บทที่ 498 คำชี้แนะที่กระจ่างแจ้ง
คำทำนายนี้ได้ทำให้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นมีสีหน้าหดหู่ หัวใจยากที่จะกลับมาสงบได้ดังเดิมเป็นเวลานาน
ผลของมันนั้นไม่ยากที่จะเช้าใจ เหล่าอัจฉริยะที่ออกมาจากมรดกต่างแดนล้วนมีวาสนาและโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ อนาคตไม่อาจประเมินได้ ในทางกลับกัน ผู้ที่ไม่ได้กลับออกมานับว่าโชคร้ายมากกว่าโชคดี ไม่มีสิ่งใดคลุมเครือเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น สีหน้าของจ้าวเฟิง โม่เทียนอี้ และผู้มาเยือนคนอื่นๆ ก็บิดเบี้ยว นัยน์ตาสั่นระริก ตกลงสู่ความเงียบงันสั้นๆ
นักปราชญ์มองไปยังจ้าวเฟิงเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยอธิบายและชี้นำเหล่าผู้มาเยือนทีล่ะคน
เวลาผ่านไปนาน
สภาพจิตใจของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
“อย่างน้อยข้าก็รู้สถานการณ์ของหยูเฟ่ย ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าก่อนที่จะจากมา เศษเสี้ยวจิตวิญญาณสือเฉิงยังได้มอบตราคำสั่งสือเฉิงแก่ข้า ทำให้สามารถติดต่อกับซากปรักหักพังสือเฉิงได้”
ในฝ่ามือของจ้าวเฟิงพลันปรากฏตราคำสั่งสีม่วงที่สั่นกระเพื่อมขึ้น
ตราคำสั่งสีม่วงนั้นคือ ‘ตราคำสั่งสือเฉิง’ มันได้ส่งคลื่นสั่นกระเพื่อมแปลกประหลาดออกมา ส่องประกายวูบในฝ่ามือของจ้าวเฟิง หากจ้าวหยูเฟ่ยมีสิ่งใดต้องการหรือจ้าวเฟิงจะไปยังซากปรักหักพังสือเฉิงก็สามารถรับรู้ได้ผ่าน ‘ตราคำสั่งสือเฉิง’ ทว่ามันเองก็มีขีดจำกัดอยู่ สามารถใช้ได้เพียงสามครั้งเป็นอย่างมาก
“ทว่าสถานการณ์ของฉินซิน ไม่ว่านางจะมีชีวิตอยู่หรือตาย ข้ากลับไม่รู้สิ่งใดเลย”
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
เวลาผ่านไปเล็กน้อย
จนกระทั่งยามราตรีมาเยือน เหล่าผู้มาเยือนจึงจากไปทีล่ะคน นักปราชญ์เหนื่อยล้า จำต้องพักผ่อน
จ้าวเฟิงและโม่เทียนอี้ไม่ได้จากไปในทันที
“ท่านนักปราชญ์ ข้ามีสิ่งที่อยากให้ท่านช่วยชี้แนะ”
จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ยขึ้นในที่สุด
นักปราชญ์ไม่ประหลาดใจ เอ่ยปากขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม: “เป้าหมายที่เจ้ามาที่นี่ คงเป็นเพราะฉินซิน?”
“ใช่แล้ว ขอถามท่านนักปราชญ์ว่าฉินซินมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว?”
จ้าวเฟิงเอ่ยถามตรงๆ
ก่อนหน้า การอ่านดวงชะตาของนักปราชญ์เป็นเพียงโดยทั่วไป เอ่ยถึงภาพรวมของอัจฉริยะที่ไม่ได้กลับออกมาจากมรดกต่างแดน ทว่าครั้งนี้ เรื่องของจ้าวเฟิงได้มุ่งตรงไปยังคนเพียงผู้เดียว
“จ้าวเฟิง หลิวฉินซินได้เช้าไปในมรดกต่างแดนที่ห่างไกล ไร้ซึ่งร่องรอย เจ้าต้องการให้ท่านอาจารย์ทำนายความเป็นตายของนาง มิใช่ว่าหวังให้คนทำสิ่งที่ฝืนใจตนเองมากไปหรอกหรือ?”
