Skip to content

King of Gods 499

King Of Gods

บทที่ 499 สายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป

ด้านนอกหอคอยลิ่วอู ท่ามกลางม่านของหมู่เมฆ

โม่เทียนอี้ยืนเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิง ส่งเสียงผ่านจิต เอ่ยถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของจ้าวหยูเฟ่ย

“ตอนนี้หยูเฟ่ยยังสบายดี ทว่าวาสนาของนางยิ่งใหญ่นัก จำต้องใช้เวลาในมรดกนาน บางทีในเวลา 1-2 ปีคงไม่อาจออกมาได้”

จ้าวเฟิงไม่ขยับปาก ทว่าเสียงกลับดังก้องขึ้นในสมองของโม่เทียนอี้

เกี่ยวกับความปลอดภัยของจ้าวหยูเฟ่ย จ้าวเฟิงเอ่ยเพียงภาพรวม สำหรับรายละเอียดไปกว่านั้นคงไม่ดีที่จะเปิดเผย จะอย่างไร มรดกมิติซากปรักหักพังสือเฉิงก็มีผลประโยชน์ให้แก่ผู้สืบทอดมากเกินไป

‘เค้กก้อนใหญ่’ นี้ กระทั่งสำนักระดับสองดาวยังไม่อาจที่จะปล่อยมือไปได้ วางแผนที่จะแย่งชิงกลับคืนมา ไม่ต้องเอ่ยถึงสำนักในทวีปบุปผาครามเลย

“ความเสี่ยงของหยูเฟ่ยคือนางเป็นเพียงผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงธรรมดาทั่วไป แต่ต้องการที่จะครอบครองเค้กชิ้นใหญ่นี่ไว้แต่เพียงผู้เดียว บางทีอาจไม่ง่ายดายนัก”

ในใจของจ้าวเฟิงปรากฏความกระวนกระวายขึ้นเล็กๆ ทว่าบัดนี้จ้าวหยูเฟ่ยน่าจะยังปลอดภัย ตราคำสั่งสือเฉิงเองก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

“เช่นนั้นน้องจ้าว มรดกนิรนามที่เจ้าเข้าไปคือมรดกอันใด มีความเป็นมาอันใดกัน?” โม่เทียนอี้ไม่อาจจะปกปิดความสงสัยในใจไว้ได้

หลังจากงานชุมนุมเซียนมังกร พวกจ้าวเฟิงทั้งสองได้เข้าไปใน ‘มรดกนิรนาม’ สำหรับกองกำลังยอดฝีมือในทวีปนี้ มันนับเป็นปริศนาที่อันตราย

ยามที่ ‘มรดกนิรนาม’ นั่นมาถึง มันมีท่าทีเหนือกว่าสี่มหามรดกอยู่เล็กน้อย แน่นอนว่ามรดกความลับสวรรค์ที่มายังทวีปเป็นเพียงแค่สาขาเล็กๆ ในบรรดามรดกสาขาจำนวนนับไม่ถ้วนของมัน

“โม่เทียนอี้ เกี่ยวกับมรดกนี้ข้าคงเอ่ยไม่ได้มากนัก ข้ากับเจ้าไม่ได้เป็นมิตรต่อกันมากนัก หากมันมีข้อผิดพลาดอันใด สิ่งที่ตามมา แม้ว่าจะเป็นสำนักเทียนหยวนของเจ้าก็คงไม่อาจที่จะรับผิดชอบไหว”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเฉยชา

เมื่อโม่เทียนอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ตระหนักขึ้นในใจ ไม่เอ่ยถามมากความอีก

เขาตระหนักได้เล็กๆ ว่า ‘มรดกนิรนาม’ ที่พวกจ้าวเฟิงทั้งสองเข้าไปนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก กระทั่งอาจสร้างหายนะให้แก่สำนักในระดับสิบยอดสำนักอย่างสำนักเทียนหยวนได้

โม่เทียนอี้คือหัวหน้าศิษย์ของสำนักเทียนหยวน ความเข้าใจในยุทธภพมีมากกว่าศิษย์ทั่วไปมากนัก เขารู้ว่าในโลกใบนี้ สำนักที่ถูกแบ่งออกเป็นห้าดาวไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเล่าขาน

เมื่อเอ่ยเช่นนั้นแล้ว จ้าวเฟิงจึงเอ่ยลาและเตรียมจะแยกจากไป

“เดี๋ยว น้องจ้าว มีเรื่องสำคัญที่เจ้าอาจจะยังไม่ได้ข่าว”

โม่เทียนอี้พลันเอ่ยหยุดจ้าวเฟิงขึ้น

“เรื่องอันใด?”

