Skip to content

A Will Eternal 1023

บทที่ 1023 ประตูแห่งทงเทียน

เพียงแต่ว่าความคิดของเทียนจุนมีเพียงคนเฝ้าสุสานเท่านั้นที่จะวิเคราะห์ได้ ช่วงเวลาการฝึกบำเพ็ญตนของป๋ายเสี่ยวฉุนยังนับว่าสั้นนัก ยากที่จะเอามาเปรียบเทียบกับเทียนจุนที่มากด้วยเล่ห์อุบาย แม้ตอนนี้เขาจะมองความคิดบางส่วนของเทียนจุนออก แต่กลับไม่สามารถหาเบาะแสเกี่ยวกับที่พึ่งนั้นของอีกฝ่ายได้

อีกทั้งเวลายังน้อยเกินไป ทุกขณะในการต่อสู้ของคนทั้งสองคือช่วงเวลาเป็นเวลาตาย ไม่มีจังหวะให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้แบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องอื่น ขณะเดียวกันกับที่ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองเขาไป สี่สัตว์ร้ายใหญ่ยักษ์ของเทียนจุนที่ตะบึงมาจากรอบด้านก็ขยับเข้ามาใกล้อย่างพร้อมเพรียงกัน

ไม่ว่าจะเป็นมังกรหรือจระเข้ บนเรือนกายของพวกมันก็ล้วนมีเปลวเพลิงระเบิดปะทุออกมามากมายราวกับไร้ที่สิ้นสุด พริบตาเดียวก็ผนึกทิศทางสองฝั่งซ้ายขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ แล้วพุ่งเข้ามาหาเขาด้วยความดุร้ายเกินจะเปรียบ ราวกับต้องการฉีกทึ้งกลืนกินป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งเป็นอย่างไรอย่างนั้น!

ขณะเดียวกันด้านหน้าและด้านหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีอินทรีและแมลงหินที่กรีดร้องเสียงแหลมพลางพุ่งแหวกความว่างเปล่าเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูงสุด!

สัตว์ร้ายทั้งสี่ต่างก็ระเบิดคลื่นที่เทียบเคียงได้กับครึ่งเทพขั้นสมบูรณ์แบบ เมื่อพวกมันกระโจนเข้ามา พายุบ้าระห่ำที่ราวกับจะเปลี่ยนฟ้าผลัดดินก็พลันก่อตัวจากสี่ทิศแล้วหมุนคว้างเข้าใกล้คล้ายไม่คิดจะเปิดโอกาสให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย!

วิกฤตคับขัน ประกายแสงในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งวาบ ครั้นจึงยกมือขวาขึ้นตบถุงเก็บของ ปากก็เปล่งคำสี่คำออกมาอย่างไร้ซึ่งความลังเล!

“บุปผาจันทรา!”

แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยออกมา ในถุงเก็บของของเขาก็มีพลังอำนาจขุมหนึ่งที่ไม่เป็นรองสัตว์ทั้งสี่ อีกทั้งหากสู้กันตัวต่อตัวก็มีแต่จะเหนือกว่าผุดพุ่งออกมา!

เสียงอึกทึกที่ดังก้องกังวานมาพร้อมกับกิ่งก้านสีเขียวขจีทั้งหมดเก้ากิ่งที่โผล่พรวดออกมาจากความว่างเปล่ารอบกายป๋ายเสี่ยวฉุน ซึ่งพอรัดพันเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วแล้ว บุปผาจันทราขนาดใหญ่มหึมาดอกหนึ่งที่…เกิดจากการรวมตัวกันของกลีบดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนก็เยื้องกรายมาปรากฏอยู่ในฟ้าดินแห่งนี้!

ปราณของโลกภายนอกแข็งแกร่งเด่นชัด หากคนเฝ้าสุสานยังไม่ตาย โลกใบนี้ยังไม่ตกอยู่ในสภาวะเสื่อมถอยก็อาจจะทำการกำราบมันตามสัญชาตญาณ ทว่าตอนนี้…เมื่อโลกทั้งใบแห้งเหี่ยวโรยรา พลังแห่งการสยบจึงหายไปหมด เป็นเหตุให้การปรากฏตัวของบุปผาจันทรามาพร้อมกับการระเบิดปะทุของ…ปราณอันน่าครั่นคร้ามจากตัวของมันที่เป็นพืชพรรณนอกโลก!

