บทที่ 506 ผนึกมิวางวายที่แท้จริง
วิชาอมตะมิวางวายในบทมิวางวายนี้ขอแค่มีพลังชีวิตที่มากพอก็สามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกได้อย่างต่อเนื่องไร้ขีดจำกัด ในจุดนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้มาตั้งนานแล้ว
ตลอดทางที่เดินมา เขายิ่งเข้าใจดีว่าทรัพยากรมากมายที่ตนต้องเผาผลาญไประหว่างการฝึกวิชาอมตะมิวางวายนี้มากพอจะทำให้คนที่ได้ยินตะลึงตาค้าง ต้องรู้ว่าต่อให้เป็นสำนักสยบธารก็ยังประคับประคองเขาไม่ไหว เกรงว่าคงมีเพียงสำนักต้นน้ำอย่างสำนักอันตมรรคาฟ้าดารานี้เท่านั้นถึงจะมีทรัพยากรมากพอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกวิชานี้ได้
ทว่านี่ยังเป็นเพียงแค่ขั้นที่สามของบทมิวางวาย ยังอยู่เพียงแค่ระดับของเอ็นคงกระพันเท่านั้น หลังจากนี้ยังมีกระดูกคงกระพันและเลือดคงกระพันอีก พอจะจินตนาการได้เลยว่าพลังชีวิตที่อีกสองขั้นนั้นต้องการย่อมมากจนเกินกว่าใครจะคาดคิดแน่นอน
“สนมากขนาดนั้นไม่ได้แล้ว!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแววเด็ดเดี่ยว
เวลานี้เมื่อเรือนกายกลายมาเป็นน้ำวนที่ดูดซับเอาพลังแห่งชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่ในยาก่อกำเนิดออกมาอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นร่างของเขาก็แผ่ไอความร้อนแผดเผาออกมา แต่ความร้อนนี้กลับไม่ส่งผลกระทบต่อชั้นน้ำแข็งด้านนอก แค่แผ่ขยายอยู่ท่ามกลางเลือดเนื้อในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น
เมื่อมันกระจายออก เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเส้นชีพจรในร่างของตัวเองกำลังสร้างตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และท่ามกลางการสร้างตัวนั้น แสงสีดำก็ปกคลุมไปทั่วเรือนกาย คลื่นพลังกล้ามเนื้อที่ยิ่งแข็งแกร่งก็ล้อมวนขึ้นมาบนร่างของเขา
อีกทั้งเมื่อรวมอยู่กับแขนขาทั้งสี่จึงกลายมาเป็นตราผนึกอย่างหนึ่งที่ทำให้ร่างของเขาผลุบๆ โผล่ๆ!
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปอีกนานเท่าไหร่ เมื่อดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกโพลงขึ้น เรือนกายของเขา แขนขาทั้งสี่ของเขา ตลอดทั้งร่างนอกจากศีรษะแล้วล้วนระเบิดแสงสีดำเจิดจ้า ภายใต้แสงสีดำนั้น ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนทุ้มหนัก นัยน์ตาฉายแสงคมกล้า เขาสัมผัสได้ว่าเวลานี้พลังกล้ามเนื้อของเรือนกายเขาแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นจากเดิมเยอะมาก
และนี่ยังไม่ใช่จุดที่สำคัญที่สุด จุดสำคัญที่สุดก็คือเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของตัวเองเบาขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า อีกทั้งยังมีความรู้สึกเหมือนว่าแค่ตนขยับตัวเบาๆ ก็สามารถแล่นแหวกอากาศไปได้เลย
ความรู้สึกนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกตะลึงระคนแปลกใจ เขาข่มกลั้นความวู่วามที่ต้องการทดลองเอาไว้ หลังจากรับสัมผัสถึงกล้ามเนื้อของตัวเองอีกครั้งก็พลันสูดลมหายใจ
“นี่คือ…” สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งตะลึงทั้งปิติยินดี เขามีความรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะสัมผัสได้ถึงพันธนาการแห่งชีวิต!