น้ำเสียงเย็นชาไม่พอใจของฉินหวางเฟยดังขึ้น จ้าวเฟิงยังคงไม่หวั่นไหว มองตรงไปยังนักปราชญ์เช่นความหวังสุดท้าย เขาเองก็เช้าใจว่าศาสตร์แห่งดวงชะตานั้นจะสามารถทำนายได้จำต้องใช้ข้อมูลและร่องรอยบางส่วนด้วย มิใช่ว่าจะสามารถผายลมไร้สาระออกมาจากความว่างเปล่า
ชัดเจนว่าฉินหวางเฟยเองก็ศึกษาศาสตร์แห่งดวงชะตามาอยู่บ้าง รู้ว่าหลิวฉินซินที่เช้าไปในมรดกต่างแดนไร้ซึ่งร่องรอยในการทำนาย สามารถมั่นใจว่านางโชคร้ายได้ก็นับว่าดีแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงการฟันธงว่านางยังอยู่หรือตายแล้วเลย
“จ้าวเฟิง เรื่องนี้ข้าตอบเจ้าไม่ได้”
นักปราชญ์ไพล่มือไว้ที่หลัง ใบหน้าราบเรียบ ไม่อาจเห็นความหวั่นไหวใดๆ ได้
จ้าวเฟิงอดที่จะเพ่งมองไม่ได้
นักปราชญ์ไม่ได้เอ่ยว่าเขาสามารถทำนายได้หรือไม่ ทว่าบอกว่า ‘ตอบไม่ได้’
“ท่านนักปราชญ์ เท่าที่ข้ารู้ ท่านคืออาจารย์ของมารดาฉินซิน”
จ้าวเฟิงไม่ยอมแพ้ เขารู้สึกได้ว่านักปราชญ์ล่วงรู้บางอย่าง ทว่ากลับไม่ต้องการที่จะเอ่ยบอกตัวเขา ทว่าเขากำลังกังวลกับสถานการณ์ของหลิวฉินซิน
นักปราชญ์ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธเป็นระยะเวลาสั้นๆ สุดท้ายแล้วจึงเอ่ยปากตอบในที่สุด “ฉินซินเชี่ยวชาญในวิชาทำนายและพิณ พรสวรรค์การทำความเช้าใจน่าตื่นตะลึง ตาแก่ผู้นี้ชื่นชมมากนัก หลังจากที่นางออกจากมรดกคิดจะมอบมรดกให้แก่นาง น่าเสียดาย…”
เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ นักปราชญ์ก็ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ใบหน้ามืดทะมึน กระทั่งผู้ฝึกฝนในศาสตร์แห่งดวงชะตาผู้นี้ยังรู้สึกจนใจยิ่งนัก
“จ้าวเฟิง อย่าได้บอกเชียวว่าเจ้าไม่รู้ว่าหลิวฉินซินนับได้ว่าตายตกไปแล้วในมรดกต่างแดน หรือมิเช่นนั้นมีหรือที่ท่านอาจารย์จะไม่เอ่ยตอบ?”
มุมปากของฉินหวางเฟยที่อยู่ข้างๆ ยกโค้งขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาหงส์ปรากฏประกายเหยียดหยามแล่นผ่าน
นางและหลิวฉินซินนับว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน
อาจารย์ของหลิวฉินซิน ก่อนที่จะสิ้นชีพได้ให้นางเปลี่ยนชื่อ ใช้ชื่อเดียวกับฉินหวางเฟย ต้องการที่จะแย่งชิงดวงชะตา ต่อต้านลิขิตสวรรค์ ในเรื่องนี้ ฉินหวางเฟยเองก็พอรู้อยู่บ้าง ย่อมรู้สึกไม่พอใจ
“หากไม่อาจได้รับคำตอบที่แน่นอน ผู้เยาว์คงยากที่จะขจัดปมในใจไปได้”
จ้าวเฟิงเอ่ยต่อนักปราชญ์อย่างเคร่งเครียด
“จ้าวเฟิง ตาแก่ผู้นี้ไม่อาจตอบได้ ไม่กล้าที่จะเอ่ยออกไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า หรือมิเช่นนั้นจะทำให้ดวงชะตาแปรเปลี่ยนไป และผลที่ตามมาเอง ข้าก็ไม่อาจรับผิดชอบได้ไหว”
นักปราชญ์ส่ายศีรษะอย่างขมขื่น
นักปราชญ์ได้ล่วงรู้สิ่งใดกันจึงไม่อาจที่จะตัดสินใจได้อย่างผลีผลามเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้มันส่งผลกระทบต่อจ้าวเฟิงที่จะส่งผลต่อโชคชะตาของฟ้าดินไปอีกทอด
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยมีท่าทีเลื่อนลอย เผยสีหน้าเช้าใจออกมาอย่างชัดเจน
เมี้ยว
แมวขี้เกียจตัวใหญ่หรี่ตามอง โยนเหรียญทองแดงโบราณหลายเหรียญดัง ‘ติง’ มองไปยังจ้าวเฟิงเป็นเวลานาน เผยสีหน้าของความกระวนกระวายและตื่นตะลึงออกมา
“นี่มันอันใดกัน ราวกับว่านักปราชญ์รู้ถึงโชคชะตาบางอย่างของข้า ดังนั้นแล้วจึงไม่กล้าที่จะผลีผลามกระทำการใดๆ ด้วยหวาดกลัวว่าจะไม่อาจรับผิดชอบต่อสิ่งที่จะตามมาได้”
จ้าวเฟิงเกิดความรู้สึกเคลือบแคลงขึ้น
“ตาแก่ผู้นี้ทำได้เพียงชี้แนะเจ้า ไม่ว่าจะโชคร้ายเพียงใด ก็ย่อมมีโชคดีเพียงนั้น ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน แม้ว่าคนที่จำต้องตายก็ยังมีพลังที่ยิ่งใหญ่จนสามารถมอบชีวิตให้ได้ ตัวอย่างเช่นแปดเนตรเทพเจ้าและเนตรแห่งวัฏสงสารในตำนานที่มีพลังในการพลิกผันเป็นตาย”
นักปราชญ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เมื่อได้ยินคำเหล่านั้น จ้าวเฟิงก็รู้สึกว่าดวงตาซ้ายกระตุกเล็กๆ
“ในโลกนี้มีสายเลือดดวงตาที่ต่อต้านลิขิตสวรรค์ได้เพียงนั้นเลยหรือ กระทั่งคนตายก็ยังสามารถฟื้นชีพให้ได้?”