และเหมือนจะมีปราณของวิถีฟ้าแผ่ออกมาจากร่างของมันราวกับไร้ที่สิ้นสุดด้วย!

ตูมๆๆ!

บุปผาจันทราที่ใหญ่นับหมื่นจั้งระเบิดปณิธานแห่งความดุดันพลุ่งพล่าน ทั้งยังมีลายเส้นที่พร่างพราวน่ากริ่งเกรง…วินาทีที่เผยกาย ในดอกของมันก็พลันมีเสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหว!

โฮก!

แปดทิศสะท้านสะเทือน พายุกระหน่ำที่เกิดจากการทะยานตัวของสี่สัตว์ร้ายปะทะเข้ากับคลื่นเสียงคำรามอย่างไร้รูปลักษณ์ ครั้นจึงแตกทลายโดยพลัน!

อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนแสดงเจตจำนง หลังจากที่คำรามออกมา บุปผาจันทราก็แปลงกายออกเป็นสี่ส่วนแล้วตรงเข้ารับมือกับสัตว์ร้ายทั้งสี่ที่ห้อมล้อม ความดุร้ายที่แผ่ออกมาจากตัวของมันมีแต่จะมากกว่าสัตว์ร้ายเหล่านั้น!

เวลาแค่ชั่วพริบตา สัตว์ยักษ์ทั้งสี่ก็ประหัตประหารโรมรันอยู่กับบุปผาจันทราท่ามกลางเสียงคำรามที่ดังระเบ็งเซ็งแซ่ไปทั่วฟ้าดิน

ดวงตาของนักพรตทงเทียนเปล่งประกายวาบ เขาเองก็ใจสั่นรัวไปกับบุปผาจันทราของป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนกัน หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่งจึงก้าวออกมาหนึ่งก้าว ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าพรวดแล้วก็กระโจนออกไปเช่นกัน ศึกระหว่างเขากับนักพรตทงเทียนปะทุขึ้นอีกครั้ง คนทั้งสองถูกห้อมล้อมไว้ด้วยสี่สัตว์ยักษ์และบุปผาจันทรา ต่างคนต่างลงมือรัวเร็วสุดขีด

ทุกครั้งที่ทำมุทราล้วนต้องตามมาด้วยวิชาอภินิหาร ทุกครั้งที่ปะทะกันก็ล้วนเป็นเวทคาถาที่แฝงอาคมไร้ขีดจำกัด!

เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดิน เวลาเพียงสั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นสี่สัตว์ยักษ์หรือบุปผาจันทรา หรือแม้แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกับเทียนจุน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ประมือกันไปหลายร้อยจนเกือบถึงพันกระบวนท่า

แม้บุปผาจันทราจะแข็งแกร่ง แต่อย่างไรซะก็ต้องรับมือกับสัตว์ร้ายตั้งสี่ตัว มันจึงเริ่มตกเป็นรอง ทว่าเวลานี้เอง จู่ๆ เสียงร้องคำรามในบุปผาจันทรากลับดังออกมาอย่างดุเดือดอีกครั้ง แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงตูมดังหนึ่งที มันระเบิดร่างตัวเอง ครั้นจึงกลายมาเป็นเมล็ดพันธ์คล้ายเมล็ดของดอกผูกงอิงจำนวนนับไม่ถ้วนที่ปลิวปรายไปทั่วท้องฟ้า ดั่งทะเลแห่งเมล็ดหลิ่วที่พุ่งตะลุยจากสี่ด้านแปดทิศ ห้อดิ่งเข้าหาสี่สัตว์ยักษ์

สัตว์ยักษ์ทั้งสี่ล้วนหน้าเปลี่ยนสี พร้อมใจกันถอยหลัง ทว่ากลับสายเกินไป เวลาแค่ชั่วพริบตา พวกมันก็ถูกทะเลเมล็ดหลิ่วนี้กลบทับ พอเมล็ดพันธ์ที่เป็นดั่งเมล็ดหลิ่วโดนตัวของสี่สัตว์ร้ายก็คล้ายกับมีสติปัญญาของตัวเองจึงรีบมุดทะลวงเข้าไปในร่างของสัตว์ร้าย ราวจะอาศัยเรือนกายของพวกมันมาทำเป็นสารบำรุงให้ตัวเองเติบโต