ความรู้สึกนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม ขณะที่กำลังจะถือโอกาสขยายวิชาอมตะมิวางวายไปที่ศีรษะพร้อมกันรวดเดียว แต่พลังชีวิตของยาก่อกำเนิดเม็ดนั้นกลับไม่พอและค่อยๆ สลายหายไปช้าๆ
“น่าเสียดาย” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมากด้วยความตื่นเต้น
“ยาอายุวัฒนะขั้นสมบูรณ์แบบ วิชาอมตะมิวางวายเกือบจะฝึกเสร็จสมบูรณ์แล้ว ข้าในตอนนี้จะยังมีรวมโอสถคนไหนกล้ามาหาเรื่องอีก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะร่า ลุกพรวดขึ้นยืน ถือโอกาสรับสัมผัสกับความรู้สึกที่เหมือนร่างจะแหวกอากาศโดยการเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างไม่ระงับตบะเอาไว้
วินาทีที่เขาเดินออกมานั้นเอง ชั้นน้ำแข็งเบื้องหน้าเขาก็มีเสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ก่อนที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนจะ…หายวับไป!
ชั่วขณะที่เขาหายตัวไปนั้น ชั้นน้ำแข็งรอบด้านพลังบังเกิดรอยปริแตกหลายเส้น รอยแตกนี้แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็กระจายไปทั่วทั้งหอเรือน และเมื่อขยายมาถึงด้านนอกจนทั่วทั้งสนามมันก็ยังไม่สิ้นสุด ยังคงกระจายอย่างต่อเนื่อง รอยแตกเหล่านั้นเป็นเหมือนมังกรน้ำแข็งที่เวลาแค่สิบกว่าลมหายใจก็แตกไปทั่วหอกงเจี่ย!
เสียงเปรี๊ยะๆ ดังสะเทือนเลือนลั่นปฐพีจนนักพรตกองถลกหนังที่เฝ้าพิทักษ์อยู่รอบด้านพากันพรั่นพรึง พวกจ้าวหลงก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ เมื่อมองไป หอกงเจี่ยที่กลายมาเป็นภูเขาน้ำแข็งก็มีแต่รอยแตกจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่นานเสียงตูมดังหนึ่งครั้งทั้งภูเขาน้ำแข็งก็พังทลายลง!
ที่แตกไปพร้อมกันยังมีพืชหญ้าทุกต้น เตาหลอมยาทุกเตา หรือแม้แต่หอเรือนที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ก่อนจะกลายมาเป็นลมพายุบ้าคลั่งที่พัดสะเทือนไปแปดทิศ
คนจำนวนนับไม่ถ้วนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ พากันหันไปมองด้วยความสะพรึงกลัว แต่ทุกคนกลับค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าพวกเขาไม่เห็นเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในหอเรือนที่พังทลายนั้น
“ปรมาจารย์หายไปไหนแล้ว?”
