บทที่ 228 : รูปแบบสามดาบ
“จ้าวเฟิง ปะทะ สวี๋จีเสวี๋ยน”
เหล่าผู้ชมพลันหันไปทางพื้นที่ที่สามในทันที
หนึ่งในอัจฉริยะที่เป็นที่จับตามองมากที่สุด สวี๋จีเสวี๋ยน เดินขึ้นไปยังลานประลองสีดำอย่างสูงส่ง
เมื่อใดก็ตามที่หนึ่งในสี่ดาราขึ้นไปบนลานประลอง พวกเขามักจะได้รับความสนใจอยู่เสมอ
กระทั่งมีเสียงกรีดร้องตะโกนของดรุณีดังขึ้น
ในสี่ดารา
ชางหยูเยว่เป็นสตรีเพียงคนเดียว ดูโดดเดี่ยวเกินไป
หลินทงเย็นชาและลึกลับเกินไป ไม่สุงสิงกับผู้ใด
อ้าวเยว่เทียนนั้นทั้งเย่อหยิ่งและไร้ซึ่งความอ่อนน้อมใดๆ
มีเพียงสวี๋จีเสวี๋ยนที่สุขุมเยือกเย็นและง่ายที่จะเข้าถึง
เขามีความสัมพันธ์อันดีต่อทุกคน ทั้งยังเป็นบุรุษในฝันของสตรีทุกคน
แน่นอนว่า
สาเหตุที่ความสนใจจำนวนมากมุ่งมายังการประลองนี้ไม่ใช่เพียงเพราะสวี๋จีเสวี๋ยน แต่เป็นเพราะคู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน
จ้าวเฟิง
ม้ามืดที่แปลกประหลาด ทรงพลัง และโหดเหี้ยม
อาจกล่าวได้ว่าในงานครั้งนี้เขาคือม้าที่ดำทมิฬที่สุดในบรรดาคนทั้งหมด
เขาแทบจะทำให้กู่หลานเยว่เสียโฉมก่อนหน้า และนี่ได้สร้างความโกรธแค้นให้แก่บุรุษหลายคน
แน่นอนว่าด้วยความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่ม คนส่วนมากจึงกลัวและหวาดระแวงเขา
การประลองระหว่างเขากับกู่หลานเยว่และฐานหลินได้พิสูจน์ถึงความอำมหิตและทรงพลังของจ้าวเฟิง
ถ้าเพียงเท่านั้น คงไม่ใช่ทุกคนที่จะแน่ใจในความสามารถของเขา
ทว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวได้ปะทะกับหลินทงเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้า เพิ่มเติมความลึกลับของเขาขึ้นไปอีก
เขาคือเด็กหนุ่มลึกลับที่กระทั่งหลินทงยังรู้สึกเคลือบแคลงสงสัย
ภายใต้เสียงสนับสนุนของผู้คน เด็กหนุ่มผมเขียวครามตาเดียวได้เดินขึ้นไปบนลานประลอง
หนึ่งในสี่ดารา ปะทะ ม้ามืดอันดับหนึ่ง นี่คือการประลองที่ควรค่าแก่การเฝ้าดู
ในเวลาเดียวกัน
การต่อสู้ ครั้งนี้ก็จะเป็นการพิสูจน์ถึงความสามารถที่แท้จริงของจ้าวเฟิง
ในเวลานี้
เหล่าผู้ที่คุ้นเคยกับเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวต่างก็จับจ้องไปยังลานประลองอย่างตั้งใจ
หยางกาน เป่ยม่อ หลินฝาน หลานเสี่ยวหลาน หลิวเยว่เอ๋อร์… เหล่าศิษย์ตัวแทนจากสำนักจันทร์สลายต่างก็มองไปยังพื้นที่ที่สาม
“เฟิงเอ๋อร์ เป้าหมายและความสำเร็จของเจ้า รวมทั้งความหวังของสำนักจันทร์สลายขึ้นอยู่กับการประลองนี้แล้ว”
ผู้อาวุโสหนึ่งสูดลมหายใจลึก แทบจะกลั้นหายใจ
เด็กหนุ่มคนนั้นคือศิษย์ที่มีพรสวรรค์ที่สุดในช่วงชีวิตของเขา และเขากำลังเฝ้ามองการขีดเขียนหน้าประวัติศาสตร์นั้น
ความสำเร็จและล้มเหลวขึ้นอยู่กับการประลองครั้งนี้
“จ้าวเฟิง เจ้าโหดเหี้ยมและกระทำตามอำเภอใจ หากเจ้าไม่ได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้ใดๆ ผู้ใดจะรู้ว่าผู้บริสุทธิ์มากมายเพียงใดที่จะได้รับอันตรายจากเจ้าอีก”
ความเถรตรงได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเยือกเย็นของสวี๋จีเสวี๋ยน
วินาทีที่เขาเอ่ยขึ้น เสียงสนับสนุนก็ดังขึ้นจากพื้นที่สาม
“ถูกแล้ว เจ้าคนอำมหิตตาเดียว เจ้าต้องสั่งสอนมัน!”
