ตอนที่ 951
ผู้ผนึกอสูรปรากฏขึ้นอีกครั้ง!
หลายรุ่นมาแล้วที่กลุ่มคนในตระกูลได้มายังสถานที่แห่งนี้ เพื่อทำการกราบสักการะอยู่ที่เบื้องหน้าโลงศพและรูปปั้นนี้ ด้วยความเคารพอย่างสูงสุด ไม่มีใครที่จะคิดไม่ซื่อกับสิ่งของเครื่องเซ่นไหว้เหล่านี้
เมิ่งฮ่าวเป็นคนแรก
สีหน้าเขาเคร่งขรึมด้วยความเคารพนับถือ หลังจากที่โค้งตัวลงต่ำ เขาก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ ราวกับว่ากำลังทำการเก็บกวาดให้กับท่านปรมาจารย์อยู่จริงๆ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เขาเดินตรงไปยังของเซ่นไหว้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เมิ่งฮ่าวต้องถอนหายใจยาวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อมองไปยังก้อนหยกเซียนที่มีขนาดเท่ากำปั้น
“ท่านปรมาจารย์ กลุ่มคนในตระกูลเหล่านั้นที่เคยมาเมื่อในอดีต ช่างเป็นลูกหลานที่ไม่ซื่อสัตย์อย่างแท้จริง ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกมันจะปล่อยให้มีฝุ่นเกาะอยู่เต็มบนหยกเซียนก้อนนี้ได้! การที่ปล่อยให้มันอยู่ในที่แห่งนี้มานานหลายปี ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจจริงๆ!”
“ช่างน่าเศร้านัก!” ดูเหมือนว่าเมิ่งฮ่าวจะมีโทสะขึ้นมาจริงๆ ขณะที่ก้มลงไปหยิบเอาหยกเซียนขึ้นมา ในทันใดนั้นเอง กลิ่นอายอันทรงพลังจู่ๆ ก็พุ่งออกมาจากของวิเศษสามชิ้นที่ถูกวางบูชาอยู่ที่นั่น
ดูเหมือนว่าเมิ่งฮ่าวจะไม่รู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่น้อย เขาไม่สนใจของวิเศษเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง เขากล้าที่จะไปหยิบฉวยสิ่งของจากศาลานักรบในเศษซากเซียนมาตรงๆ แล้วเขาจะหวาดกลัวต่อของวิเศษทั้งสามชิ้นนี้ได้อย่างไรกัน?
เขารีบเก็บหยกเซียนขนาดใหญ่นั้นไว้ และจากนั้นก็หยิบเอาหยกเซียนที่มีขนาดเท่าเล็บนิ้วไปวางไว้แทนที่ ค่อยๆ วางลงไปบนแท่นบูชาด้วยความระมัดระวัง
“ท่านปรมาจารย์ นี่คือหยกเซียนเนื้อดี ที่ดูสดใสเป็นประกายอันงดงาม และไม่มีฝุ่นละอองเกาะอยู่แม้แต่น้อย มีแต่หยกเซียนเช่นนี้เท่านั้นถึงจะคู่ควรกับปรมาจารย์เช่นท่าน” เมิ่งฮ่าวกระแอมไอออกมา จากนั้นก็มองตรงไปยังของเซ่นไหว้อื่นๆ และหินลมปราณด้วยดวงตาที่สาดประกายเจิดจ้า
ในตอนนี้เองที่กลิ่นอายของ ของวิเศษทั้งสามชิ้นระเบิดออกมา ทำให้เกิดเป็นแรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อกดทับลงมายังบริเวณนั้น
“มากเกินไปแล้ว!” เมิ่งฮ่าวตวาดขึ้น จ้องมองไปยังของวิเศษทั้งสาม “ข้ามาจากตระกูลฟาง และข้าก็มีสายโลหิตของตระกูลฟางอยู่ภายในร่าง! ถ้าข้าต้องการจะทำความสะอาดสุสานของท่านปรมาจารย์ ด้วยการเอาของเซ่นไหว้บางอย่างมาแทนที่ วิญญาณของวิเศษเช่นพวกเจ้ากล้าที่จะมาขัดขวางข้า?!” กลิ่นอายที่กระจายออกมาจากของวิเศษจู่ๆ ก็หายไป