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!” พวกจ้าวหลงอึ้งค้าง พุ่งตัวออกไปดูรอบๆ หอเรือนที่พินาศวอดวายพร้อมกับหลิวลี่ ทว่าที่นั่นเขาก็ยังคงมองไม่เห็นเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
และขณะที่พวกเขากำลังตามหาป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่นั้น นอกกำแพงเมือง บนสนามรบก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีสงครามเกิดขึ้น แต่พื้นดินของที่นี่กลับมีแต่ซากปรักหักพัง แม้ว่าศพที่เกลื่อนพื้นจะถูกเก็บกวาดไปแล้ว แต่ความโหดร้ายที่เกิดขึ้นหลังผ่านการสั่งสมมาหลายปีก็ยังคงทำให้พื้นที่แห่งนี้เป็นเหมือนปลักอเวจี
มีเพียงสัตว์เล็กๆ ที่ชอบกินเนื้อของแดนทุรกันดารบางส่วนเท่านั้นที่จะเข้าๆ ออกๆ พื้นที่แห่งนี้เพื่อขุดเอาซากกระดูกที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินขึ้นมาแทะกัดกินเสียงดังกร้วมๆๆ
บัดนี้บนพื้นแผ่นดินที่ราวกับนรกภูมิพลันมีคลื่นชั้นหนึ่งกระเพื่อมไหวกลางอากาศ ดูเหมือนว่าคลื่นนี้จะไม่มั่นคงอย่างมาก หลังจากที่ปรากฏขึ้นยังมีแสงสีดำแผ่กระจายออกมา มองไกลๆ ไปก็คล้ายก่อเกิดขึ้นเป็นอักขระบางอย่าง
พวกสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่กินเนื้อเน่าเปื่อยอยู่รอบด้านพากันตกใจรีบหนีหัวซุกหัวซุนไปรอบทิศ ไม่กล้าเข้าใกล้ เวลาเดียวกันนั้น นักพรตที่พิทักษ์อยู่บนกำแพงเมืองก็สังเกตเห็นจึงหันมามองด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างพร้อมเพรียงกัน หรือแม้แต่รถศึกคันหนึ่งที่จอดไว้ข้างๆ ก็ยังถูกคนเปิดใช้จนเปล่งประกายแสงเจิดจ้าพร้อมสาดแสงไปดับทำลายได้ทุกเมื่อ
และเวลานี้เอง คลื่นกระเพื่อมที่บิดเบือนราวกับฟองน้ำเกิดเสียงดังปังหนึ่งครั้งก่อนจะแตกกระจายออก จากนั้นเงาร่างหนึ่งก็วิ่งโซซัดโซเซออกมาจากด้านใน เพิ่งจะปรากฏตัว ดวงตาของนักพรตบนกำแพงเมืองก็เปล่งไอสังหารทันที ขณะที่กำลังจะลงมือกลับมีคนตาดีร้องอุทานเสียงหลง
“ปรมาจารย์ป๋าย!!”
“นั่นมันป๋ายเสี่ยวฉุน!!” พวกนักพรตที่พิทักษ์อยู่บนกำแพงเมืองพากันผ่อนลมหายใจ มองไปยังเงาร่างที่อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมากลางสนามรบอย่างไม่มีปี่มีขลุยด้วยความเหลือเชื่อเล็กน้อย
เงาร่างนั้นก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน!
ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะปรากฏตัว สีหน้าเขายังคงมีความงุนงง แต่พอมองไปรอบด้านแล้วตระหนักได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน หนังหัวของเขาก็ชาหนึบทันที
“มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนกทันใด กลัวว่ารอบกายจะมีฝูงผู้ฝึกวิญญาณโผล่ออกมา ดังนั้นจึงรีบบินเข้าหากำแพงเมือง
“ให้ข้าเข้าไป!” ตอนที่บินเข้าใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็โหวกเหวกเสียงดังไปด้วย เห็นว่านักพรตบนกำแพงเมืองทำท่าละล้าละลัง เขาจึงรีบหยิบแผ่นหยกตัวตนโยนออกไป เมื่อตัวตนได้รับการพิสูจน์เขาจึงได้เข้าไปในม่านแสงค่ายกล กลับไปยังกำแพงเมืองอีกครั้ง
“ปรมาจารย์ป๋าย ท่าน…ท่านออกไปได้อย่างไร?”
