Skip to content

King of Gods 500

King Of Gods

บทที่ 500 เถี่ยหมัว

การสร้างวงแหวนทมิฬครั้งนี้ จ้าวเฟิงไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ช่วยอีกต่อไป ทว่ากลายเป็นกำลังหลัก เพราะการสร้างครั้งนี้ไม่มีบุรุษเรือนผมสีเลือดเถี่ยหมัว มีเพียงแค่จ้าวเฟิงและอาจารย์เถี่ยกานเพียงสองคน

พลังฝึกตนของเขาสูงส่งกว่าอาจารย์เถี่ยกาน อีกทั้งในร่างยังมีเปลวเพลิงวิญญาณวายุอัสนี ช่วยสนับสนุนการสร้างอาวุธวิเศษในระดับหนึ่ง

ในทางกลับกัน กระบวนการสร้างนั้นยังง่ายดายกว่า นับว่าเป็นการเปิดประตูบานเก่าออก จะอย่างไรก็ดี ประสบการณ์ในการสร้างครั้งก่อน ได้ทำให้การสร้างวงแหวนทมิฬฉบับง่ายนี้มีความยากลดลง

“สายเลือด พลังดวงตา และพลังในการควบคุมของเจ้าไม่เหมือนเช่นแต่ก่อนโดยแท้”

อาจารย์เถี่ยกานพึงพอใจอย่างมาก รู้สึกมั่นใจในการสร้างครั้งนี้อย่างมาก

จ้าวเฟิงไม่เพียงมีเปลวเพลิงจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง ทว่ายังมีความสามารถในการควบคุมและวิเคราะห์ที่ทรงพลัง ทั้งหมดนับว่าเป็นกุญแจในการใช้สร้างอาวุธวิเศษ

“ดูเหมือนจะใช้เวลาราวๆ 10 วันจึงจะทำเสร็จ เทียบกับครั้งก่อนแล้วเป็นเวลาเพียงหนึ่งในสี่เท่านั้น

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเปิดออก เข้าสู่สภาวะการควบคุมสังเกตที่ทรงพลังและเริ่มการเตรียมการวัตถุดิบบางส่วน ในระหว่างการสร้าง จ้าวเฟิงและอาจารย์เถี่ยกานก็เหมือนกับ ‘ปิดด่านฝึกตน’ จะไม่ออกมากลางครัน

วงแหวนทมิฬนั้นเป็นพิมพ์เขียวจากมรดกความลับสวรรค์ มันประณีตละเอียดอ่อนด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ความยากในการสร้างมากกว่าอาวุธวิเศษในระดับเดียวกันหลายสิบเท่า

ในตำหนักเถี่ยกาน

“สิบวัน”

พวกเจียงซานเฟิงทั้งสองได้ยินเสียงของจ้าวเฟิงดังขึ้น

เตี๋ยเย่แย้มยิ้มบาง “ก่อนหน้าที่จะเข้าไปในเมืองหงหู ข้าได้ติดต่อกับคนของเราแล้ว ฐานหลักน่าจะรับรู้ถึงข่าวเกี่ยวกับการกลับมาของท่านหัวหน้าสาขาแล้ว”

เจียงซานเฟิงผงกศีรษะ ไม่มีสิ่งใดเป็นกังวล

ในอาณาจักรนภา อำนาจของลัทธิโลหะเลือดกว้างใหญ่ไพศาล ครอบครองพื้นที่จำนวนมาก มีเพียงแค่ราชวงศ์เท่านั้นที่พอจะเทียบเคียงได้

เวลาสิบวันนับว่าไม่สั้นจริงๆ

พวกเจียงซานเฟิงทั้งสองรู้สึกยาวนานนัก ตราบเท่าที่จ้าวเฟิงทำอาวุธเสร็จก็จะกลับไปยังฐานหลัก ในยามนั้น หน้าที่ของพวกเขาก็จะเสร็จสิ้น

แปดวันต่อมา

เคร้ง ครืนนนน

ในห้องหลอมใต้ดินได้ส่งเสียงโลหะกระทบกันออกมา

แม้ว่ามันจะมีค่ายกลที่แข็งแกร่งคอยป้องกัน ยอดฝีมือด้านบนก็ยังคงรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายดุดันแหลมคมของอาวุธวิเศษได้อยู่ดี

“การสร้างคงจะอยู่ในขั้นสุดท้ายแล้ว หากอาวุธไม่สำเร็จย่อมไม่มีทางมีกลิ่นอายที่ทรงพลังเพียงนี้”