ทันใดนั้น เมิ่งฮ่าวก็ใช้ความรวดเร็วเท่าที่สามารถจะทำได้ หยิบเอาสิ่งของต่างๆ และหินลมปราณใส่เข้าไปในถุงสมบัติอย่างฉับพลัน
“ช่างน่าเศร้าอะไรเช่นนี้! หินลมปราณเหล่านี้ทั้งหมดต่างก็เต็มไปด้วยฝุ่นละอง! ในฐานะที่ข้าเป็นผู้เยาว์ของตระกูล ข้าไม่อาจจะทนดูเรื่องราวเช่นนี้ได้!” เขาหยิบเอาหินลมปราณระดับต่ำที่มีขนาดเท่าเล็บนิ้วออกมา และวางลงไปแทนที่บนแท่นบูชาในทันที
“น่าแค้นใจนัก! พวกมันแค่นำตะเกียงไม้ไผ่มาวางไว้ที่สุสานของท่านปรมาจารย์ตระกูลฟางเท่านั้น? ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ในฐานะที่ข้าเป็นผู้เยาว์รุ่นหลัง จึงเป็นหน้าที่ข้าที่จะเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นตะเกียงเหล็กกล้า!” เขามองไปยังตะเกียงไม้ไผ่ทั้งสอง ซึ่งกำลังส่องแสงอันลี้ลับออกมา
เมิ่งฮ่าวกำลังจะคว้าจับไปที่พวกมัน แต่กลิ่นอายของ ของวิเศษทั้งสามชิ้นก็ระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง เต็มไปด้วยรังสีสังหารซึ่งดูเหมือนจะเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง ราวกับพวกมันรู้สึกว่าเมิ่งฮ่าวกำลังทำเรื่องราวที่ผิดศีลธรรมอยู่
เห็นได้ชัดว่าถ้าเมิ่งฮ่าวกล้าบังอาจไปแตะต้องตะเกียงไม้ไผ่นั่น ของวิเศษทั้งสามชิ้นก็จะสังหารเขาไปในทันที
เมิ่งฮ่าวหยุดลง จากนั้นก็กระแอมไอออกมาด้วยความกระอักกระอ่วนใจ และดึงมือกลับไปอย่างช้าๆ
“พวกเจ้าจะตื่นเต้นไปทำไม? มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด! ข้ากำลังแสดงความเลื่อมใสศรัทธาอยู่” เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา มองไปยังของวิเศษทั้งสามชิ้นด้วยความละโมบ จากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดที่จะใช้กรรมในการบังคับให้โชคชะตามีการเชื่อมต่อกันกับพวกมัน นอกจากนั้นนี่ไม่ใช่ศาลานักรบ ซึ่งสิ่งของเหล่านี้ไม่มีการเชื่อมต่อกับเจ้านายโดยเฉพาะ เห็นได้ชัดว่าของวิเศษทั้งสามชิ้นนี้เป็นของปรมาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว และวิญญาณที่อยู่ภายในพวกมัน ก็กำลังทำการปกป้องสถานที่แห่งนี้อยู่
ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะละโมบ แต่เขาก็ยังมีหลักการของตนเองอยู่
“ไม่เป็นไร ในเมื่อพวกเจ้าจงรักภักดีต่อท่านปรมาจารย์เป็นอย่างมาก ข้าก็ต้องขอชื่นชม” เมิ่งฮ่าวถอนหายใจยาว ถอยหลังออกไปอีกสองสามก้าว พร้อมกับสีหน้าที่เคร่งขรึม ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ
สูงขึ้นไปในกลางอากาศ ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดกำลังมีโทสะอยู่ในตอนนี้ เมื่อได้เห็นเมิ่งฮ่าวทำการสับเปลี่ยนของเซ่นไหว้ และจากนั้นก็ได้ยินคำพูดของเขา ทำให้ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดต้องกระทืบเท้าด้วยโทสะขึ้นมา
