ตอนที่ 952
เก้าภูเขายมโลก
“มีร่องรอยของพันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูรอยู่ที่นี่!!” จิตใจเมิ่งฮ่าวหมุนคว้าง เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าพันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูรจะเกี่ยวข้องกับดินแดนบรรพบุรุษของตระกูลฟางได้
“หวนคืน…เสียงเมื่อครู่นี้กล่าวคำว่า ‘หวนคืน’!!” เมิ่งฮ่าวเริ่มสูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนักหน่วง ขณะที่เสียงโบราณของแผ่นหยกผนึกอสูรจางหายไป อย่างไรก็ตามเสียงเรียกที่ดังออกมาจากส่วนลึกของดินแดนบรรพบุรุษ ก็ยังคงดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
เสียงเรียกนั้นทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกเหมือนกับได้พบกับผู้ฝึกตนจากพันธมิตรเดียวกัน เป็นสิ่งที่มีแต่กลุ่มคนในพันธมิตรผู้ผนึกอสูรเท่านั้นที่จะสามารถรู้สึกได้ในที่แห่งนี้
ทันใดนั้น ก็มีเสียงใหม่อีกเสียงดังก้องขึ้นมาในหูของเมิ่งฮ่าว เสียงนี้ไม่ได้เก่าแก่โบราณ แต่เป็นเสียงที่เหมือนกับบุรุษหนุ่มเยาว์วัย
“เก้าเวทผนึกอสูร อาณาจักรขุนเขาทะเล เก้าเวทรวมเป็นหนึ่ง สวรรค์ไม่มีทางรู้…”
จิตใจเมิ่งฮ่าวเริ่มเต้นรัวอย่างที่ไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้ และกลิ่นอายรอบๆ ตัวเขาก็เปลี่ยนไปในทันที ราวกับว่ากระแสปราณอสูรนับไม่ถ้วนกำลังพุ่งตรงมาที่เขา พร้อมกับเสียงแผดร้องคำรามของอสูรผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมาก
หลังจากนั้นเสียงก็จางหายไป แต่เมิ่งฮ่าวรู้สึกได้ถึงเสียงเรียกที่ดังขึ้นมากกว่าเดิม
เขาหอบหายใจออกมา ในที่สุดก็หันหน้ามองเข้าไปในส่วนลึกของดินแดนบรรพบุรุษ ที่ห่างไกลออกไป เขามองเห็นเป็นภาพของภูเขาขนาดใหญ่เก้าลูกอย่างเลือนลาง
เสียงเรียกที่ดังออกมานั้น…มาจากที่ไหนสักแห่งในภูเขาทั้งเก้าเหล่านั้น!
ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบขึ้นขณะที่คิดไปถึงเสียงเรียก ซึ่งเหมือนกับที่เขารับรู้ได้ตอนที่อยู่ในเศษซากเซียน และรู้สึกค่อนข้างจะกังวลใจ มีเรื่องราวอีกมากมายเกี่ยวกับพันธมิตรผู้ผนึกอสูรที่เขายังไม่เข้าใจ ในฐานะที่เป็นผู้ผนึกอสูรรุ่นที่เก้า เขาต้องการจะรู้ว่า…เป้าหมายที่แท้จริงของพันธมิตรผู้ผนึกอสูรคืออะไรกันแน่!