“หากเขาสามารถโหดร้ายกับสาวงามเช่นกู่หลานเยว่ได้เพียงนี้ เขาย่อมทำร้ายผู้อื่นได้มากกว่านี้ เขาต้องได้รับการสั่งสอนในครั้งนี้”
กลุ่มเด็กหนุ่มส่งเสียงสนับสนุน ไม่ชอบจ้าวเฟิงเท่าใดนัก
หากพวกเขาต้องเผชิญด้วยตนเองก็คงไม่กล้าขนาดนี้
ทว่าหนึ่งในสี่ดาราได้ออกไป ในยามนี้ พวกเขาสามารถพูดได้ดังที่ต้องการ
ในยามนี้ จ้าวเฟิงได้กลายเป็น ‘ปีศาจ’ ในขณะที่สวี๋จีเสวี๋ยนได้กลายเป็น ‘วีรบุรุษ’ ที่เถรตรง
เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟิงถูกสาปแช่งโดยคนจำนวนมาก สีหน้าของศิษย์สำนักจันทร์สลายก็มีความหน้าลำบากใจอยู่บ้าง
จ้าวเฟิงไร้ซึ่งคำพูด มิใช่ว่าเขาเพียงทำร้ายสาวงามผู้หนึ่งไปเท่านั้นหรือ
สวี๋จีเสวี๋ยนผู้นี้นับว่าเป็นปัญหาโดยแท้ เพียงแค่คำไม่กี่คำก็สามารถนำตนเองให้เข้าไปสู่เส้นทางแห่งความยุติธรรมได้
ดังนั้นแล้ว หากสวี๋จีเสวี๋ยนสั่งสอนจ้าวเฟิงอย่างหนักหน่วงจริงๆ ก็จะไม่มีผู้ใดรู้สึกผิด ในทางกลับกัน การกระทำของเขาจะได้รับความชื่นชม
“จ้าวเฟิง หากเจ้ายอมขอโทษกู่หลานเยว่และเริ่มต้นใหม่ การต่อสู้นี้ก็จะเป็นเพียงการต่อสู้กระชับมิตร และข้าก็จะยอมเป็นสหายกับเจ้า”
สวี๋จีเสวี๋ยนแย้มยิ้มบางและเอ่ยอย่างจริงใจ
ดวงตาของจ้าวเฟิงแทบจะหลุดออกจากเบ้า สวี๋จีเสวี๋ยนผู้นี้น่าขันนัก อันใดกัน เขาคิดว่าตนเองคือวีรบุรุษกลับชาติมาเกิดหรืออย่างไร
ฝูงชนพลันตกลงสู่ความเงียบงันในเสี้ยววินาที
เด็กหนุ่มที่ลึกลับและทรงพลังผู้นี้จะถูกโน้มน้าวโดยสวี๋จีเสวี๋ยนหรือไม่? ความแค้นเคืองระหว่างพวกเขาจะจบสิ้นลงและจ้าวเฟิงจะกลับสู่เส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่
ไม่เพียงสวี๋จีเสวี๋ยนที่รอคอยคำตอบ ทุกคนก็เช่นกัน
ตามหลักแล้ว เด็กหนุ่มที่โหดเหี้ยมเย็นชาเช่นจ้าวเฟิงย่อมไม่ตกลงและโจมตีในทันที
กระทั่งสวี๋จีเสวี๋ยนนั้นเตรียมความพร้อมเอาไว้แล้ว
“ข้าจะยอมได้รับการสั่งสอนจากพวกเจ้า… หากเจ้ามีความสามารถพอที่จะทำให้ข้า ‘หวนกลับสู่เส้นทางที่ถูกต้อง’ ได้จริงๆ ”
รอยยิ้มขำขันปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว
จะยอมได้รับการสั่งสอน?