“ทำไมสายโลหิตตระกูลฟางของข้า ถึงได้มีเจ้าสารเลวที่ไร้ยางอายเช่นนี้ขึ้นมาได้!” มันกล่าวผ่านร่องฟัน จากนั้นก็เห็นเมิ่งฮ่าวประสานมือและโค้งตัวลง จึงอดไม่ได้ที่จะต้องอ้าปากค้างขึ้นอีกครั้ง รับรู้ได้ถึงความจริงใจของเมิ่งฮ่าว มันมองไปอย่างเงียบๆ อยู่ชั่วขณะ และในที่สุดสายตาของมันก็อ่อนโยนลง จากเท่าที่เห็น เมิ่งฮ่าวไม่ได้เลวร้ายจนไม่อาจจะเยียวยาได้
“มาดูกันว่าเจ้าสารเลวน้อยนี้มีนิสัยอย่างไรกันแน่ และมันจะทำให้สถานที่แห่งนี้เกิดเป็นความปั่นป่วนอะไรได้บ้าง!” หลังจากนั้นมันก็มองออกไปยังที่ห่างไกลด้วยสีหน้าที่โหยหา พึมพำขึ้นว่า
“ดินแดนบรรพบุรุษถูกแบ่งออกเป็นหกพื้นที่หลัก ผู้พิทักษ์เต๋า, สนามแห่งเวทรู้แจ้ง, สุสานท่านปรมาจารย์เสมือนเต๋า, เก้าภูเขายมโลก, พื้นฝังศพโบราณ และอุโมงค์หมอกสวรรค์!”
“พื้นที่ทั้งหกเหล่านั้นถูกจัดแบ่งออกเป็นเส้นตรง ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าใด ก็จะยิ่งเผชิญหน้ากับอันตรายมากขึ้นเท่านั้น แต่โชควาสนาก็จะยิ่ง…มีมากขึ้นด้วยเช่นกัน!”
“สุสานแห่งนี้อยู่ตรงเขตแดนระหว่างสนามแห่งเวทรู้แจ้ง และสุสานท่านปรมาจารย์เสมือนเต๋า”
“จากสมัยโบราณมาจวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เก้าภูเขายมโลกเป็นสถานที่ที่กลุ่มคนในตระกูลส่วนใหญ่ได้เข้าไปมากที่สุด การเข้าไปถึงพื้นฝังศพโบราณยังยากเย็นยิ่งกว่าการไปค้นหาขนหงส์เขากิเลนซะอีก สำหรับสุสานในอุโมงค์หมอกสวรรค์ แม้แต่พี่ใหญ่ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าอันยิ่งใหญ่ ก็ยังไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปมาก่อน”
“เพราะว่าตรงจุดสิ้นสุดของพื้นฝังศพโบราณไม่มีเส้นทางให้เดินต่อไป”
“สุสานของท่านปรมาจารย์รุ่นแรก อยู่ตรงไหนสักแห่งที่ด้านในของอุโมงค์หมอกสวรรค์ พร้อมกับวิชาเวทที่แข็งแกร่งมากที่สุดของท่าน…หนึ่งรำพึงกลายเป็นดวงดาว!” ในที่สุดมันก็หลับตาลง
มันไม่เคยเห็นปรมาจารย์รุ่นแรก คนที่เคยเห็นจริงๆ มีเพียงคนเดียวคือชายชราที่อยู่ในถ้ำศิลาซึ่งปรมาจารย์รุ่นเจ็ดได้เอ่ยถึงในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่
อีกหกคนในถ้ำศิลานั้นได้ถือกำเนิดขึ้นมาในรุ่นที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตามหลังจากที่ทำการดับตะเกียงวิญญาณไปได้สิบดวง เรื่องของความเป็นอาวุโสก็ไม่สำคัญอีกต่อไป และเนื่องจากพวกมันทั้งหมดมีสายโลหิตเดียวกัน จึงได้เรียกขานแต่ละคนว่าเป็นพี่น้องกัน
“ตระกูลเคยพบเจอกับหายนะมาสามครั้ง…” ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดกล่าวขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ เนื่องจากหายนะทั้งสามครั้งนั้น จึงทำให้มีแค่กลุ่มคนเล็กๆ ในถ้ำศิลาเท่านั้น ที่มีตะเกียงวิญญาณถูกดับลงไปได้มากกว่าสิบดวงของคนในตระกูลทั้งหมด
ในตอนที่ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดถอนหายใจออกมา เมิ่งฮ่าวก็โค้งตัวลงให้กับรูปปั้นศิลาเสร็จสิ้นพอดี และจากนั้นก็พุ่งจากไปพร้อมกับนักรบศิลา