จ้าวเฟิงตื่นตะลึงอย่างมาก เปลี่ยนแปลงความเป็นตายนั้นฟังดูคุ้นเคยนัก สมบัติแห่งฟ้าดินบางอย่าง หรือวิชาบางอย่างเองก็มีผลเช่นนี้ ทว่าความสามารถของ ‘เนตรสังสารวัฏ’ ที่นักปราชญ์เอ่ยมานั้น แม้ว่าจะสิ้นชีพ ดวงวิญญาณถูกทำลายแหลกสลายก็ยังสามารถฟื้นคืนชีพให้ได้
“แน่นอนว่าทั้งหมดนี่ล้วนเป็นเพียงตำนาน แปดดวงตาเทพเจ้าคือผู้ปกครองแห่งสวรรค์ทั้งแปดทิศ แต่ล่ะดวงตามีพลังต่อต้านลิขิตสวรรค์ เนตรสังสารวัฏเป็นเพียงหนึ่งในนั้น”
นักปราชญ์แย้มยิ้ม
เกี่ยวกับตำนานของดวงตาเทพเจ้าทั้งแปด จ้าวเฟิงเองก็พอจะได้ยินมาอยู่บ้าง
เศษเสี้ยวจิตวิญญาณสือเฉิงเคยเอ่ยขึ้นมาว่าในโลกใบนี้ยังมีมรดกแปดดวงตาเทพเจ้าอยู่ สำหรับมรดกที่เกี่ยวข้องกับแปดดวงตาเทพเจ้า เหตุใดมันจึงไม่มายังทวีปบุปผาคราม จ้าวเฟิงเองก็ไม่รู้ บางทีอาจเป็นเพราะมรดกแปดสายเลือดดวงตาเทพเจ้าแข็งแกร่งอย่างมาก ทวีปบุปผาครามไม่อาจที่จะรองรับได้ หรืออาจเป็นเพราะมันอยู่ห่างไกลเกินไป และวาสนามังกรของอัจฉริยะในทวีปบุผาครามไม่เพียงพอ หรือสภาวะของอัจฉริยะไม่พร้อม หลากหลายเหตุผล
“ขอบคุณท่านนักปราชญ์สำหรับคำชี้แนะ ในโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน ตราบเท่าที่ข้าพยายาม เมื่อมีพลังมากพอย่อมสามารถเช้าไปในมรดกแปดดวงตาเทพเจ้า ทั้งหมดล้วนมีโอกาสเปลี่ยนแปลง”
จ้าวเฟิงตระหนักขึ้นได้ แสดงความซาบซึ้งแก่นักปราชญ์อีกครั้ง
ยามที่นักปราชญ์เอ่ยถึง ‘แปดดวงตาเทพเจ้า’ ในจิตใจของจ้าวเฟิง กระทั่งในสายเลือดของเขาได้ปรากฏจิตต่อสู้ลุกโชนขึ้นอย่างไม่อาจจะอธิบาย
“แปดดวงตาเทพเจ้า… รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ… วันหนึ่งหวังว่าข้าจะได้พบพวกมัน”
ทันใดนั้น ทัศนวิสัยและเป้าหมายชีวิตของจ้าวเฟิงก็เปลี่ยนแปลงไป ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการชี้นำของนักปราชญ์
“บัดนี้เจ้าเช้าใจแล้วใช่หรือไม่?”