เมิ่งฮ่าวคิดย้อนกลับไปยังสิ่งที่ผู้ผนึกอสูรรุ่นหกได้บอกไว้ และคิดไปถึงเหตุการณ์อันน่ากลัวในเศษซากเซียน ซึ่งทำให้เขาต้องไปอยู่ในอันดับที่สิบสามโดยหญิงสาวชุดขาว รวมทั้งสิ่งบางอย่างที่แปลกเป็นอย่างมาก ในตอนที่หญิงสาวนางนั้นได้มองมาที่เขา
เมิ่งฮ่าวไม่มีทางที่จะลืมเลือนมันไปได้
เขารู้สึกว่าพันธมิตรผู้ผนึกอสูร…ได้ปกปิดความลับที่ทำให้สวรรค์ต้องสั่นสะท้านปฐพีต้องสั่นสะเทือนไว้อย่างที่ไม่อาจจะพูดออกมาได้ เป็นความลับที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจิ่วต้าซานไห่ (เก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่)
หลังจากที่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมิ่งฮ่าวก็ระงับจิตใจ ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่น และจ้องมองไปยังทิศทางของเสียงเรียกนั้นอย่างลึกซึ้ง ในที่สุดเขาก็หันร่างและโค้งตัวลงต่ำให้กับสุสานบรรพบุรุษที่อยู่ด้านหลังเขาทั้งหมดอีกครั้ง
สูงขึ้นไปในกลางอากาศ ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดไม่อาจจะได้ยินเสียงร้องเรียกใดๆ และไม่รู้สึกได้ถึงปราณอสูรที่หมุนวนอยู่รอบๆ ร่างเมิ่งฮ่าว แต่มันก็บอกได้ว่าเพิ่งจะมีบางอย่างแปลกๆ เกิดขึ้น และถึงแม้มันไม่อาจจะมองเห็นได้ว่าเป็นอะไร แต่ก็ทำให้ต้องรู้สึกตกใจขึ้นมา
“กลิ่นอายบนร่างของผู้เยาว์เมื่อครู่นี้…” แสงอันลึกล้ำได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของมัน ขณะที่เวลาเลื่อนผ่านไป ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ว่า เมิ่งฮ่าวเป็นผู้ที่มีความลับอันลึกล้ำมากขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นความลับที่ตัวมันเองไม่อาจจะรับรู้ได้
ขณะที่เมิ่งฮ่าวเดินทางออกไปยังที่ห่างไกล ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดก็มองกลับไปยังหลุมฝังศพของปรมาจารย์เสมือนเต๋า และถอนหายใจอย่างแผ่วเบาออกมา
“สิ่งที่มันกระทำมาทั้งหมดก็คือสับเปลี่ยนของเซ่นไหว้บางอย่างเท่านั้น มันไม่ได้ไปรบกวนหลุมฝังศพใดๆ และยังได้โค้งตัวลงอย่างมีสัมมาคารวะอีกด้วย และหลุมฝังศพที่มีเรื่องราวจารึกไว้มันก็ไม่ได้ไปแตะต้องสิ่งของใดๆ เลย…มันอาจจะละโมบโลภมากไปบ้าง แต่ก็มีจิตใจที่ดีงาม และรู้ว่าต้องปฏิบัติตนอยู่ในขอบเขต…”
“สักวันหนึ่ง เมื่อถึงเวลาที่ข้าต้องทำการดับตะเกียงวิญญาณดวงสุดท้าย ถ้าข้าล้มเหลว…ข้าจะสามารถรักษาจิตเต๋าของข้าไว้ได้หรือไม่ หลังจากที่ตายไปและนอนอยู่ในสุสานปรมาจารย์เสมือนเต๋าในที่แห่งนี้ พวกมันจะสร้างแผ่นป้ายศิลาตัวอักษรให้กับข้าบ้างหรือไม่…” ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดตระหนักดีว่า จุดประสงค์หลักของสุสานปรมาจารย์เสมือนเต๋าก็คือ ให้ผู้เยาว์รุ่นหลังได้เข้าใจอย่างชัดเจนถึงความบ้าคลั่งของอาณาจักรเสมือนเต๋า เพื่อเป็นการตักเตือนให้ใครก็ตามที่มีโอกาสจะก้าวเท้าเข้าไปในอาณาจักรเต๋า!
หลังจากที่ออกจากสุสานปรมาจารย์เสมือนเต๋า เมิ่งฮ่าวก็ไปนั่งอยู่ที่ด้านบนศีรษะของนักรบศิลา ซึ่งแหวกฝ่าอากาศไปอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเสียงแหลมเล็กขึ้น จุดแสงเล็กๆ ได้กระจายออกมาจากตัวของนักรบศิลาเป็นระยะ และจากนั้นก็หลอมรวมเข้าไปในอากาศที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น ต่อมาไม่นานพวกมันก็จะมาปรากฏขึ้นใหม่ และกลับเข้าไปในตัวของนักรบศิลาอีกครั้ง แทบจะราวกับว่ามันกำลังหายใจอยู่
เป็นบางสิ่งที่เมิ่งฮ่าวเพิ่งจะสังเกตเห็น ขณะที่เขาทำการควบคุมการเคลื่อนไหวของนักรบศิลา
ขณะที่เขามุ่งหน้าต่อไป การรับรู้ของเสียงร้องเรียกก็ยิ่งมีความเข้มข้นมากขึ้นเป็นระยะ และบางเวลาก็จะจางหายไป ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบขึ้น ถึงแม้ว่าสีหน้าเขาจะยังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนไป แต่ภายในใจ เขามีความระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
เนื่องจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับผู้ผนึกอสูรรุ่นหก ทำให้ตอนนี้เขารับรู้ได้ถึงเสียงระฆังแห่งการเตือนภัย
ขณะที่มุ่งหน้าต่อไป เมิ่งฮ่าวก็มองไปยังพื้นดินที่ด้านล่างเพื่อค้นหาโชควาสนา และทำการสำรวจดูนักรบโบราณไปด้วย ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่ามีบางสิ่งที่แปลกๆ เกี่ยวกับดินแดนบรรพบุรุษแห่งนี้
ราวกับว่ามีการสะท้อนเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา
การตระหนักนี้ทำให้การคาดเดาเริ่มก่อตัวขึ้นมาในจิตใจ หลังจากที่ผ่านไปสักพัก เขาก็ถอนหายใจและมองไปยังนักรบศิลา ครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาไม่ปรารถนาจะแยกจากมันไปในวันข้างหน้า
สองสามวันหลังจากนั้น อารมณ์เมิ่งฮ่าวก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้น เสียงเรียกนั้นยังคงชักจูงเขาต่อไป แต่เขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับมันแล้วและไม่สนใจมันอีก แทนที่จะรีบเดินทางไปตามเสียงเรียกนั้น เขากลับพยายามที่จะกวาดล้างโชควาสนาทั้งหมดในบริเวณรอบๆ นั้นไป
ยิ่งเขาได้สิ่งของมากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นเท่านั้น
ในที่สุด พื้นดินที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวก็กลายเป็นสีแดงเข้ม และเขาก็มองเห็นภูเขาเก้าลูก
เก้าภูเขายมโลก!