ในเวลาเดียวกันนั้น มีบางสิ่งได้เกิดขึ้นซึ่งแม้แต่ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดก็ยังไม่ได้สังเกตเห็น ขณะที่เมิ่งฮ่าวเดินทางผ่านสุสานของปรมาจารย์เสมือนเต๋า และได้นำสิ่งของทั้งหมดที่เขาเห็นว่ามีค่าจากไปด้วย กลิ่นอายก็ค่อยๆ รวมตัวกันขึ้นมาอยู่ในดินแดนบรรพบุรุษ เป็นกลิ่นอายที่ไม่เคยปรากฏขึ้นอยู่ในที่แห่งนี้มาก่อน
จริงๆ แล้วกลิ่นอายนี้ได้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก ในตอนที่นักรบศิลาได้ทำให้ภูเขาพังทลายลงมา และจากนั้นก็บินขึ้นไปในอากาศ เมื่อนักรบศิลาหยิบเอาก้อนศิลาที่ประกอบไปด้วยความรู้แจ้งของเวทแห่งเต๋าและความสามารถศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ขึ้นมา กลิ่นอายนั้นก็ยิ่งมีความเข้มข้นมากขึ้น
อย่างช้าๆ กลุ่มหมอกจางๆ กำลังก่อตัวขึ้นมาอยู่ที่ด้านบนของดินแดนทั้งหมด
เวลาผ่านไป เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ที่ด้านบนสุดของนักรบศิลา ขณะที่มันพุ่งตรงไป เมื่อเขาเดินทางต่อไปก็ได้พบกับสุสานขนาดใหญ่ อย่างน่าแปลกใจยิ่ง สุสานเหล่านี้ไม่มีแผ่นป้ายหรือตัวอักษรใดๆ
เมิ่งฮ่าวได้แต่ต้องคาดเดาด้วยสิ่งที่ผู้เฒ่าสูงสุดได้เคยบอกไว้ว่า นี่คือสถานที่ซึ่งปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าได้ถูกฝังไว้
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่รู้จักนามของพวกท่าน ดังนั้นเมื่อได้เห็นสุสานที่ไร้นามเช่นนี้ก็คิดว่าเป็นสิ่งที่แปลกๆ ราวกับว่าพวกท่านเจตนาที่จะมายังที่แห่งนี้ก่อนที่จะตายไป และไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ว่าพวกท่านคือใคร
“แปลกจริงๆ…” เมิ่งฮ่าวคิด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาต้องหยุดการทำภารกิจปัดกวาดสุสาน และช่วยเหล่าปรมาจารย์สับเปลี่ยนของเซ่นไหว้ต่างๆ
ขณะที่เมิ่งฮ่าวเก็บกวาดสุสานของปรมาจารย์เสมือนเต๋าจนสะอาด ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดที่อยู่ด้านบนก็พบว่า เป็นเรื่องยากที่จะระงับโทสะของมันไว้ได้
เหตุผลเดียวเท่านั้นที่มันยังสามารถควบคุมอารมณ์ไว้ได้ก็คือว่า เมิ่งฮ่าวมักจะโค้งตัวลงด้วยความเคารพต่อสุสานเมื่อมาถึงและก่อนจากไป รวมทั้งไม่ได้แตะต้องตัวสุสานใดๆ
สองสามวันหลังจากนั้น เมิ่งฮ่าวก็ลงมาจากด้านบนของนักรบศิลาอีกครั้ง ครั้งนี้ภาพของโลงศพและรูปปั้นได้ทำให้ดวงตาเขาต้องเบิกกว้าง เขาหยุดชะงักนิ่ง มองไปยังรูปปั้นและป้ายศิลาหลุมฝังศพที่อยู่ด้านหน้าของสุสาน
จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาได้พบเจอกับสุสานทั้งหมดเจ็ดแห่ง ซึ่งทั้งเจ็ดแห่งนั้นไม่มีสุสานใดเลยที่จะเขียนคำอธิบายว่าใครถูกฝังไว้ในที่แห่งนั้น แต่ในสุสานที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้มีนามจารึกไว้!