ครึ่งประโยคแรกได้ทำให้ฝูงชนต้องนิ่งงัน
ทว่าครึ่งหลังกลับจุดประกายความโกรธเกรี้ยวในหัวใจของทุกคนขึ้นในทันที
เจ้าหนุ่มนี้กำลังฉีกหน้าพวกเขา
ต่อหน้าทุกคน จ้าวเฟิงทำราวกับว่ากำลัง ‘หยอกล้อ’ กับสวี๋จีเสวี๋ยน
เสี้ยววินาทีนั้น
สีหน้าของสวี๋จีเสวี๋ยนกลับนิ่งลง “นับว่าเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งใดดีต่อตนแล้ว”
เช้ง!
ดาบสีทองส่องประกายบินออกจากแผ่นหลังของสวี๋จีเสวี๋ยนและพุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิง
ความเร็วและพลังรุนแรงของดาบบินนั้นได้ถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อ ราวกับมันกำลังแสดงถึงความโกรธเกรี้ยวในใจของสวี๋จีเสวี๋ยน
จ้าวเฟิงไม่กล้าที่จะเหม่อลอย เพียงดาบเดียวของคู่ต่อสู้ก็ได้ทำให้ผู้ฝึกตนทั่วไปในนภาที่เจ็ดไม่อาจป้องกันมันได้
นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังอยู่เพียงในนภาที่ห้า
ฉัวะ!
ดาบสีทองฟาดฟันร่างของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวจนเป็นชิ้น ทิ้งรอยบาดลึกไว้บนพื้น เสียงผู้คนดังขึ้นด้วยความตกใจ
ในเวลาเดียวกัน
ฟุ่บ!
ใจกลางเสียงครืนครางของสายฟ้า ร่างร่างหนึ่งได้ปรากฏขึ้นที่อีกฝั่ง
“เป็นวิชาเคลื่อนไหวอันใดกันที่กระทั่งสามารถหลบหลีกการโจมตีของสวี๋จีเสวี๋ยนได้”
เหล่าผู้คนพูดคุยกัน เพียงแค่กระบวนท่าแรกก็ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับหลายๆ คนแล้ว
ตั้งแต่เริ่มต้นงานพันธมิตรจนบัดนี้ ไม่มีคู่ต่อสู้คนใดที่สามารถหลบหลีกดาบบินของสวี๋จีเสวี๋ยนได้อย่างง่ายดาย
เพราะความเร็วนั้นน่าสะพรึงนัก กระทั่งผู้ที่อยู่ในนภาที่เจ็ดก็ยังหลบมันได้อย่างยากลำบาก
ทว่าจ้าวเฟิงกลับหลบได้อย่างง่ายดาย
สีหน้าของสวี๋จีเสวี๋ยนไม่ได้เปลี่ยนแปลง กลับกัน รอยยิ้มซุกซนได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ฟุ่บบบบ
ดาบสีทองนั้นราวกับมีตา หลังจากพลาดไปในคราแรก มันก็ยังคงไล่ล่าตามร่างของจ้าวเฟิงไป
ผ้าคลุมเงาหยินโบกสะบัดอยู่บนหลังของเด็กหนุ่ม ประกายสายฟ้าได้ปรากฏวูบพร้อมกับที่การเคลื่อนไหวของเขากระทั่งรวดเร็วขึ้น
ความเร็วในครานี้นั้น กระทั่งสามารถสลัดหลุดออกมาจากดาบบินได้
เป้าหมาย: สวี๋จีเสวี๋ยน
จ้าวเฟิงได้มาถึงเบื้องหน้าของสวี๋จีเสวี๋ยนพร้อมด้วยประกายแสงและเสียงของสายฟ้า
จากการวิเคราะห์ของเด็กหนุ่ม จุดแข็งของสวี๋จีเสวี๋ยนเขาคือการควบคุมดาบบินและจุดอ่อนของเขาคือการต่อสู้ระยะประชิดอย่างแน่นอน
สีหน้าของสวี๋จีเสวี๋ยนแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกในงานพันธมิตรที่มีคนสามารถมาถึงเบื้องหน้าเขาได้
วิชา ‘ย่างก้าวอัสนีมายา’ ของจ้าวเฟิง ใช้ภาพมัจฉามายาเป็นพื้นฐานแล้วหลอมรวมมรดกอัสนีเข้าไป กอปรกับวิชาตัวเบาต่างๆและการยืมพลังของผ้าคลุม ทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
เปรี้ยง!