“พวกเราไม่เห็นใครออกไปเลย อีกอย่างหากต้องการจะออกจากกำแพงเมืองก็ต้องมีคำสั่งของท่านแม่ทัพ!” นักพรตรอบด้านหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ละคนมองเขาด้วยสายตาสงสัย ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่เปิดปากถาม
“เอ่อ…อุบัติเหตุน่ะ อุบัติเหตุ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เวลานี้กลับเข้ามาในกำแพงเมืองแล้ว ความตึงเครียดของใจเขาก่อนหน้านี้ถึงได้สงบลง เดิมทีเขาอยู่ในหอเรือนของหอกงเจี่ย เพื่อทดลองความรู้สึกที่คล้ายจะแหวกอากาศได้เขาก็เลยก้าวออกมาหนึ่งก้าว แต่นึกไม่ถึงว่าก้าวเดียวนี้ของเขากลับทำให้เขาเหยียบย่างเข้าไปในความว่างเปล่าที่มืดมิด
ในความว่างเปล่านั้น เขารู้สึกเหมือนร่างกายจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความหวาดกลัวจึงรีบดิ้นรน กว่าจะหลุดพ้นออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กลับกลายเป็นว่ามาตกอยู่บนสนามรบนอกกำแพงเมืองเสียนี่
ตอนนี้มาย้อนนึกดูเขาก็ยังหวาดผวาไม่คลาย หลังจากอธิบายอยู่พักหนึ่งจึงรีบไปจากกำแพงเมืองทันที
“อันตรายเกินไปแล้ว ต่อไปจะเสี่ยงอันตรายแบบนี้ไม่ได้อีก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็ยิ่งหวาดกลัว แต่พอครุ่นคิดว่าตัวเองถึงขนาดลอดผ่านม่านแสงค่ายกลของกำแพงเมืองไปปรากฏอยู่ที่โลกภายนอกก็รู้สึกว่าเวทลับนี้คล้ายคลึงกับการเคลื่อนที่เหนือความเร็วแสงอยู่มาก
“แต่ก็เหมือนว่าจะไม่ใช่…เพราะอย่างไรซะหากไม่ใช่ตอนเกิดสงครามที่กำแพงเมืองและม่านแสงค่ายกลได้รับพลังเสริมจากดวงตายักษ์จึงปล่อยให้นักพรตห้ากองทัพลอดทะลุออกไปแล้ว ในเวลาปกติ หากจะออกไปก็จำเป็นต้องมีป้ายคำสั่งอยู่ในมือ ตอนเข้ามาก็ต้องมีเหมือนกัน”
“แต่ดูเหมือนว่า…ข้าจะ…ออกไปทั้งอย่างนั้นเลย?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ รู้สึกได้รำไรว่าวิชาอภินิหารที่ก่อเกิดขึ้นมาจากเอ็นคงกระพันของตนนี้ออกจะพิลึกพิลั่นไปหน่อย
“หรือว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นผนึกมิวางวายที่แท้จริง? ปิดผนึกทุกสิ่งอย่าง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ใคร่ครวญว่าควรจะทดลองอีกทีดีไหม แต่พอนึกถึงความรู้สึกที่ร่างกายตัวเองจะแตกสลายอยู่ในความว่างเปล่าเขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ทันที
“ไม่ได้ อันตรายเกินไป ต่อให้อยากจะทดลองก็ต้องรอให้เอ็นคงกระพันของข้าฝึกสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบจนฝ่าทะลุพันธนาการก่อนถึงจะลองได้อีกครั้ง” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดศีรษะอย่างแรง เพิ่งจะเข้ามาใกล้พื้นที่ของหอกงเจี่ยก็มองเห็นทันทีว่าพวกจ้าวหลงกำลังหาตัวเขากันให้ควั่ก รอจนมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วพวกจ้าวหลงถึงได้คลายใจลงได้
“ยินดีกับท่านปรมาจารย์ด้วยที่ตบะฝ่าทะลุ!”
“ท่านปรมาจารย์ ท่านว่าที่นี่…จะให้พวกเราซ่อมแซมใหม่หรือไม่?” พวกจ้าวหลงรีบคารวะ ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาลึกล้ำสุดจะหยั่ง ทั้งๆ ที่กำลังฝึกบำเพ็ญตบะแต่กลับหายตัวไปอย่างน่าแปลกใจท่ามกลางการคุ้มกันของทุกตน
ตอนนี้หอกงเจี่ยอยู่อาศัยไม่ได้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นผู้บังคับกองพันกองถลกหนังจึงมีพื้นที่เป็นของตัวเอง เขาเลยถือโอกาสโบกมือแล้วกล่าวว่า
“ไม่อยู่ที่นี่แล้ว พวกเราไปพื้นที่ของข้ากัน!”