ฟางผิ่นฉี!
นามที่ถูกเขียนด้วยลายมืออันงดงาม ดูหนักแน่นและเด่นสะดุดตา ราวกับเป็นหงส์ร่อนมังกรเหิน และกระจายกลิ่นอายอันไร้ขอบเขตออกมา ภายใต้นามนั้นคือชีวะประวัติของปรมาจารย์ท่านนี้
เมิ่งฮ่าวอ่านเรื่องราวของท่านปรมาจารย์ฟางผิ่นฉีไปจนจบ จนทำให้เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังขึ้นเต็มอยู่ในจิตใจ
เป็นเรื่องราวที่อธิบายถึงชีวิตของฟางผิ่นฉีตั้งแต่ตอนที่เริ่มฝึกฝนตนเอง เมื่อท่านได้ก้าวเข้าไปในอาณาจักรเซียน ท่านได้กลายเป็นเซียนแท้คนแรกของรุ่นนั้น เส้นทางของท่านมักจะเป็นผู้ถูกเลือก และถูกมองว่าเป็นดวงตะวันอันเจิดจ้าของตระกูล เมื่อท่านเข้าไปในอาณาจักรโบราณ ท่านก็มีตะเกียงวิญญาณสิบห้าดวง
ท่านได้ทำความดีให้กับตระกูลนับไม่ถ้วน และยังได้สร้างเป็นเส้นทางใหม่อยู่ในเศษซากเซียนอีกด้วย ท่านกลายเป็นคนในตระกูลที่โดดเด่นมากที่สุดในรุ่นนั้น และสามารถดับตะเกียงวิญญาณสิบสี่ดวงได้สำเร็จ ในที่สุดก็กลายเป็นปรมาจารย์ในรุ่นของท่าน สุดท้ายถึงแม้ว่าท่านจะดับตะเกียงวิญญาณดวงสุดท้ายลงไปได้ แต่ก็ไม่อาจจะทะลวงผ่านเข้าไปในอาณาจักรเต๋าได้ และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่เสมือนเต๋าไป
แต่ท่านก็ไม่ได้คลุ้มคลั่งเหมือนกับคนส่วนใหญ่ ที่กลายเป็นมารไปและกระทำการอย่างชั่วร้าย ท่านกลับมีจิตใจที่เยือกเย็นและใช้ชีวิตห้าสิบปีสุดท้ายของท่านอย่างสงบ
ในช่วงห้าสิบปีนั้น ท่านยังคงทำงานอย่างหนักให้กับตระกูล ก่อนจะในที่สุดต้องตายจากไปในช่วงของการเข้าฌาณ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมสุสานแห่งนี้ถึงได้จารึกนามและเรื่องราวของท่านไว้ ซึ่งยังได้พูดถึงอาณาจักรเสมือนเต๋าไว้อย่างทรงพลังและมีชีวิตชีวาอีกด้วย รวมทั้งได้อธิบายถึงความน่ากลัวของมันไว้อย่างชัดเจน
เมื่อตอนที่เมิ่งฮ่าวอ่านเรื่องราวเหล่านี้จบลง เขาก็หอบหายใจออกมา ตอนนี้เขาได้เข้าใจถึงความหมายของคำว่า ‘ผู้ยิ่งใหญ่เสมือนเต๋า’ แล้ว
เขาคิดย้อนกลับไปในสำนักเซียนอสูรโบราณ และการที่เคออวิ๋นไห่ได้ตายไปในช่วงของการเข้าฌาณ เขายังได้คิดไปถึงคำอธิบายของเคออวิ๋นไห่ถึงสิ่งที่หมายถึงการอยู่ในชั้นสูงสุดของอาณาจักรโบราณอีกด้วย