ท่ามกลางการควบรวมกันของสายฟ้า ประกายอัสนีได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสวี๋จีเสวี๋ยน
อีกฝ่ายไม่ได้ลนลาน ดาบสีเขียวบินออกจากแผ่นหลัง เปลี่ยนรูปแบบเป็นเหมือนพัดที่กางออกเพื่อปะทะกับการโจมตีของจ้าวเฟิงอย่างรุนแรง
ฝ่ามือของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวถูกป้องกันด้วยดาบบินพร้อมด้วยเสียง ‘เปรี้ยง’ ร่างถูกผลักให้ล่าถอย
ดาบทั้งสามเล่มที่แผ่นหลังของสวี๋จีเสวี๋ยนสามารถใช้ได้ทั้งในการโจมตีและป้องกัน
ทว่าโชคดีที่สายฟ้าของจ้าวเฟิงได้ทำให้ร่างของคู่ต่อสู้ชาเล็กน้อย
ทว่าดาบสีทองยังคงไล่ตามจ้าวเฟิง
ดาบสีทองและเขียวได้พุ่งการโจมตีตรงไปยังร่างของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว
หากเป็นผู้อื่นนอกจากสี่ดารา พวกเขาย่อมเข้าตาจนและตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
ฟิ้ว
จ้าวเฟิงเคลื่อนไหวราวสายฟ้า แทนที่จะล่าถอยกลับมุ่งขึ้นหน้า ในฝ่ามือปรากฏสายฟ้าที่ควบรวมกันอยู่
ในยามนี้ ฝ่ามือวายุอัสนีของเขาได้ถูกใช้ออกที่ระดับหก ที่ทรงพลังกว่าระดับหกเดิมกว่าสองเท่า
เมื่อเผชิญหน้ากับอัจฉริยะที่ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของสิบสามแคว้น จ้าวเฟิงไม่ได้ปกปิดพลังของเขาอีกต่อไป ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงใช้ ‘มรดกอัสนี’ เพื่อเพิ่มพลังโจมตี สนับสนุนการเคลื่อนไหว และปราณแท้ของเขา
ตึง เปรี้ยง!
