นคือหลังจากที่ศรเหล่านั้นถูกยิงออก พวกมันจะกลับไปยังคันศรหลัวซุยในเสี้ยววินาที ราวกับมารดาและบุตร
ประกายสายฟ้าและความเย็นยะเยือกถาโถมเข้าใส่สวี๋จีเสวี๋ยนครั้งแล้วครั้งเล่า
ผู้เป็นเป้าหมายเริ่มเสียใจที่ประเมินอีกฝ่ายต่ำไปในตอนแรก
ในยามนี้ สถานการณ์ทั้งหมดได้ถูกควบคุมไว้โดยจ้าวเฟิง
เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวไม่จำเป็นต้องปะทะกับสวีจีเสวียนโดยตรง และค่อยๆ บดขยี้อีกฝ่ายลงอย่างช้าๆ
ระยะการโจมตีของคันศรหลัวซุยย่อมไกลกว่าดาบบินของสวีจีเสวียนอย่างไม่ต้องสงสัย
มันเป็นเรื่องที่กล้ำกลืนพออยู่แล้วในการที่จะควบคุมดาบบินโดยอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ทั้งมันเป็นเพียงเพราะดาบบินนั้นสร้างขึ้นจากวัสดุพิเศษ ทำให้สวีจีเสวียนสามารถควบคุมพวกมันได้
ในด้านของระยะโจมตี
คันศรหลัวซุยของจ้าวเฟิงมีระยะหลายลี้ ทั้งศรยังสามารถมีความเร็วเทียบเท่าเสียงได้
ในทางกลับกัน ดาบบินของสวีจีเสวียนนั้นถูกจำกัดอยู่ที่ระยะประมาณยี่สิบหลา หากพวกมันออกจากระยะนี้ พลังของรูปแบบจะลดลง ระยะห้าสิบหลาคือขีดจำกัดของเขา
ดังนั้นแล้ว สวีจีเสวียนจึงทำได้เพียงป้องกัน
ทว่าความเย็นและสายฟ้าของคันศรหลัวซุยได้ทำให้ความเร็วของเขาลดลงกว่าครึ่ง
สวีจีเสวียนต้องใช้ปราณแท้ของเขาในการต่อต้านความเย็นและสายฟ้าที่กัดกร่อนร่างกายของเขาทุกๆ วินาที
ผึง ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
พลังโจมตีจากคันศรหลัวซุยรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ศรหลัวซุยทุกดอกสามารถป้องกันดาบบินได้และกลับไปยังคันศรเพื่อ ‘ฟื้นพลัง’ อย่างรวดเร็ว พลังและความเร็วของพวกมันนั้นถึงจุดสูงสุด
ดาบบินทั้งสามของสวีจีเสวียนได้ล้อมรอบร่างกาย ป้องกันวิชาธนูร้ายกาจของจ้าวเฟิงพร้อมด้วยเสียง ‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง’
ทว่าหากเป็นเช่นนี้ เขาจะเสียพลังงานไปอย่างมากมหาศาลเพราะเขาต้องควบคุมรูปแบบสามดาบ และป้องกันการกัดกร่อนของสายฟ้าและความเย็นไปพร้อมๆ กัน
ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกกัดกร่อนด้วยสายฟ้าและน้ำแข็ง ร่างกายของเขาจะได้รับบาดเจ็บ และอาจกระทั่งเกิด ‘อาการบาดเจ็บที่มองไม่เห็น’ ขึ้นได้
สวีจีเสวียนคร่ำครวญอย่างขมขื่นอยู่ในใจ แต่มันไม่มีทางใดที่เขาจะหลีกหนีไปจากสถานการณ์นี้ได้
รูปแบบสามดาบนั้นคือหนึ่งในกระบวนท่าของเขาที่ต้องใช้พลังทั้งหมด เมื่อเขายกเลิกรูปแบบสามดาบ เขาจะไม่สามารถป้องกันวิชาธนูของจ้าวเฟิงได้
เหล่าผู้ชมอ้าปากค้าง ดวงตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า
พวกเขาไม่เคยเห็นวิชาธนูที่ร้ายกาจและยากที่จะผละออกเช่นนี้มาก่อน
ใช้ระยะที่เป็นข้อได้เปรียบของคันศรหลัวซุย จ้าวเฟิงค่อยๆ ลดทอนพลังของคู่ต่อสู้ลง
ดาบบินทั้งสามของสวี๋จีเสวี๋ยนถูกบีบบังคับให้ป้องกัน และแม้ว่าเขาจะต้องการโจมตี เขาก็ไม่อาจทำได้ด้วยระยะห่างที่มากเกินไป
ศาลาผู้ชม ด้านสำนักเสวียนเจินเมิ่น
“เฮ้อ”
จ้าวสำนักเสีวยนเจินเมิ่นถอนหายใจ “จึเสวียนนับว่าประมาทจนเกินไป มันทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้”
“ธาตุที่ปะปนอยู่ในวิชาธนูของเด็กนั่นนับว่าเป็นปัญหานัก ทำให้คู่ต่อสู้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ และเมื่อระยะห่างถูกยืดออก ข้อได้เปรียบของดาบบินก็หมดลง”
จ้าวสำนักเสวียนเจินเมิ่นเองก็ถอดถอนใจอย่างขมขื่น
ในด้านของการต่อสู้ สวีจีเสวียนนับว่าเป็นที่สุดหากไม่นับชางหยูเยว่ ทว่าเขากลับถูกขัดขวางโดยวิธีการไร้ยางอายของจ้าวเฟิง
“ชัยชนะยังไม่แน่นอน จะอย่างไร พลังฝึกตนของจีเสวี๋ยนอยู่ที่นภาที่เจ็ด ทั้งเขายังมีปราณแท้บริสุทธิ์จำนวนมหาศาล หากเขาป้องกันดีๆ บางทีเด็กเหลือขอนั่นอาจจะเหนื่อยล้าไปก่อน”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยแนะ
พื้นที่ที่สาม
การต่อสู้ระหว่างจ้าวเฟิงและสวี๋จีเสวี๋ยนได้ถึงจุดที่เร่าร้อนที่สุด
สวี๋จีเสวี๋ยนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถูกบีบบังคับให้ป้องกัน ทว่าข้อได้เปรียบของดาบบินของเขาที่สามารถทำได้ทั้งโจมตีและป้องกันก็ได้ฉายออกมา
“ตราบเท่าที่ข้าทนได้นานกว่า ไอ้เด็กนั่นจะเหนื่อยก่อน”
สวี๋จีเสวี๋ยนคิดในใจ
ทว่า
ธาตุน้ำแข็งนั้นมาจากตัวคันศรหลัวซุยและสายฟ้าก็มาจากมรดกอัสนี ดังนั้นแล้วจ้าวเฟิงจึงไม่ได้ใช้พลังมากมายนัก เพราะส่วนมากอาศัยพลังจากตัวคันศรหลัวซุยอยู่แล้ว
ในทางกลับกัน สวีจีเสวียนต้องใช้พลังอย่างมากในการสร้างรูปแบบสามดาบ
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้ามีโอกาสที่จะชนะอย่างน้อยเจ็ดสิบในร้อยส่วน แต่…”
แววตาของจ้าวเฟิงพลันกลับกลายเป็นแหลมคม
เด็กหนุ่มลอบนำพลังแห่งสายเลือดของเขาใส่ไปในคันศรหลัวซุย
ผึง ฟุ่บ ฟุ่บ
ประกายแสงจากตัวลูกธนูนั้นเหนือกว่าความเร็วเสียง เข้าสู่ระดับใหม่
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
ประกายไฟปรากฏวาบขึ้นทุกที่ที่ทั้งสองปะทะกัน สายฟ้าและน้ำแข็งกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง ทำให้สีหน้าของสวีจีเสวียนแปรเปลี่ยนและล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าก่อนที่เขาจะได้ทันพักหายใจ ศรหลัวซุยดอกที่สามก็ได้ทำลายม่านป้องกันเสียงและส่งคลื่นพลังจิตออกมา
ตูมม!
สวีจีเสวียนเพียงได้ยินเสียงระเบิดครั้งหนึ่ง ก่อนที่กระแสไฟฟ้ารุนแรงจะพุ่งเข้าสู่สมองของเขา
“ไม่ดีแล้ว การโจมตีนั้นมี ‘พลังจิต’ อยู่”
หัวใจของสวีจีเสวียนสั่นสะท้าน ใบหน้าซีดขาว สีหน้าเหม่อลอย
“ช้าไป”
ลูกธนูหลัวซุยทั้งสามพุ่งผ่านช่องว่างของรูปแบบสามดาบ สร้างประกายไฟขึ้นขณะที่มันปะทะเข้ากับตาข่ายดาบ จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปที่ไหล่ของสวีจีเสวียน
ตูม
ร่างของสวีจีเสวียนกระเด็นออกไปหลายหลา โลหิตไหลย้อมอาบลูกธนูนั้น
ในเวลาเดียวกัน ความเย็นและสายฟ้าที่แข็งแกร่งได้แล่นพล่านไปทั่วร่างของเขา ทำให้ร่างกายแข็งค้าง
“เจ้าแพ้แล้ว”
จ้าวเฟิงกำคันศรหลัวซุย ลูกธนูทั้งสามดอกย้อนกลับไป พร้อมกับที่เด็กหนุ่มค่อยๆ พลิ้วกายลงบนพื้น
ในยามนี้ สวีจีเสวียนได้รับผลจากสายฟ้าและความเย็นอย่างหนัก หากจ้าวเฟิงโจมตีต่อ อีกฝ่ายย่อมไม่อาจต่อต้านได้
“จ้าวเฟิงชนะ!”
ผู้ตัดสินในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงในพื้นที่ที่สามมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยสายตาแปลกประหลาด
เฮือก!