“กลายเป็นว่าระหว่างชั้นสูงสุดของอาณาจักรโบราณและอาณาจักรเต๋าแท้ ยังมีอาณาจักรอื่นที่ถูกเรียกว่าอาณาจักรเสมือนเต๋าอยู่ ในอาณาจักรนี้เมื่ออายุขัยสิ้นสุดลง ก็จะต้องตายไปอย่างแน่นอน ด้วยเช่นนั้นผู้คนจึงเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมา และถูกเรียกว่าผู้ยิ่งใหญ่โดยคนอื่นๆ เพื่อแสดงถึงความเคารพ แทบจะราวกับว่าคนที่คิดคำเรียกนี้ขึ้นมา ก็เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มคนเหล่านั้นต้องบ้าคลั่งอย่างเต็มตัว” เมิ่งฮ่าวมองไปยังแผ่นป้ายศิลาอยู่ชั่วขณะ และจากนั้นก็ไม่แม้แต่ที่จะไปแตะต้องสิ่งของเครื่องเซ่นไหว้ใดๆ กลับประสานมือและโค้งตัวลงต่ำแทน
หลังจากนั้นเขาก็จากไป ใช้เวลาอีกสองสามวันก็ผ่านสุสานของปรมาจารย์เสมือนเต๋าไป มีทั้งหมดสิบเอ็ดสุสาน แต่ก็มีแค่สามแห่งเท่านั้นที่มีถ้อยคำจารึกไว้
พวกท่านทั้งหมดมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็มีจุดจบที่เหมือนกัน ถ้อยคำจารึกเหล่านั้นแทบจะเหมือนกับเป็นตำราปลอบใจที่ถูกเขียนขึ้นมาโดยตระกูล ให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาณาจักรที่อยู่ระหว่างอาณาจักรโบราณและอาณาจักรเต๋า กลุ่มคนที่อยู่ในอาณาจักรนั้นซึ่งก็คือผู้ยิ่งใหญ่เสมือนเต๋า ส่วนใหญ่แล้วจะกลายเป็นบ้าและกระทำการอย่างชั่วร้ายไป น้อยคนนักที่จะกลายเป็นที่เคารพบูชาเลื่อมใสสำหรับกลุ่มคนรุ่นหลัง
“อาณาจักรเต๋า…” หลังจากที่ผ่านสุสานสุดท้ายไป เมิ่งฮ่าวก็ยืนอยู่ที่นั่นและมองย้อนกลับไปด้วยความครุ่นคิด “เส้นทางของการฝึกตนคือหนึ่งในหลุมฝังศพเหล่านั้น วิกฤตแห่งความเป็นตายมีอยู่ในทุกย่างก้าว มีน้อยคนนัก…ที่จะเดินไปจนถึงสุดทางได้” เมิ่งฮ่าวถอนหายใจ จากนั้นก็ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับหลุ่มฝังศพของปรมาจารย์เสมือนเต๋าทั้งหมด
ขณะที่เขายืดตัวตรงเพื่อที่จะจากไป ก็รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างในถุงสมบัติกำลังสั่นไปมา มันคือแผ่นหยกผนึกอสูรโบราณนั่นเอง ซึ่งได้เงียบมาเป็นเวลานานมากแล้ว แรงสั่นสะเทือนของมันยังรุนแรงมากกว่าตอนที่เขาได้พบกับผู้ผนึกอสูรรุ่นที่หกซะอีก!
ในเวลาเดียวกันนั้น จู่ๆ เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกได้ถึงเสียงเรียกอันเข้มข้น ที่ดังออกมาจากภายในส่วนลึกของดินแดนบรรพบุรุษ
“พันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูรจะถูกฝังอยู่ในขุนเขาทะเลได้อย่างไร? พวกมันเดินไปบนเส้นทางของทัณฑ์เต๋าแห่งเก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่ ถ้าทำได้สำเร็จ…อาณาจักรขุนเขาทะเล…ก็จะหวนคืนเป็นพันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูร!”
หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ เมิ่งฮ่าวก็เริ่มสะท้านใจขึ้นมาในทันที