นี่คืออาณาเขตที่สี่ในดินแดนบรรพบุรุษตระกูลฟาง และถูกถือว่าเป็นดินแดนที่อยู่ลึกมากที่สุด จากสมัยโบราณมาจวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่อาจจะผ่านเก้าภูเขายมโลก และเข้าไปในพื้นหลุมฝังศพโบราณได้
ภูเขาทั้งเก้าสูงขึ้นไปในท้องฟ้า และเมื่อมองไปยังพวกมัน ก็แทบไม่อาจจะมองเห็นยอดสูงสุดของมันได้ ราวกับว่าพวกมันได้ทำการเชื่อมต่อท้องฟ้าและพื้นดินเข้าด้วยกัน
เสียงแผดร้องคำรามลอยออกมาจากภูเขาทั้งเก้าให้ได้ยินเป็นระยะ เป็นเสียงที่น่าสังเวชและอำมหิตโหดร้ายอย่างน่าตกใจจนถึงที่สุด
ในที่แห่งนี้มีบริเวณที่อันตรายอยู่มากมาย ในที่แห่งนี้มีอยู่หลายแห่งที่สามารถจะสังหารผู้คนไปได้อย่างง่ายดาย ซึ่งอันตรายเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากสัตว์อสูรที่ดุร้าย รวมถึงตัวภูเขาทั้งเก้าเองอีกด้วย
กลิ่นอายแห่งความตายอันเข้มข้นกระจายเต็มอยู่ในบริเวณนั้น และมาจากที่ห่างไกลออกไป เมิ่งฮ่าวมองเห็นกลุ่มหมอกสีเทาเป็นชั้นๆ ม้วนตัวไปมาอยู่รอบๆ ภูเขา เนื่องจากกลุ่มหมอกสีเทานี้ ทำให้ทั่วทั้งบริเวณนั้นดูเลือนลางลง และยากที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เมื่อตอนที่เขาเข้าไปใกล้เก้าภูเขายมโลก นกแก้วและผีโต้งก็ไล่ตามมาทัน ขนหลายเส้นของนกแก้วหายไป และดูกระเซิงอย่างแปลกประหลาด แต่สีหน้าของมันก็เต็มไปด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ขณะที่มันบินตรงมา ก็ไม่รอให้เมิ่งฮ่าวร้องตระโกนเรียก มันมองตรงไปยังภูเขาทั้งเก้า ได้ยินเสียงแผดร้องคำรามที่ดังออกมาจากภายในภูเขา และทันใดนั้นมันก็สั่นสะท้านขึ้นมาในทันที มีท่าทางตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด มันส่งเสียงร้องแหลมเล็กออกมา และจากนั้นก็พุ่งตรงไปยังภูเขา ร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ผีโต้งที่อยู่ในรูปแบบกระดิ่งก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งอยู่ตลอดเวลา
“เจ้าไม่อาจจะทำเช่นนี้! มันผิด! มันไร้ศีลธรรม! มันน่าละอายเป็นอย่างยิ่ง! ข้าจะเปลี่ยนแปลงเจ้า…” เสียงพล่ามของผีโต้งดังก้องออกมาจากที่ห่างไกลออกไป
เมิ่งฮ่าวมองไปยังนกแก้วชั่วขณะ และจากนั้นก็ไม่สนใจมันโดยสิ้นเชิง สถานที่แห่งนี้อาจจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่นกแก้วและผีโต้งก็มีความสามารถเพียงพอ และยากที่จะสังหารพวกมันไปได้
ที่เบื้องหน้าของเก้าภูเขายมโลก มีแท่นศิลาตัวอักษรที่มีความสูงประมาณหนึ่งพันจ้างตั้งอยู่ กระจายกลิ่นอายอันเก่าแก่โบราณที่บ่งบอกว่า มันได้คงอยู่มานานหลายปีจนนับไม่ถ้วนออกมา
บนแท่นศิลานั้นมีตัวอักษรอยู่สามแถว
“เก้าภูเขายมโลก เต็มไปด้วยของวิเศษที่ไม่มีวันหมดสิ้น ภูเขาแต่ละลูกเต็มไปด้วยโอกาสที่ไร้จุดสิ้นสุด ใครก็ตามที่เข้ามาในภูเขาก็จะมีโอกาสได้รับโชควาสนาและความสามารถศักดิ์สิทธิ์ไป!”