จ้าวเฟิงใช้ฝ่ามือวายุอัสนีกับสวี๋จีเสวี๋ยนอย่างต่อเนื่อง ร่างของเขาล้อมรอบไปด้วยสายฟ้า
สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปในที่สุดเมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกชาหนึบจากสายฟ้าที่แล่นพล่านไปทั่วร่าง
หลังจากถูกโจมตีอย่างรุนแรงโดยจ้าวเฟิง เขาก็เรียกดาบสีน้ำเงินออกจากแผ่นหลังของเขาดัง ‘เช้ง’ สร้างการโจมตีเป็นระลอก
ดาบสีเขียวและน้ำเงินได้ใช้ในการป้องกัน ดังนั้นแล้วดาบเพียงเล่มเดียวที่สามารถสร้างปัญหาให้กับจ้าวเฟิงได้จึงเป็นดาบสีทอง
ดาบสองเล่มป้องกันสวี๋จีเสวี๋ยน และสร้างเขตป้องกันที่ไม่อาจทะลวงผ่าน
โดยเฉพาะดาบสีน้ำเงินที่มีธาตุน้ำที่เหมาะสมในการป้องกันอย่างมาก
สวี๋จีเสวี๋ยนสูดลมหายใจลึกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ในที่สุดสถานการณ์อันตรายก็เบาบางลงบ้างแล้ว
เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเขาจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้
เหล่าผู้ชมล้วนนิ่งอึ้งและไม่อยากเชื่อสายตาตน
ความเร็วและพลังโจมตีรุนแรงที่จ้าวเฟิงได้แสดงได้เข้าสู่ระดับที่น่าเหลือเชื่อ โดยที่วิชาทั้งหมดล้วนมีพลังแห่งอัสนี
“เมื่อใดกันที่จ้าวเฟิงมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งเพียงนี้?”
“เป็นสายฟ้าที่บริสุทธิ์อันใดเช่นนี้!”
เหล่าระดับสูงของสำนักจันทร์สลายตะลึงงัน
สีหน้าของผู้อาวุโสหยุนไห่มืดหม่นลง
พลังต่อสู้ที่จ้าวเฟิงได้แสดงออกมาในยามนี้ ไม่สามารถอธิบายได้จากประสบการณ์หรือความรู้ที่มีได้
อัสนีที่ล้ำลึกและบริสุทธิ์เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ฝ่ามือวายุอัสนีจะสามารถมีได้
พลังโจมตีที่รุนแรง ความเร็วที่น่าหวาดกลัว
มันเป็นเพราะแบบนั้นจึงทำให้จ้าวเฟิงสามารถทำให้หนึ่งในสี่ดารา สวี๋จีเสวี๋ยนตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม
“จ้าวเฟิงนั่น… เป็นไปได้อย่างไร”
อ้าวเยว่เทียน เป่ยม่อ ฉวนเฉิน และคนอื่นๆ ล้วนนิ่งอึ้ง
สีหน้าของกู่หลานเยว่ขาวซีด หัวใจสั่นสะท้านขณะที่มองไปยังร่างที่ถูกครอบคลุมด้วยสายฟ้า
รูปแบบสามดาบ
ดวงตาของสวี๋จีเสวี๋ยนส่องประกายวาบ ดาบบินทั้งสามสร้างเส้นตรงเบื้องหน้าเขา พวกมันฟาดฟันการโจมตีของจ้าวเฟิงจนขาดวิ่น
ไม่ว่าพลังโจมตีของจ้าวเฟิงจะรุนแรงเพียงใด พวกมันก็ล้วนถูกทำลายลงเมื่อเข้าใกล้ดาบทั้งสาม
ในฐานะของหนึ่งในสี่ดารา พลังของสวี๋จีเสวี๋ยนย่อมไม่ธรรมดา
จ้าวเฟิงมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาใช้พลังทั้งหมดของเขา ไม่นับรวมพลังสายเลือด ทว่ายังไม่อาจกระทั่งแตะต้องคู่ต่อสู้ได้
นอกจากนั้น หลังจากที่รูปแบบสามดาบของสวี๋จีเสวี๋ยนปรากฏขึ้น มันก็เริ่มโจมตีสวนกลับ
เมื่อมันกลับกลายเป็นการโจมตีอย่างเต็มที่ พลังของรูปแบบสามดาบจะสามารถหั่นผู้ฝึกตนในนภาที่เจ็ดให้กลายเป็นชิ้นๆ ได้ และกระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นจ้าวเฟิงก็ไม่อาจเผชิญหน้าได้โดยตรง
ฟุ่บ!
จ้าวเฟิงกลับกลายเป็นประกายสายฟ้าพร้อมกับที่ผ้าคลุมเงาหยินโบกสะบัด เด็กหนุ่มกระโดดขึ้นไปยังกลางอากาศ
ในเวลาเดียวกัน คันศรและลูกธนูสามดอกได้ปรากฏขึ้นในมือของเขา