ฝูงชนทั้งหมดสั่นสะท้าน ดวงตาของพวกเขาล้วนจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวด้วยความตื่นตะลึง ตกใจ และสงสัย
ในศาลาผู้ชมแคว้นมังกรโลหะ
“คราแรกเขาเปลี่ยนวิธีการ จากนั้นจึงกุมความได้เปรียบ ก่อนที่จะชนะโดยใช้ช่องว่างของคู่ต่อสู้… เด็กนี่ไม่ธรรมดา”
หนึ่งในนั้นอุทานออกมา
คนอื่นๆ ล้วนผงกศีรษะเล็กๆ พร้อมกับความรู้สึกประหลาดใจในวิธีการที่เด็กหนุ่มใช้ในการคว้าชัยชนะ
“จุดตัดสินที่แท้จริงคือพลังสายเลือดนั่น และมันไม่ใช่พลังแห่งสายเลือดทั่วๆ ไป”
น้ำเสียงเย็นเยียบใสกระจ่างดังขึ้นจากบุคคลลึกลับพร้อมผ้าคลุมที่ปกปิดใบหน้า
ทุกคนจากแคว้นมังกรโลหะล้วนประหลาดใจ ทว่าไร้ซึ่งความสงสัยใดๆ ต่อคำพูดนั้น
ด้านสำนักจันทร์สลาย
“ชนะแล้ว! เฟิงเอ๋อร์ชนะแล้ว!”
ผู้อาวุโสหนึ่งไม่อาจเก็บกักความยินดีในใจเอาไว้ได้
จ้าวสำนักจันทรสลายเองก็หัวเราะออกมา มีเพียงผู้อาวุโสหยุนไห่ที่มีรอยยิ้มที่ไม่เป็นธรรมชาติประการหนึ่งอยู่บนใบหน้า
พื้นที่ที่สาม
จ้าวเฟิงเก็บคันศรหลัวซุยกลับไปก่อนจะเดินออกจากลานประลองอย่างช้าๆ
ในยามนี้ ทุกการกระทำของเขาล้วนได้รับความสนใจจากผู้คน
ดาราดวงใหม่แห่งสิบสามแคว้นได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะกวาดสายตาไปทางใด เหล่าศิษย์ในพื้นที่ที่สามจะก้มศีรษะของพวกเขาลงอย่างไม่สบายใจ
โดยเฉพาะกู่หลานเยว่ที่ใบหน้าเขียวคล้ำสลับกับแดงก่ำ ราวกับว่าหวาดกลัวที่จะมองไปยังจ้าวเฟิง
หลังจากจ้าวเฟิงเอาชนะสวีจีเสวียน เหล่ายอดฝีมือต่างก็มีสีหน้าตื่นตกใจ
“นี่… มันเป็นไปได้อย่างไร…”
อ้าวเยว่เทียนมีสีหน้าแปลกประหลาด น้ำเสียงไม่เป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเขาไม่อาจยอมรับความจริงได้
เขาคิดย้อนกลับไปยามที่เขาดูแคลนจนเกินกว่าจะเหลือบมองไปยังเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวยามที่อยู่ที่งานสามสำนัก
อย่างที่รู้กันว่าจ้าวเฟิงได้เอาชนะสวีจีเสวียน ที่กระทั่งครองอันดับสูงกว่าตัวเขาลง
การเอาชนะสวี๋จีเสวี๋ยน นั่นหมายความว่าจ้าวเฟิงได้กลายเป็นดาราดวงใหม่ และมีระดับอย่างน้อยเทียบเท่ากับอ้าวเยว่เทียน
“แต่เมื่อคิดว่าเป็นเขาแล้ว ทั้งหมดนี่ก็ไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจเลย”
จ้าวหยูเฟยแย้มยิ้มและเอ่ยอย่างอ่อนหวาน ราวกับว่านางไม่ได้ประหลาดใจกับผลลัพธ์นี้แม้แต่น้อย
เสียงพูดคุยโต้เถียงยังคงดังขึ้นในฝูงชน ไม่มีผู้ใดคิดว่าอาชาที่มืดทมิฬที่สุดตัวนี้จะสร้างปาฏิหาริย์มากมายเพียงนี้ กระทั่งก้าวเข้ามาเทียบเท่ากับสี่ดาราได้
ทว่ายังมีคนอีกสองคนที่ยังคงเยือกเย็น: ชางหยูเยว่และหลินทง
แม้ว่าสวี๋จีเสวี๋ยนอาจจะแข็งแกร่ง เขาก็ไม่อาจต่อกรกับดาบเดียวของชางหยูเยว่หรือการเหลือบมองครั้งหนึ่งของหลินทงได้
“จ้าวเฟิง ข้าพ่ายแพ้ในครานี้เพราะความประมาทของข้า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมและเราสู้กันอีก ข้าจะไม่ออมมือใดๆ ทั้งสิ้น”
สวีจีเสวียนมองข้ามความเจ็บปวดจากบาดแผลก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่เต็มใจ
ทว่าจ้าวเฟิงไม่แม้แต่จะมองไปยังเขา
จากนั้นเด็กหนุ่มจึงได้รับการเรียกขานให้เป็นอันดับหนึ่งในพื้นที่สามโดยไร้ซึ่งการพ่ายแพ้แม้แต่ครั้ง