“พวกมันคือการทดสอบที่เต็มไปด้วยอันตราย สำหรับผู้ที่อยู่ต่ำกว่าอาณาจักรเซียน มีข้อจำกัดอยู่ที่ครึ่งท่อนแรกของภูเขา สำหรับผู้ที่อยู่ในอาณาจักรโบราณ สามารถจะดำเนินการไปได้สามภูเขา ถ้าสามารถผ่านไปได้ทั้งเก้าภูเขา ก็จะได้ครอบครองเวทลับแห่งจันทร์อเวจี!”
“ลูกหลานตระกูลฟางสามารถใช้สายโลหิตของตนเอง เพื่อเปิดเส้นทางเข้าไปสู่ภูเขา ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นหรือตายก็ขึ้นกับโชคชะตาของแต่ละคน!”
คำพูดนี้ไม่ได้กล่าวถึงใครโดยเฉพาะ แต่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยแรงกดดันอันเข้มข้น บ่งชี้ให้เห็นว่าใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ก็จะต้องไปเผชิญหน้ากับอันตรายที่ร้ายแรง
เมิ่งฮ่าวมองไปยังภูเขาทั้งเก้า และสีหน้าแปลกๆ ก็มองเห็นได้บนใบหน้า อย่างช้าๆ ดวงตาเริ่มส่องประกายออกมา พร้อมกับเลียริมฝีปาก จ้องมองลงไปยังนักรบศิลา จากนั้นมันก็เริ่มหดตัวเล็กลงไปอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตามันก็มีขนาดประมาณแค่สามจ้างเท่านั้น
“ดินแดนบรรพบุรุษนี้คือดินแดนวาสนาของข้าจริงๆ!” สำหรับสมาชิกของตระกูลคนอื่นๆ สถานที่แห่งนี้มีอันตรายอย่างร้ายแรง แต่สำหรับเมิ่งฮ่าวแล้ว นี่ไม่ใช่เก้าภูเขาอันตราย แต่พวกมันคือเก้าภูเขาสมบัติ
เขาตบลงไปยังถุงสมบัติ หยิบเอาแผ่นหยกสายโลหิตออกมา หลังจากที่ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดผ่านมันไป เขาก็ยิ้มออกมา
ผู้อาวุโสอาณาจักรโบราณทั้งเจ็ด ต่างก็กระจัดกระจายออกไปในทิศทางที่แตกต่างกัน หนึ่งในพวกมันอยู่ที่ด้านในของเก้าภูเขายมโลก เห็นได้ชัดว่ามันพยายามที่จะได้รับโชควาสนาบางอย่างอยู่ภายในนั้น แต่ก็ต้องจบลงด้วยการติดอยู่ในกับดัก และไม่อาจจะช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นออกมาได้
“ไม่จำเป็นต้องกังวลใจ ข้าจะค่อยๆ ไปค้นหาเจ้าเอง” ดวงตาเมิ่งฮ่าวเริ่มสาดประกายแสงอันเจิดจ้าขึ้น และเขาก็กระแอมไอออกมา ทันใดนั้นนักรบศิลาก็เริ่มเดินตรงเข้าไปในภูเขา
เมิ่งฮ่าวรีบลอยตัวไปนั่งอยู่บนไหล่ของรูปปั้น ขณะที่มันเริ่มพุ่งตรงไป
“ทดสอบไปทีละภูเขา และจากนั้นก็กวาดเอาของวิเศษจากเก้าภูเขามาให้หมด…” ความคิดนี้ได้พุ่งขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นในทันที
ขณะที่นักรบศิลาพุ่งตรงไป ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดก็ถอนหายใจ และมองไปอย่างหมดหนทาง เมื่อมันเห็นแสงอันเจิดจ้าอยู่ในดวงตาของเมิ่งฮ่าว มันก็เริ่มพึมพำกับตนเอง
“สำหรับมันแล้ว นี่คือภูเขาสมบัติของมันจริงๆ สารเลวน้อยนั่นมีผู้พิทักษ์เต๋าคอยปกป้องมัน ช่วยให้มันสามารถจะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ!”