จ้าวเฟิงชะงัก

“หลังจากงานชุมนุมเซียนมังกรสิ้นสุดลงก็ได้มีการพบปะของเหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรที่สามารถรอดออกมาจากมรดกต่างแดนได้ หลังจากการปิดด่านฝึกตนจะรวมตัวกันเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน เกิดเป็น ‘งานน้ำชาเซียนมังกร’ ”

โม่เทียนอี้เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม นัยน์ตาปรากฏจิตต่อสู้และความคาดหวัง

งานน้ำชาเซียนมังกร?

จ้าวเฟิงไม่รู้ว่าหลังจากงานชุมนุมเซียนมังกรจะมีการรวมตัวกันครั้งยิ่งใหญ่เช่นนี้

ทว่าเมื่อคิดดูแล้ว อัจฉริยะเซียนมังกรเหล่านั้นต่างก็ได้รับผลประโยชน์จากมรดกต่างแดนมามาก ล้วนมีวาสนา หลังจากกลับมาและปิดด่านฝึกตน พลังย่อมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ไม่เพียงแค่อัจฉริยะเซียนมังกรทั่วไป ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

“ไม่รู้ว่าอัจฉริยะเซียนมังกรและผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้พวกนั้นจะพัฒนาไปมากมายเพียงใดกัน?”

มุมปากของจ้าวเฟิงยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มยินดี

“งานน้ำชาเซียนมังกรนี้ได้ถูกจัดขึ้นโดยโอรสสวรรค์สามตาและปิงเว่ยเซียนจื่อ งานจัดที่ทวีปกลาง เวลาคือหลังจากงานชุมนุมเซียนมังกรสิ้นสุดลงหนึ่งปี…”

โม่เทียนอี้เอ่ยอธิบายอย่างละเอียด

“ได้ หากมีเวลาจะไป”

จ้าวเฟิงสัญญาโดยตั้งเงื่อนไขว่าหากมีเวลา

เขามีความสนใจในงานน้ำชาเซียนมังกร ทว่าอีกไม่นานจ้าวเฟิงต้องจัดการอีกหลายๆ เรื่อง

“น้องจ้าว ได้ยินมาว่าปิงเว่ยเซียนจื่อได้รับวาสนาที่ยิ่งใหญ่จากในมรดกฉวนปิง พลังฝึกตนได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ เมื่อหกเดือนก่อนได้เอาชนะผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ ส่วนโอรสสวรรค์สามตานั่นก็ไม่ธรรมดา”

โม่เทียนอี้เอ่ยถึงเรื่องในอดีต

“โอรสสวรรค์สามตานั่นคือผู้ใด?”

จ้าวเฟิงพลันเอ่ยขัดโม่เทียนอี้ขึ้น

เขาไม่อาจจดจำได้ว่าในงานชุมนุมเซียนมังกรมีคนที่ใช้ฉายานามว่าโอรสสวรรค์สามตาอยู่

“ข้าลืมบอกเจ้าไป โอรสสวรรค์สามตาคืออัจฉริยะเซียนมังกรอันดับหนึ่งในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งก่อน เคยครอบครองอันดับหนึ่งติดต่อกันสองครั้ง หากไม่ใช่เพราะขีดจำกัดอายุทำให้ไม่อาจเข้าร่วมได้อีกต่อไป งานชุมนุมเซียนมังกรครั้งที่แล้วหยูเทียนฮ่าวก็อาจไม่ใช่ที่หนึ่ง”

โม่เทียนอี้ตอบ

เป็นเช่นนี้เอง

จ้าวเฟิงอดที่จะตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ โอรสสวรรค์สามตานับว่าเป็น ‘รุ่นพี่’ ในงานชุมนุมเซียนมังกร มีฝีมือลึกล้ำ