เจียงซานเฟิงรู้สึกว่าอาวุธวิเศษของตนเองสั่นสะท้านเล็กๆ ดูกระวนกระวาย

กลิ่นอายของอาวุธวิเศษที่ถือกำเนิดขึ้นนั้นได้ทำให้อาวุธวิเศษจำนวนมากในตำหนักเถี่ยกานส่งเสียงครืนครางสั่นสะท้านออกมาเล็กๆ

ในห้องหลอมใต้ดิน

“เข้าสู่ขั้นสุดท้ายแล้ว”

จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออกอย่างแผ่วเบา ในมือปรากฏวงล้อเหล็กทรงกลมที่ถูกสร้างขึ้นโดยวัสดุล้ำค่าจำนวนมาก ผิวของมันส่องประกายสีฟ้าเงิน มีประกายกระแสไฟฟ้าแล่นวูบ

เฮ้อ

วงล้อเหล็กทรงกลมได้ถูกเปลวเพลิงวายุอัสนีสีเขียวเข้มกลุ่มหนึ่งล้อมรอบอย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงวายุอัสนีนั้นส่องประกายเงียบงันน่าหลงใหล นานๆ ครั้งจะปรากฏประกายสีม่วงขึ้น พลังเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน

“ไม่คิดว่าความสามารถในการควบคุมของเจ้าจะเข้าสู่สภาวะสมบูรณ์แบบเพียงนี้ ทั้งยังเปลวเพลิงจิตวิญญาณวายุอัสนีที่พิเศษนั่น…”

อาจารย์เถี่ยกานอดที่จะคาดหวังไม่ได้

วงแหวนทมิฬฉบับง่ายนี้แข็งแกร่งกว่าที่คาดเอาไว้ สมบูรณ์แบบกว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นเพราะความสามารถในการควบคุมของจ้าวเฟิงและคุณภาพของเปลวเพลิงจิตวิญญาณที่เหนือกว่าที่อาจารย์เถี่ยกานคาดไว้มากนัก

นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป

กลิ่นอายของวงล้อเหล็กทรงกลมเบื้องหน้าจ้าวเฟิงแหลมคมขึ้น วัสดุล้ำค่าหลายส่วนได้หลอมรวมสลายไป

หืม?

เมื่อการสร้างเข้าสู่ช่วงสำคัญ จ้าวเฟิงพลันรับรู้ถึงบางอย่างได้ มองไปยังทิศทางหนึ่งของภูเขาเถี่ยกาน

ทว่าในช่วงเวลาหลอมนี้ จ้าวเฟิงไม่อาจเบนความสนใจไปได้มาก ในช่วงเวลานี้ไม่อาจผละจาก หรือมิเช่นนั้นทุกสิ่งอาจจะล้มเหลว

อีกฟากหนึ่งของภูเขาเถี่ยกาน

แสงที่ส่องแสงเจิดจ้า 3-4 ร่างทะยานมากลางอากาศ เต็มไปด้วยกลิ่นอายทรงพลัง ทำให้สัตว์อสูรและแมลงใกล้ๆ พลันเงียบงันลง

ร่างเหล่านี้เป็นสองสตรีสองบุรุษ

สตรีทั้งสองนั้นมีรูปลักษณ์งดงาม โดยเฉพาะสตรีที่อยู่ในอาภรณ์หรูหรา อาจจะกล่าวได้ว่าราวกับบุปผา สตรีในอาภรณ์หรูหรานั้นมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่งดงาม ใบหน้าไร้ที่ติมิอาจหาผู้ใดเทียบเคียง ทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำให้ความรู้สึกดึงดูดน่าหลงใหล ความงดงามอยู่ในจุดสูงสุด

“ฉินหวางเฟย เมื่อมีท่านร่วมมือด้วย โอกาสสำเร็จย่อมมีมากขึ้น”

สตรีงดงามอีกคนบนใบหน้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ฟันขาวขบกันแน่น จ้องมองไปยังทิศทางของภูเขาเถี่ยกาน

นางยกมือขึ้น เบื้องหน้าร่างของนางได้ปรากฏพิณหยกที่ล้อมไปด้วยกระบี่บิน สนับสนุนส่งเสริมซึ่งกันและกัน

ยอดกระบี่เพลงพิณ

ใช่แล้ว สตรีสง่างามผู้นี้คือ ‘จ้าวตำหนักฉินเจี่ยน’ ที่พ่ายแพ้ยับเยินให้แก่จ้าวเฟิงก่อนหน้านี้ จ้าวตำหนักฉินเจี่ยนก็นับเป็นสตรีที่งดงามผู้หนึ่ง แต่เมื่อยืนเคียงข้างกับผู้เดินในศาสตร์แห่งมนต์เสน่ห์อย่างฉินหวางเฟยแล้ว กลับไม่อาจนับเป็นอันใดได้

ฉินหวางเฟยแย้มยิ้มสง่างาม สายตามองไปยังบุรุษอีกสองคน

“แม้ไม่มีตัวข้าผู้นี้เข้าร่วม มีเพียงยอดผู้อาวุโสของตำหนักฉินเจี่ยนกับตระกูลหลิวก็เพียงพอที่จะจัดการจ้าวเฟิงแล้ว ทั้งเมื่อมียอดกระบี่เพลงพิณช่วยเสริม เจ้าวายร้ายจ้าวเฟิงนั่นแม้มีปีกก็ยากจะหลบหนีไปได้”

กลิ่นอายของบุรุษอีกสองคนเมื่อเทียบกับพวกฉินหวางเฟยทั้งสองแล้วมีเพียงแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่ด้อยกว่า

ยอดผู้อาวุโสของตำหนักฉินเจี่ยนคือบุรุษท่าทีราวนักศึกษาที่มีเรือนผมสีเงิน ใบหน้าเย็นชา ดูมีอายุราวๆ 30-40 ปี อายุทางกายภาพไม่อาจที่จะคาดการณ์ได้

ทว่ากลิ่นอายพลังฝึกตนของบุรุษผมเงินกลับเข้าใกล้ขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด มีพลังเหนือกว่าคนที่เหลือทั้งสาม

ชายชราในชุดโบราณอยู่ในขั้นนายเหนือแท้ กลิ่นอายพลังฝึกตนเหนือกว่าสตรีทั้งสอง เขาคือยอดผู้อาวุโสของตระกูลหลิว

คนทั้งสี่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้

“อย่าได้ประมาทจ้าวเฟิงมากเกินไป ด้วยพวกเราสามคนมีโอกาสสำเร็จเพียง 7-8 ส่วนเท่านั้น ต้องการจะฆ่าเด็กนั่นยังขาดไปคนหนึ่ง จะให้เจ้าเมืองหงหูลงมือก็มิคาดว่าเขาจะปิดด่านฝึกตนอยู่จึงไม่ยอมเข้าร่วม ทว่าระหว่างทางได้มาเจอท่านหวางเฟยพอดี”

ใบหน้างดงามของจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนราบเรียบ ไม่ได้ถูกความเกลียดชังแค้นเคืองบดบังสายตา ในเมืองหงหูวันนั้น ความอัปยศที่เท้าจ้าวเฟิงสร้าง กระทั่งบัดนี้จ้าวตำหนักฉินเจี่ยนยังคงจดจำถึงความรู้สึกเคียดแค้นชิงชังนั้นได้อยู่ หลังจากที่จ้าวตำหนักฉินเจี่ยนกลับไปยังสำนักก็ไปหายอดผู้อาวุโสของตำหนักฉินเจี่ยนที่กำลังประลองชี้แนะอยู่กับยอดผู้อาวุโสตระกูลหลิว

ตำหนักฉินเจี่ยนและตระกูลหลิว

ยอดผู้อาวุโสของสองขั้วอำนาจที่น่าหวาดกลัวได้ทำให้จ้าวตำหนักฉินเจี่ยนรู้สึกมีหวัง พลันใช้ท่าทางน่าสงสารเคียดแค้นในใจเป็นเครื่องมือ

สุดท้ายแล้วจึงกลายเป็นเช่นนี้

สี่ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้รวมตัวกันมุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาเถี่ยกาน สิ่งเดียวที่แตกต่างออกไปคือเจ้าเมืองหงหูไม่เข้าร่วม เปลี่ยนเป็นฉินหวางเฟยแทน

“ก่อนหน้าที่จะแยกจากท่านอาจารย์ ท่านบอกให้ข้าไหลไปตามน้ำ ละวางบุญคุณความแค้นกับจ้าวเฟิง…”

ฉินหวางเฟยนึกถึงคำพูดของผู้เป็นอาจารย์ ‘ปราชญ์ลิ่วอู’