นักปราชญ์เผยสีหน้ายินดีออกมา เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
“ผู้เยาว์เช้าใจแล้ว”
‘ปม’ในใจของจ้าวเฟิงถูกกำจัดไปในที่สุด เส้นทางของชีวิตชัดเจนยิ่งขึ้น
นัยน์ตาของเขาส่องประกายระยิบระยับ “ไม่ช้าก็เร็ว วันหนึ่งข้าจะออกไปจากทวีปนี้ สัมผัสถึงโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ เหล่าสำนักสองดาวและสามดาวที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้น… รอให้มีพลังมากพอ ข้าอาจจะสามารถค้นหามรดกเซียนพิณสวรรค์ได้ตรงๆ ด้วยซ้ำ”
ทันใดนั้น
วิสัยทัศน์ของจ้าวเฟิงก็กว้างไกลขึ้น จิตใจกระจ่างใส ทุกเรื่องรบกวนได้หายไป หลงเหลือเพียงจิตใจที่ต้องการจะปีนป่ายไปยังจุดที่สูงกว่านี้อย่างไม่หยุดยั้ง
ในยามนี้
จ้าวเฟิงปิดเปลือกตา ขอบเขตจิตวิญญาณราวกับได้ปริแตกออก พลังวิญญาณจำนวนมหาศาลราวกับถูกบีบอัด ควบรวมกันที่จุดเดียว ให้ความรู้สึกแน่วแน่
ขอบเขตจิตวิญญาณของเขาเช้าสู่ชั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดอย่างสมบูรณ์ กระทั่งเกือบจะเทียบได้กับชั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด สำหรับพลังวิญญาณ แม้ว่าจะไม่ได้เพิ่มมากขึ้น ทว่ากลับควบรวมกัน เมื่อเทียบกับก่อนหน้าแล้วยังบริสุทธิ์กว่า ก่อนหน้า ในซากปรักหักพังสือเฉิง จ้าวเฟิงได้ครอบครอง ‘แก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา’ ทำให้พลังเพิ่มขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
การพัฒนาที่รวดเร็วเกินไปจากสิ่งเร้าภายนอกทำให้พื้นฐานไม่มั่นคงนัก
“ขอบคุณท่านนักปราชญ์ยิ่งนักสำหรับการชี้แนะ ก่อนที่จะจากไป ข้ามีอีกเรื่อง…” จ้าวเฟิงยกมือขึ้นสัมผัสที่ดวงตาซ้ายของตนเอง
“สายเลือดดวงตาของเจ้า ตาแก่ผู้นี้รับรู้แล้ว มันมีความสัมพันธ์กับรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณในระดับหนึ่ง ทว่าสำหรับแหล่งที่มานั้นพิเศษเกินไป เกินกว่าที่ความสามารถในการอ่านดวงชะตาของตาแก่ผู้นี้จะสามารถทำได้ ทว่ามั่นใจได้ว่ามันมีโอกาสจะพัฒนาไปในระดับเดียวกับแปดดวงตาเทพเจ้า”
นักปราชญ์เอ่ยขึ้นอย่างไม่คิดมาก
ชัดเจนว่านักปราชญ์ได้ล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของดวงตาเทพเจ้าของตนเองแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะเหตุการณ์บางอย่าง คำพูดของนักปราชญ์นั้นคล้ายคลึงกับคำพูดของเศษเสี้ยวจิตวิญญาณสือเฉิงยิ่งนัก
“ระดับเดียวกับแปดดวงตาเทพเจ้า?”
บนใบหน้าของโม่เทียนอี้และฉินหวางเฟยเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงมีโอกาสที่จะอยู่ในระดับเดียวกับแปดดวงตาเทพเจ้าในตำนาน แม้ว่าโอกาสนั้นดูจะมีเพียงน้อยนิด
แปดดวงตาเทพเจ้าคือต้นกำเนิดของสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งทั้งหมดในโลกใบนี้
อย่างน้อยในยามนี้
ดวงตาเทพเจ้ายังไร้ซึ่งความหวังที่จะได้รับพลังที่จะต่อต้านลิขิตสวรรค์เช่นนั้น
เมื่อเอ่ยถามเรื่องสุดท้ายแล้ว จ้าวเฟิงจึงเอ่ยลา ออกจากหอคอยลิ่วอูในที่สุด
“จ้าวเฟิง” โม่เทียนอี้ไล่ตามอีกฝ่ายไป สีหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
“โม่เทียนอี้ เจ้ากำลังสงสัยในความปลอดภัยของหยูเฟ่ยใช่หรือไม่?”
จ้าวเฟิงเองก็คาดไว้อยู่แล้ว เผยรอยยิ้มบางบนใบหน้า
“น้องจ้าว บัดนี้ไม่มีผู้อื่นอยู่แล้ว เจ้าและหยูเฟ่ยเช้าไปในมรดกต่างแดนด้วยกัน ตอนนี้นางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
โม่เทียนอี้สูดลมหายใจลึก เมื่อเอ่ยถามนักปราชญ์แล้ว เขาก็ควรจะเอ่ยถามจ้าวเฟิงด้วยเช่นกัน