แน่นอนว่าอายุของโอรสสวรรค์สามตาต้องอยู่ในระดับเดียวกับหยูเทียนฮ่าวและคนอื่นๆ เป็นอย่างน้อย ต้องมากกว่า 20 ปี จะอย่างไร ก่อนหน้าหยูเทียนฮ่าว โอรสสวรรค์สามตาก็ได้ครอบครองอันดับหนึ่งในงานชุมนุมเซียนมังกรมาแล้วสองครั้ง

“นอกจากนั้น สายเลือดดวงตาของโอรสสวรรค์สามตายังนับเป็นอันดับหนึ่งของทวีป มี ‘เนตรราชันสวรรค์สามตา’ ที่เป็นตัวตนอันลึกลับในประวัติศาสตร์ของทวีป พลังของดวงตาทั้งสามนับเป็นที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน”

เมื่อโม่เทียนอี้เอ่ยถึงยามนี้ บนใบหน้าก็ยากที่จะปกปิดความหวาดเกรงไว้ได้

“สายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป? มีโอรสสวรรค์สามตาผู้นี้จัดงานน้ำชาเซียนมังกร นับว่ายิ่งใหญ่นัก”

จ้าวเฟิงยังคงมีท่าทีเรียบเฉย ผงกศีรษะเล็กน้อย

โม่เทียนอี้กลับแย้มยิ้ม จ้องมองไปยังอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ย: “จ้าวเฟิง ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะยอมรับว่าสายเลือดดวงตาของโอรสสวรรค์สามตาแข็งแกร่งที่สุดในทวีป ปล่อยให้ตระกูลของเขาได้รับเกียรตินี้เอาไว้”

สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งยิ่งนัก สร้างแรงกดดันครอบคลุมไปทั้งงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้

นี่คือสิ่งที่คนทั่วไปรู้

ในงานชุมนุมเซียนมังกร พลังอำนาจสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงมีอำนาจมากกว่าพลังของตระกูลสายเลือดดวงตาอีกสองตระกูล

ถัวป๋าฉีและเนตรวิญญาณหนานจื่อ ผู้สืบทอดสายเลือดดวงตาของตระกูลทั้งสองล้วนพ่ายแพ้ให้แก่จ้าวเฟิง

“แน่นอนว่าย่อมไม่ยอมรับ ทว่าเป้าหมายของข้าไม่ใช่สายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปบุปผาคราม”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มจริงใจ ไม่ปิดบังความคิดในใจ

สายเลือดดวงตาของเขาไม่พ่ายต่อผู้ใด ชื่อกุ้ยแห่งตำหนักผาดำผู้นั้น แม้ว่าวิชาดวงตาจะยอดเยี่ยม สุดท้ายแล้วก็ยังไม่อาจเอาชนะจ้าวเฟิงได้

บัดนี้ ในงานน้ำชาเซียนมังกรจะมีอัจฉริยะรุ่นพี่ที่มีสายเลือดดวงตาแข็งแกร่งที่สุดในทีปปรากฏตัวขึ้น ความสนใจของจ้าวเฟิงย่อมมีมากขึ้น

“เยี่ยม เช่นนั้นเจอกันในงานน้ำชาเซียนมังกร”

บนใบหน้าของโม่เทียนอี้ปรากฏความคาดหวังขึ้นก่อนจะเอ่ยลาและแยกจากไป

จ้าวเฟิงไม่รั้งอยู่ใกล้หอคอยลิ่วอูนาน รวมตัวกับพวกเจียงซานเฟิงทั้งสอง กลับไปยังเมืองหงหูเป็นอันดับแรก

เขาเถี่ยกาน

นับจากการมาถึงครั้งก่อน เวลาผ่านไปเกือบ 10 วันแล้ว

วัสดุในการสร้าง ‘วงแหวนทมิฬ’ ฉบับง่ายได้ถูกอาจารย์เถี่ยกานเตรียมการอย่างละเอียด

“วัสดุพื้นฐานไม่เท่ากัน ด้วยประสบการณ์การสร้างครั้งก่อน การสร้างครั้งนี้ค่อนข้างยากในการใช้วัสดุที่ไม่เหมือนเก่าและใช้วัสดุอื่นทดแทน โดยเฉพาะเมื่อเจ้านำวัสดุลำค่าหายากจากมรดกต่างแดนมา…”

อาจารย์เถี่ยก่านเอ่ยถึงความคืบหน้า พึงพอในใจวัสดุนัก

หลายวันต่อมา การเตรียมการสร้างวงแหวนทมิฬจึงเสร็จสิ้น

ในสถานที่มืดทึมในตำหนักเถี่ยกาน

จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ เบื้องหน้าพลันปรากฏม่านหมอกสีหม่น กลับกลายเป็นร่างโครงกระดูกสีเงินทอง เบ้าตากลวงโบ๋ปรากฏเปลวเพลิงสีแดงสดสั่นระริก

“เจ้าหอโครงกระดูก เวลาผ่านมาแล้วหลายเดือน อาการบาดเจ็บของเจ้าคงฟื้นฟูมากว่าสามสี่ส่วนแล้ว”

จ้าวเฟิงเหลือบตามอง

อาการบาดเจ็บของเจ้าหอโครงกระดูกได้รับการฟื้นฟู พลังฟื้นคืนรวดเร็วกว่าที่คาดคิด เมื่อมองไปยังกลิ่นอายของอีกฝ่าย เจ้าหอโครงกระดูกในยามนี้คงมีพลังต่อสู้ในขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงเป็นอย่างน้อย ยากที่จะเทียบกับขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดได้ จ้าวเฟิงเข้าใจว่ามันเป็นผลจาก ‘ประคำหมื่นพราย’ ปราณมรณะในประคำหมื่นพรายหนาแน่น สามารถเสริมสร้างซากศพ รวมทั้งร่างกายประเภทศพทั้งหลายแหล่ได้

“นายท่าน ในประคำวิญญาณ การจะสร้างกองทัพร้อยศพตามแผนของท่านได้เกิดทางตันขึ้น อย่างแรกคือทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด อย่างที่สองคือพลังฝึกตนและอาการบาดเจ็บของข้าทำให้ข้าไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม”

เจ้าหอโครงกระดูกถอนหายใจอย่างแผ่วเบา

แผนทัพร้อยศพคือหนึ่งใน ‘ความปรารถนาเล็กๆ น้อยๆ’ ส่วนตัวของจ้าวเฟิง ใช้โครงกระดูกทั้งหนึ่งร้อยในแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพสร้างกองทัพซากศพขั้นนายเหนือแท้ขึ้นมา

ลองนึกดูว่ายามที่ซากศพขั้นนายเหนือแท้ทั้งหนึ่งร้อยกลายเป็นกองทัพศพ มันจะสร้างภาพที่น่าพรั่นพรึงเพียงใดออกมา

เมื่อแผนการสำเร็จ แม้ว่าจ้าวเฟิงจะต้องการกวาดล้างอาณาจักรก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น

“ตอนนี้ทำไปได้เท่าไหร่แล้ว?”

จ้าวเฟิงเอ่ยถาม

“ในเวลาสองเดือนครึ่ง ทำสำเร็จไปหนึ่งเดียว อีกครึ่งเดือนน่าจะเสร็จอีกตัว”

เจ้าหอโครงกระดูกวาดมือ ม่านหมอกสีหม่นพลันเผยให้เห็นร่างศพสีแดงอมดำหม่นมัวขึ้น กลิ่นอายน่าขยะแขยงได้ทำให้จ้าวเฟิงขมวดคิ้ว ทว่าซากศพสีดำอมแดงนี้มีพลังใกล้เคียงขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ ทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกคาดไม่ถึงเล็กๆ

“ค่ายกลคำสาปของแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพต้องเข่นฆ่ายอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้หนึ่งร้อยคน ที่ตำแหน่งจำเพาะว่าต้องใช้พลังความโกรธแค้นเกลียดชังในวิญญาณของพวกเขา สร้างคำสาปขึ้นมา ความจริงแล้ว พลังฝึกตนของโครงกระดูกเหล่านี้บางตัวสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด ความยากในการสร้างและวัสดุที่ต้องใช้ก็ยิ่งมากขึ้น”