ไหลไปตามน้ำรึ! ฉินหวางเฟยนั้นไม่เคยเผชิญหน้าสถานการณ์ เฉกเช่น “ตั๊กแตนพยายามจะหยุดยั้งม้าศึก” ทว่านางเองก็เคยถูกจ้าวเฟิงจับเป็นตัวประกัน ความแค้นเคืองนั้นยากที่จะปล่อยผ่านได้

นางเจอกับพวกจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนในระหว่างทาง นี่นับเป็นโอกาสดีที่จะจัดการคร่าชีวิตของจ้าวเฟิงเสีย

“จ้าวเฟิง คนผู้นี้ต้องตาย หากเขาและลัทธิโลหะเลือดร่วมมือกัน ราชวงศ์ย่อมเสียเปรียบอย่างมาก บางทีอาจไม่มีวันโงหัวขึ้นอีกเลยก็เป็นได้”

นัยน์ตาหงส์ของฉินหวางเฟยปรากฏความลังเลกระวนกระวาย ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นจิตสังหารที่เข้ามาแทนทีอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นที่ลับหรือที่แจ้ง นางจะไม่ปล่อยโอกาสทองในการปลิดชีวิตของจ้าวเฟิงไป

จ้าวเฟิงคือหนึ่งในห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ความสามารถน่าตื่นตะลึง ทั้งบัดนี้ยังแข็งแกร่งเพียงนี้ หากปล่อยให้เขาเติบใหญ่ไปกว่านี้ ฉินหวางเฟยไม่อาจจะจินตนาการถึงภาพอนาคตของตนเองรวมทั้งราชวงศ์ในอนาคตได้เลย

“ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของข้าพบจ้าวเฟิงแล้ว ฮี่ฮี่ หลบมาสร้างอาวุธอย่างสบายใจที่นี่เอง”

ยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนเผยสีหน้ายินดี ในน้ำเสียงปะปนไปด้วยความหยามเหยียด

ในสี่ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ พลังฝึกตนของยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนสูงที่สุด ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของเขาค้นพบจ้าวเฟิงที่อยู่ในห้องหลอมใต้ดินเป็นคนแรก

จากนั้น

สามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้จึงสามารถรับรู้ถึงตำแหน่งของจ้าวเฟิงได้

“อย่าปล่อยให้เขาหนีไป สายเลือดดวงตาของเด็กนี่ไม่ธรรมดานัก คงจะล่วงรู้แล้วว่าเรามาสอดแนม” สี่ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ราวกับก้อนเมฆสายรุ้งทั้งสี่พุ่งตรงที่ไปยังตำหนักเถี่ยกาน

ฟึ่บ

สี่ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ล้อมอยู่สี่ทิศของตำหนักเถี่ยกาน เสวียนอ้าวที่ทรงพลังของขั้นนายเหนือแท้ตอบสนองกับไอสวรรค์ สร้างพลังอำนาจมหาศาลและปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น

ทันใดนั้น ตำหนักเถี่ยกานก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย

“จ้าวเฟิง จ้าวตำหนักผู้นี้ไม่ต้องการที่จะเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ รีบออกมารับความผิดและความตายเสีย”

นัยน์ตาใสกระจ่างของจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนราบเรียบ มือขาววาดออก พิณหยกลอยอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับกระบี่บิน

ฟึ่บ เปรี้ยง

บริเวณโถงหลอมชั้นใต้ดินถูกกระเทาะออกในทันที

ทว่าดาบนั้นไม่ได้ทะลวงผ่านเข้าไปในโถงหลอม สถานที่สร้างอาวุธที่สำคัญเช่นนี้ย่อมมีค่ายกลที่ทรงพลังป้องกันอยู่ชั้นแล้วชั้นแล้ว

แม้จะเป็นเช่นนั้น

จ้าวเฟิงและอาจารย์เถี่ยกานที่อยู่ในโถงหลอมก็ยังคงรับรู้ได้ว่าห้องทั้งห้องสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

“เหลือเพียงขั้นสุดท้ายข้าก็จะสร้างสำเร็จ”

จ้าวเฟิงขมวดคิ้วแน่น

ในขั้นสุดท้าย เขาไม่อาจแบ่งสมาธิได้ หรือมิเช่นนั้นมันอาจจะล้มเหลว

สี่ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้พวกนั้นปรากฏให้เห็นในสายตาแล้ว จ้าวเฟิงไม่หวาดกลัวผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั้งสี่ ทว่าไม่ต้องการให้การสร้างมาล้มเหลวในขั้นตอนสุดท้าย