“ตอนนี้เมื่อคิดไปแล้ว ถ้าข้ามีผู้พิทักษ์เต๋าคอยปกป้องข้า ตอนที่มายังที่แห่งนี้ในครั้งแรก แล้วข้าจะปล่อยให้สมบัติในภูเขาเหล่านี้ ต้องตกไปอยู่ในมือของคนอื่นได้อย่างไรกัน?” มันไม่อาจจะทำอะไรได้ ดังนั้นปรมาจารย์รุ่นเจ็ดได้แต่ต้องทำจิตใจให้เยือกเย็น มองไปยังเมิ่งฮ่าวที่พุ่งเข้าไปในภูเขาพร้อมกับนักรบศิลา และถอนหายใจออกมา
เวลาผ่านไป เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่บนไหล่ของนักรบศิลา ซึ่งได้กวัดแกว่งกระบี่เล่มใหญ่ของมันไปตลอดทาง ขณะที่พุ่งเข้าไปในภูเขาแรก เมื่อพวกเขาพบเจอกับเวทป้องกัน ก็แค่ทำลายมันไป เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับสัตว์อสูร ก็จะจัดการพวกมันไป เมื่อพวกเขาพบเจอกับสิ่งกีดขวาง ก็จะบดขยี้พวกมันให้กลายเป็นเสี่ยงๆ
ไม่มีอะไรจะสามารถมาขัดขวางเส้นทาง และหยุดยั้งพวกเขาได้!
สิ่งต่างๆ ไม่ได้ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย แต่สามารถกล่าวได้ว่า ภูเขาแรกเต็มไปด้วยเสียงแผดร้องอย่างน่าอนาถใจและเสียงกระหึ่มกึกก้อง
“อืม! ก้อนศิลานั่นได้แกะสลักวิชาเวทไว้! ช่างเป็นสิ่งของที่ดีจริงๆ! ข้าจะเก็บมันไว้!”
“ใครกันช่างเลวทรามนัก ปล่อยให้หยกเซียนจำนวนมากมากองอยู่รอบๆ บริเวณนี้ได้!? ข้าจะนำมันไป!”
“หินลมปราณช่างมากมายนัก…เสี่ยวเฮย (ดำน้อย – คำเรียกนักรบศิลาของเมิ่งฮ่าว) เดินช้าๆ ให้ข้าเก็บสิ่งของเหล่านี้ขึ้นมาก่อน แล้วพวกเราค่อยไปต่อกัน!”
ดวงตาเมิ่งฮ่าวเริ่มเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น และสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น เขาเก็บรวบรวมหยกเซียนและหินลมปราณได้ไม่น้อย รวมทั้งของวิเศษอื่นๆ เสียงแผดร้องคำรามอย่างอึกทึกครึกโครมได้ยินมา ขณะที่เข้าไปใกล้ยอดเขา ยักษ์สองหัวก็ใกล้เข้ามา
ยักษ์ถือตะบองขนาดใหญ่อยู่ในมือ และเห็นได้ชัดว่าเป็นหัวหน้าของภูเขาลูกนี้ มีหน้าที่คอยคุ้มกันยอดเขา เมื่อมันพุ่งทะยานออกมา กลิ่นอายของนักรบศิลาก็พุ่งขึ้นจนเกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องออกไป
กลิ่นอายที่พุ่งขึ้นมานั้นทำให้ยักษ์สองหัวที่หยิ่งผยองและไม่พอใจก่อนหน้านี้ สั่นสะท้านไปทั้งร่าง และหยุดแผดร้องคำรามในทันที มันจ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าที่งุนงง จากนั้นก็มองไปยังนักรบศิลาที่กำลังยืนอยู่ที่นั่น เหงื่อเย็นๆ เริ่มไหลลงมาจากหน้าผากทั้งสองของมัน
หลังจากที่มองไปยังพวกเขาเป็นเวลาสองอึดใจ ยักษ์สองหัวก็ร้องไห้คร่ำครวญออกมา จากนั้นก็หันหลังหลบหนีกลับเข้าไปในภูเขา หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย