บทที่ 12 บนกำแพงรั้ว
การทดสอบนักการเลื่อนขั้นเป็นศิษย์นอกฝ่ายในครั้งนี้ก็จบลงไปเช่นนี้ เมื่อพวกโหวเสี่ยวเม่ยทั้งสามคนเหยียบย่างลงไปบนยอดเขาและค่อยๆ เดินจากไปไกล จางต้าพั่งมองไปยังแผ่นหลังของโหวเสี่ยวเม่ย ลูบคางที่มีแต่ไขมัน ใบหน้าแฝงไว้ด้วยความหมายลึกล้ำ
“อืม ขาว ตัวเล็ก บริสุทธิ์…” พูดไปพลางเขม่นมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างๆ ไปด้วย
ในเวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มองไปยังแผ่นหลังของโหวเสี่ยวเม่ยเช่นกัน ในใจซับซ้อนเหลือจะกล่าว โดยเฉพาะได้ยินคำพูดของจางต้าพั่ง เห็นสายตาที่จางต้าพั่งแอบมองตนเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทนไม่ไหวตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
“อย่ามามองข้า!”
เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธ จางต้าพั่งก็รีบหัวเราะฮ่าๆ ทันที หยิบเอาถุงที่บรรจุหินวิเศษไว้จนเต็มออกมา เปลี่ยนหัวเรื่อง
“มาๆๆ พวกเรามานับหินวิเศษกันเถอะ คราวนี้รวยเละแล้ว ฮ่าๆ วิธีนี้ไม่เลวเลยจริงๆ”
“หินวิเศษมีอะไรให้น่านับกัน นับไปนับมาก็ได้แค่นั้นอยู่ดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนทำเสียงหึหนึ่งที
“เรื่องนี้ศิษย์น้องเก้าเจ้าไม่เข้าใจ ที่เห็นน่ะคือหินวิเศษ ที่นับน่ะคือชีวิตคน” นานๆ ทีจางต้าพั่งจะพูดประโยคเข้าใจชีวิตแบบนี้ออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินก็อึ้งไป จึงเริ่มนับหินวิเศษโดยเลียนแบบท่าทางของจางต้าพั่ง สุดท้ายรู้สึกเบื่อสุดๆ จึงโยนให้จางต้าพั่ง
ในเวลานี้เอง บนเส้นทางทดสอบมีประกายแสงวูบวาบขึ้น ทุกคนดวงตาพร่าลาย จนเมื่อมองเห็นได้ชัดก็มาอยู่ที่ตีนเขาแล้ว
ผู้ควบคุมวัยกลางคนที่เปิดเส้นทางการทดสอบก่อนหน้านี้ หลังจากมองเห็นพวกป๋ายเสี่ยวฉุนสามคน สีหน้าก็แปลกประหลาด เงียบไปครู่ใหญ่ถึงได้ส่ายศีรษะไม่สนใจอีกต่อไป เรื่องที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายครัวไฟ เขารู้สึกว่ามอบให้สำนักเป็นผู้จัดการจะดีกว่า
ในใจพวกป๋ายเสี่ยวฉุนสามคนตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องสามคนจึงมองหน้ากัน ไอแห้งๆ ออกมาสามสี่ทีแล้วรีบจากไปอย่างรวดเร็ว เลือกทางที่ใกล้ที่สุดตรงดิ่งไปยังฝ่ายครัวไฟ
จางต้าพั่งเอาแต่สนใจนับหินวิเศษครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งกลับมาถึงฝ่ายครัวไฟ ศิษย์พี่ตัวอ้วนคนอื่นๆ ก็กลับมาแล้วเช่นกัน แต่ละคนยินดีปรีดา ครั้นมองหน้ากันและกันแล้วต่างก็เกิดความภาคภูมิใจอย่างสุดๆ
หลังจากได้ส่วนที่เป็นของตัวเองมาแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็โยนไว้ในกระท่อม เขาแสวงหาความเป็นอมตะ หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้จำเป็นต้องซื้อสมุนไพรมาเพื่อแลกกับยาเพิ่มอายุ เขาก็ไม่มีทางคิดวิธีนี้เพื่อหาหินวิเศษมา
ค่ำคืนนี้ทุกคนในฝ่ายครัวไฟล้วนไม่มีใครได้นอนหลับดี พวกจางต้าพั่งหลังจากที่ร่ำรวยขึ้นมาอย่างฉับพลัน ก็ตื่นเต้นทั้งคืน ย้อนนึกถึงช่วงเวลาที่กระเป๋าแฟบแบนหลายปีก่อนหน้านี้ แล้วก็วาดฝันถึงอนาคตอันงดงาม จากนั้นก็กังวลว่าจะมีเรื่องตามมา ดังนั้นจึงนอนไม่หลับ
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนที่คิดถึงแต่ยาเพิ่มอายุก็นอนไม่หลับเช่นกัน
เมื่อวันที่สองมาถึง เรื่องที่ฝ่ายครัวไฟไปขวางทางออกเส้นทางทดสอบแพร่กระจายออกไป เขตงานนักการของฝั่งทิศใต้คนหนึ่งบอกต่อสิบคน สิบคนบอกต่อร้อยคน จนสุดท้ายแทบจะไม่มีใครไม่รู้เรื่องนี้
“ได้ยินหรือยัง ฝ่ายครัวไฟสร้างเรื่องใหญ่แล้ว!!”
“พวกเขาคงจะจนกรอบกันแทบบ้าแล้ว ถึงได้กล้าทำเรื่องเช่นนี้ สวรรค์ ขายตำแหน่งศิษย์นอกฝ่าย! เกินไปแล้ว ทำไมก่อนหน้านี้ข้าไม่คิดได้อย่างนี้บ้างนะ!”
“ฝ่ายครัวไฟเนี่ยข้าได้ยินมานานแล้วว่าทุกคนที่อยู่ในนั้นล้วนมีเบื้องหลัง ล้วนเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับภายในสำนัก ไม่งั้นแต่ละคนจะกินกันจนตัวอ้วนน่าโมโหอย่างนั้นได้ยังไง!” ในเขตงานนักการ ทุกฝ่าย ทุกคน ดูเหมือนจะวิพากษ์วิจารณ์ถึงฝ่ายครัวไฟกันทั้งวัน
ช่วงหลายวันมานี้ฝ่ายครัวไฟก็สงบเสงี่ยมกันลงไปเยอะ ทุกคนแทบจะไม่มีใครออกไปข้างนอกเพียงลำพัง จนกระทั่งช่วงสายัณห์ของวันหนึ่งหลังจากที่ผ่านมาหลายวัน ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังเทน้ำข้าวลงไปในถ้วยใหญ่ก้นหนาแต่ละใบนั้น ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังลอยมาจากทางเส้นเล็กด้านนอก
“คนฝ่ายครัวไฟออกมานี่ ฝ่ายตรวจการได้รับคำสั่งให้มาตรวจสอบพวกเจ้าเรื่องเส้นทางทดสอบ!” ตอนที่น้ำเสียงเย็นยะเยียบลอยมาอย่างกะทันหัน ประตูใหญ่ของฝ่ายครัวไฟก็ถูกคนถีบออก
ประตูใหญ่ถูกถีบเสียงดังโครม ลูกศิษย์นักการที่สวมชุดฝ่ายตรวจการสิบกว่าคนบุกเข้ามาจากนอกประตู ผู้นำของพวกเขาก็คือชายร่างใหญ่แข็งแรงบึกบึนที่ก่อนหน้านี้ออกหน้าให้สวีเป่าไฉคนนั้น
“ข้าก็ว่าทำไมวันนี้ตอนเช้าถึงได้ยินเสียงอีการ้องอีกแล้ว ที่แท้ก็เจ้าเฉินเฟยที่มาอีกแล้วนี่เอง” จางต้าพั่งและป๋ายเสี่ยวฉุนมองหน้ากัน ต่างก็ทำท่าเหมือนไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร มองไปที่กลุ่มคนจากฝ่ายตรวจการท่าทางดุดันที่เดินเข้ามาด้วยสายตาเรียบนิ่งเหมือนกับคนอ้วนอื่นๆ
เฉินเฟยหัวเราะเสียงเย็น สายตามองจางต้าพั่งหนึ่งที แล้วก็กวาดไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอีกหนึ่งที ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วฉับ คนของฝ่ายครัวไฟที่เห็นในตอนนี้ดูสงบเกินไป
ระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ในใจเขาฮึกเหิมเป็นอย่างมาก คิดไปว่าในที่สุดตัวเองก็จับจุดอ่อนของฝ่ายครัวไฟได้แล้ว สามารถกำจัดฝ่ายครัวไฟได้ในหมัดเดียว สิ้นสุดการชิงดีชิงเด่นภายในของทั้งสองฝ่ายที่ยืดเยื้อมาหลายปีได้เสียที
“แสร้งทำเป็นสงบนิ่ง!” เฉินเฟยหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ แววตาเผยความเฉียบขาด เอ่ยปากดุดัน
“ฝ่ายครัวไฟ ข้าผู้แซ่เฉินขอถามพวกเจ้า การทดสอบนักการเพื่อเลื่อนขั้นเป็นศิษย์นอกฝ่ายเมื่อหลายวันก่อน พวกเจ้าเก้าคนได้เข้าร่วมหรือไม่!”
“เข้าร่วม” จางต้าพั่งพูดด้วยรอยยิ้ม
“เข้าร่วมก็ดีแล้ว พาตัวไป!” เฉินเฟยไม่พูดมากอีก มือขวายกขึ้นมาชี้ นักการฝ่ายตรวจการสิบกว่าคนที่อยู่ด้านหลังก็บุกออกมาในทันที ในมือถือห่วงโซ่เหล็ก เหมือนจะจับกุมเอาตัวคนของฝ่ายครัวไฟไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นภาพนี้ ก็พูดด้วยเสียงหัวเราะ
“ฝ่ายตรวจการนี่จัดการได้ทุกเรื่องเลยรึ จำกัดคุณสมบัติในการเป็นศิษย์นอกฝ่ายของพวกเราได้ด้วย น่าเกรงขามเสียจริง”
เฉินเฟยมองป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจมีภาพกระบี่บินของป๋ายเสี่ยวฉุนลอยขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อโบกมือกลุ่มคนข้างกายก็หยุดชะงักลง เขาจ้องเขม็งไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็ค่อยๆ หรี่ตาลง
“ในเมื่อศิษย์น้องป๋ายไม่ยอมรับ ถ้าเช่นนั้นข้าผู้แซ่เฉินก็จะถามเจ้าอีกหนึ่งประโยค พวกเจ้าฝ่ายครัวไฟขวางกั้นทางออกของเส้นทางทดสอบ ขายตำแหน่งกันต่อหน้าคนมากมาย ในเมื่อพวกเจ้ากล้าทำ แล้วกล้ารับหรือไม่!”
“กล้ารับแน่นอนอยู่แล้ว พวกเรานี่แหละทำ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตอบอย่างไม่สะทกสะท้านด้วยท่าทางน่าเอ็นดู พยักหน้าติดต่อกัน แถมยังชี้ไปที่พวกจางต้าพั่งด้วย
“พวกเขาก็ทำเหมือนกัน”
“ถูกต้อง พวกเราทำกันทุกคน มีอะไรไหม!” พวกจางต้าพั่งยอมรับ หัวเราะฮ่าๆ
ภาพนี้ทำให้เฉินเฟยหน้าเปลี่ยนสี เขานึกไม่ถึงว่าคนของฝ่ายครัวไฟจะกล้ายอมรับเช่นนี้ ในความคิดของเขา นี่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องผ่านการชิงไหวชิงพริบกันอย่างยากลำบากเสียก่อน ถึงจะทำให้คนของฝ่ายครัวไฟยอมรับอย่างไม่มีทางเลี่ยง
ในเวลานี้เขารู้สึกประหลาดใจ ในใจแอบรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ดังนั้นจึงไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไป คำรามเสียงต่ำหนึ่งครั้ง
“ดีๆๆ ในเมื่อยอมรับแล้ว ข้าก็ไม่ต้องเหนื่อยถามต่อ ถ้าอย่างนั้นก็ตามข้าไปที่ศาลาพิพากษ์เสีย หากใครกล้าต่อต้าน ตามกฎจะต้องโดนขับออกจากสำนัก!”
เฉินเฟยพูดไป ตัวก็กระโจนขึ้นตรงดิ่งไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน กลุ่มคนด้านหลังของเขาก็พากันบุกเข้ามา
แต่ในเวลานี้มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยกขึ้นอย่างฉับพลัน ระหว่างที่ทำมุทราแสงของกระบี่เล่มหนึ่งก็ลอยลอดออกมาจากชายแขนเสื้อ กระบี่ไม้สีรุ้งเล่มนั้นลอยออกมาในชั่วพริบตา คำรามก้องกังวาลอยู่ระหว่างฝ่ายครัวไฟและฝ่ายตรวจการ ไอเย็นยะเยือกแผ่กระจาย ทำให้ฝีเท้าของของเฉินเฟยหยุดชะงักลง สีหน้าเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดในทันที
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ากล้าต่อต้าน!”
“ศิษย์พี่เฉิน ฝ่ายตรวจการมีสิทธิ์สอบถาม แต่มีสิทธิ์อะไรมาจับกุมตัวคนอื่น?”
“หึ พวกเจ้าล้วนยอมรับแล้วว่าทำผิดกฎของสำนัก ข้าย่อมมีสิทธิ์จับกุมตัวพวกเจ้าอยู่แล้ว!”
“ไม่ทราบว่าพวกเราทำผิดกฎสำนักข้อไหนรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถามด้วยรอยยิ้มพร่างพราย พวกจางต้าพั่งเองก็หรี่ตา มุมปากเผยรอยยิ้มเย็นชา มองไปที่เฉินเฟย
“พวกเจ้าขายตำแหน่งศิษย์นอกฝ่าย ทำผิดกฎข้อที่…เอ่อ?” เฉินเฟยกำลังพูด ทันใดนั้นก็หยุดลง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว หน้าผากค่อยๆ มีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา
เขาค้นพบอย่างฉับพลันว่า ในกฎของสำนักไม่มีข้อที่ระบุว่าไม่อนุญาตให้ผู้อื่นขายตำแหน่งศิษย์นอกฝ่ายของเส้นทางทดสอบ… เพราะเรื่องแบบนี้ น้อยคนนักที่จะคิดได้ และต่อให้คิดได้ ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะทำ…
“ศิษย์พี่เฉินทำไมเหงื่อออกเสียล่ะ สรุปว่าพวกเราทำผิดกฎข้อไหนกันแน่ ท่านพูดมาสิ หรือว่าพวกเราไม่ได้ทำผิดกฏอะไร แต่เป็นศิษย์พี่เฉินเองที่โกหกศาลาพิพากษ์ คิดชำระแค้นส่วนตัว ที่มาที่นี่ก็เพื่อตั้งศาลเตี้ยลงโทษพวกเราเสียเอง? ศิษย์พี่เฉิน ที่ท่านทำเนี่ยมันผิดกฎข้อที่สิบเอ็ดฉบับที่เก้าของสำนักอยู่นะ ตามกฎแล้ว บทลงโทษมิใช่เบาๆ เลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนทำสีหน้าประหลาดใจ หลังจากถามกลับหนึ่งประโยคจบ น้ำเสียงก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ในใจชื่นมื่นอยู่กับตัวเอง
“เจ้าพูดเหลวไหล ข้า…” เวลานี้ไม่ใช่แค่เฉินเฟยเท่านั้นที่หน้าเปลี่ยนสี นักการฝ่ายตรวจการคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังเขาก็ล้วนตระหนักถึงปัญหาเช่นกัน แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยนไปในพริบตา
และในเวลาเดียวกันนั้น จางต้าพั่งก็แสยะยิ้มยกมือทั้งสองข้างขึ้นถูดังแกรกกรากสามสี่ที แววตาของศิษย์พี่ตัวอ้วนคนอื่นๆ ก็เผยความเอาเรื่อง เดินเข้าไปหากลุ่มของฝ่ายตรวจการ
“เฉินเฟย เจ้าทำผิดกฎของสำนัก ศาลาพิพากษ์เป็นฝ่ายรับผิดชอบ ตอนนี้เจ้าทำประตูใหญ่ที่บรรพบุรุษจำนวนนับไม่ถ้วนของฝ่ายครัวไฟเราสร้างมาพัง จะชดใช้ยังไง วันนี้เจ้าต้องให้ความกระจ่างกับพวกเราให้ได้!” จางต้าพั่งแสยะยิ้ม พลังอำนาจพุ่งพรวดขึ้นสูงในฉับพลัน
ในเมื่อพวกเขากล้าไปกั้นขวางเส้นทางทดสอบ แน่นอนว่าต้องเตรียมตัวมาอย่างรอบคอบ ตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อนตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเสนอความคิดนี้ขึ้น พวกเขาก็ได้ศึกษากฎของสำนักกันจนขึ้นใจ ถึงได้กล้าทำเรื่องใหญ่แบบนี้ได้
“ตี!” ที่ติดตามคำพูดของจางต้าพั่งมา คือร่างกายใหญ่โตดั่งภูเขาเนื้อของเขา ทำให้พวกเฉินเฟยหวาดผวา
เวลาต่อมา เสียงทุบตีตุบตับก็ดังไปทั่วลานกว้าง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนแวบออกไป ยืนพิงอยู่บนกำแพงรั้วของลานด้วยความเคยชิน สะบัดปลายเสื้อแขนสั้นหนึ่งที มือสองข้างไพล่หลัง แสร้งทำเป็นมองออกไปไกลคล้ายครุ่นคิดลึกซึ้ง ทำสีหน้าท่าทางเป็นยอดฝีมือที่เบื่อหน่าย เสร็จธุระแล้วออกมายืนดูเฉย
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ดีดนิ้ว ฝ่ายตรวจการก็สิ้นราบพณาสูร…”
———-