เจ้าหอโครงกระดูกอดจะโอดครวญในความยากลำบากไม่ได้

จ้าวเฟิงอดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้ พลังฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำนับว่าค่อนข้างอ่อนแอแล้วในบรรดาโครงกระดูกเหล่านั้น ในโครงกระดูกทั้งหนึ่งร้อย ตัวที่ปรากฏอยู่นี้คือยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ที่อ่อนแอที่สุด การฆ่าพวกเขาที่ตำแหน่งจำเพาะเพื่อสร้างคำสาปขึ้นมานั้น มันยากที่จะจินตนาการถึงความน่าพรั่นพรึงของอำนาจเบื้องหลังยิ่งนัก

“ข้าจะพยายามรวบรวมวัสดุอย่างสุดความสามารถ”

จ้าวเฟิงเปิดดวงตาเทพเจ้า จ้องมองไปยังหุ่นเชิดศพสีดำอมแดง สลายตราของเจ้าหอโครงกระดูกและประทับตราเนตรเทพเจ้าของตนเองลงไปแทน

ร่างกายและจิตใจของเจ้าหอโครงกระดูกสั่นสะท้าน เห็นด้วยตาตนเองว่าจ้าวเฟิงสามารถทำลายตราของเขาและแย่งการควบคุมของซากศพสีดำอมแดงไปได้อย่างง่ายดายเพียงนั้น แม้ว่าพลังของเขาในสภาพยามนี้จะอ่อนแอ ทว่าการแย่งชิงการควบคุมหุ่นเชิดศพสีดำอมแดงไปอย่างง่ายดายเพียงนั้นของจ้าวเฟิงทำให้เจ้าหอโครงกระดูกรู้สึกยากจะยอมรับ

จ้าวเฟิงโบกมือ เก็บเจ้าหอโครงกระดูกและหุ่นเชิดศพสีดำอมแดงกลับเข้าไปในประคำหมื่นวิญญาณ

จากนั้นเขาจึงโบกมืออีกครั้ง ท่ามกลางม่านหมอกสีหม่น หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองได้ปรากฏขึ้น เมื่อเทียบกับในอดีต โครงกระดูกของพวกมันแข็งแกร่งขึ้น ลวดลายสีเงินบนผิวก็ดูลุ่มลึกแหลมคมกว่าเดิม

“เยี่ยม เจ้าหอโครงกระดูกนี่นับว่ามีฝีมือจริงๆ หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬเมื่ออยู่ในมือของเขาได้กลืนกินทรัพยากรไปจำนวนมาก พลังพัฒนาไปอย่างมาก”

จ้าวเฟิงโบกมือ เก็บหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสอง

ในยามนี้ พลังต่อสู้ธรรมดาของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬเหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ ทั้งยังมีพิษศพที่น่าพรั่นพรึง ไม่อาจใช้มาตรฐานทั่วไปมาชี้วัดได้

“แต่การจะทำให้แผนการร้อยศพสำเร็จ วัสดุที่ข้ามือยังห่างไกลจากคำว่าพอนัก ยามที่วัสดุทรัพยากรมีไม่เพียงพอ ข้าก็สามารถกลับไปยังซากปรักหักพังสือเฉิงได้”

จ้าวเฟิงหาวิธีแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว

การจะทำให้แผนการร้อยศพสำเร็จได้ ด้วยทรัพยากรสภาพแวดล้อมของทวีปบุปผาครามนับว่ายากเย็นเกินไป ทว่าจ้าวเฟิงสามารถไปยังซากปรักหักพังสือเฉิงได้

ซากปรักหักพังสือเฉิงตั้งอยู่ในมิติแยกต่างหาก สภาพแวดล้อมไอสวรรค์เหนือกว่าอย่างมาก ทั้งยังมีบริเวณกว้างขวาง ทรัพยากรมหาศาล กระทั่งวัสดุชั้นสูงบางอย่างในทวีปบุปผาคราม เมื่อเข้าไปในซากปรักหักพังสือเฉิงแล้วยังเป็นได้เพียงแค่ของทั่วไปหากไม่เช่นนั้น ซากปรักหักพังสือเฉิงย่อมไม่ทำให้สำนักระดับสองดาวทั้งสามต้องหาทางฉกชิงกลับไป

หลังจากผ่านไปสามวัน

จ้าวเฟิงและอาจารย์เถี่ยกานก็ได้ร่วมมือช่วยกันสร้าง ‘วงแหวนทมิฬ’ ฉบับง่ายด้วยกัน

ครึ่งหนึ่งเป็นฝีมือของจ้าวเฟิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!