“จ้าวตำหนักฉินเจี่ยน ผู้อาวุโสตระกูลหลิว พวกท่านอย่าได้คิดว่าได้เปรียบ ลัทธิโลหะเลือดของพวกเราไม่หวาดกลัวผู้ใด”

เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ยืนเคียงข้างกันไม่ถอยหนี

พวกเขารู้ว่าจ้าวเฟิงกำลังอยู่ในช่วงสุดท้ายของการสร้างอาวุธ แม้ว่าจะสามารถพักไปได้ชั่วคราว ทว่าพวกเขาก็ยังคงอุทิศตนเองให้

“สมาชิกลัทธิโลหะเลือด? พวกเจ้าคิดว่าจ้าวตำหนักผู้นี้ไม่กล้าที่จะฆ่าเจ้าหรือ”

จ้าวตำหนักฉินเจี่ยนเค้นเสียง แม้ว่านางจะหวาดกลัวในพลังของลัทธิโลหะเลือด ทว่าตำหนักฉินเจี่ยนในอาณาจักรก็มีอำนาจเป็นรองเพียงแค่ราชวงศ์และลัทธิโลหะเลือดเท่านั้น

ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าตำหนักฉินเจี่ยนเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์

“ฮี่ฮี่… วาจาใหญ่โตนัก ผู้ใดกันกล้าที่จะลงมือกับคนของลัทธิโลหะเลือดของข้า”

น้ำเสียงเย็นเยียบของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นอย่างชัดเจนจากอีกฟากของภูเขาเถี่ยกาน

กลางอากาศ เกี้ยวโลหะที่มีรูปมังกรโลหิตและมีดดาบไขว้กัน รูปลักษณ์ดุดันน่าเกรงขาม ถูกยกมาโดยผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้สี่คนลอยอยู่กลางอากาศ

“เกี้ยวเลือดมังกร”

สี่ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้พลันเปลี่ยนสีหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

บางทีในอาณาจักรนภา คงมีเพียงไม่กี่คนที่ไม่รู้จัก ‘เกี้ยวเลือดมังกร’ เมื่อเกี้ยวเลือดมังกรมา นั่นหมายความว่ายักษ์ใหญ่ระดับสูงสุดของลัทธิโลหะเลือดได้ปรากฏตัวขึ้น ส่วนมากจะเป็นรองจ้าวลัทธิเถี่ยหมัว

“คารวะท่านรองจ้าวลัทธิ”

เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ค้อมกายอย่างเร่งรีบ สำหรับการปรากฏขึ้นของเกี้ยวเลือดมังกรนั้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับคนทั้งสอง เป็นเมื่อครึ่งเดือนก่อนหน้าที่เถี่ยหมัวได้ข่าวเรื่องการกลับมาของจ้าวเฟิง และใช้ข้อมูลนั้นตามมาที่นี่ นอกจากนั้น สองวันก่อนเถี่ยหมัวก็ได้มาถึงยังภูเขาเถี่ยกานอย่างลับๆ

ทว่าเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้รบกวนการสร้างอาวุธของจ้าวเฟิง รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดจึงทำตัวกลมกลืนอย่างมาก ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น

จนกระทั่งยามนี้

ฉินหวางเฟยและผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้คนอื่นๆ มาถึง เถี่ยหมัวจึงถูกบังคับให้ออกมา

“มานี่”

เถี่ยหมัวโบกมือ ให้พวกเจียงซานเฟิงทั้งสองเข้าไปในเกี้ยวเลือดมังกร

ครืนนน

จากนั้นจึงเห็นว่าเกี้ยวเลือดมังกรส่องประกายสีแดงสดราวเลือด ร่อนลงเหนือพื้นที่เป็นโถงหลอมใต้ดิน

“เถี่ยหมัว เพียงแค่เจ้าผู้เดียว คิดที่จะต้านทานข้าและยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้คนอื่นๆ หรือ?”

ยอดผู้อาวุโสตำหนักฉินเจี่ยนเค้นเสียง

ในด้านพลังฝึกตน เถี่ยหมัวเหนือกว่ามาก ทว่าฝ่ายจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนไม่ต้องเอ่ยเลยว่ามีผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ถึงสี่คน ทั้งนางยังยอดเยี่ยมในการสนับสนุน

“ก็ลองดู”

บุรุษเรือนผมสีเลือดเถี่ยหมัวเค้นเสียงเย็น ยืนบนเกี้ยวเลือดมังกร ตนเองเพียงคนเดียวเผชิญหน้ากับสี่ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!