ภาพนี้ทำให้สี่สัตว์ร้ายหวีดร้องโหยหวน นักพรตทงเทียนที่พอสังเกตเห็นด้วยตาเปล่าว่าร่างของสี่สัตว์ร้ายแห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว หน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนสี ตกตะลึงอยู่ในใจ

“เมล็ดพันธ์นอกโลกนี้ช่างเผด็จการยิ่งนัก!” นักพรตทงเทียนแค่นเสียงเย็น นัยน์ตาฉายความเฉียบขาด มือขวายกขึ้นทำมุทราแล้วพลันชี้ไป น้ำเสียงเย็นเยียบราวน้ำแข็งดังก้องไปสี่ทิศ

“สมบัติแห่งโลก คืนตำแหน่ง!”

เมื่อคำพูดของเขาดังออกมา ร่างของสี่สัตว์ร้ายที่ถูกเมล็ดหลิ่วกลืนกินเลือดเนื้อก็พลันสั่นสะท้าน ก่อนที่ร่างของพวกมันจะพองขยายแล้วระเบิดตูม!

ที่ระเบิดออกมาจากในร่างสี่สัตว์ร้ายพร้อมกันยังมีปราณกระบี่นับพันนับหมื่นซึ่งม้วนตลบกวาดตะลุยไปสี่ทิศ เหมือนพายุทำลายล้างลูกหนึ่งที่บีบให้เมล็ดหลิ่วพวกนั้นจำต้องบินถอยออกมา ขณะเดียวกันพายุนี้ก็พัดกระหน่ำดุดัน ความแหลมคมของปราณกระบี่ที่อยู่ด้านในทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจำต้องถอยหนี ทั่วร่างของเขาเหวอะหวะไปด้วยบาดแผล แม้จะหายดีในชั่วพริบตา ทว่าลมหายใจของเขาก็ยังหอบหนัก ยิ่งเงยหน้าขึ้นแล้วมองเห็นปราณกระบี่พวกนั้น ม่านตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งหดตัว…

เขามองเห็นว่าหลังจากสี่สัตว์ร้ายระเบิดตัวเองออก

ปราณกระบี่นับพันนับหมื่นกลับมารวมตัวกันแล้วกลายมาเป็นรุ้งยาวหกเส้นที่ล้อมวนอยู่รอบกายของนักพรตทงเทียน ซึ่งนั่นก็คือ…กระบี่บินหกเล่มที่มีสีสันแตกต่างกัน

กระบี่บินทั้งหกเล่มนี้แผ่ปราณของความแหลมคมที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองแค่ปราดเดียวก็ถึงกับอกสั่นขวัญแขวน อีกทั้งบนกระบี่บินทั้งหกเล่มยังให้ความรู้สึกถึงกาลเวลาอันยาวนานไร้ขอบเขต เห็นได้ชัดว่า…นี่คือกระบี่โบราณหกเล่ม!!

“ไม่นึกเลยว่าสัตว์ร้ายสี่ตัวนั้นจะจำแลงมาจากสมบัติอาคมของเทียนจุน…ไม่ถูกสิ เป็นเทียนจุนที่เอากระบี่โบราณหกเล่มนี้ไปเลี้ยงไว้ในกายของสัตว์ร้ายทั้งสี่…”

สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนก ถอยกรูดออกห่าง เมล็ดหลิ่วที่ปลิวอยู่สี่ทิศก็ม้วนตลบกลับมารวมตัวอยู่ข้างหลังป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างรวดเร็ว

ครั้นจึงกลายมาเป็นบุปผาจันทราที่บนร่างเต็มไปด้วยรูถูกแทงทะลุนับร้อยนับพัน ปราณของมันอ่อนแออย่างถึงที่สุด สภาพอ่อนระโหยเต็มที เห็นได้ชัดว่าการระเบิดของปราณกระบี่ก่อนหน้านี้สร้างความเสียหายให้กับมันได้ไม่น้อย

“น่าสนใจ…” นักพรตทงเทียนยืนอยู่กลางอากาศ ดวงตาที่เปล่งประกายเยียบเย็นจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง ครั้นจึงเอ่ยเนิบนาบ

“ไม่เสียแรงที่เป็นคนที่ถูกคนเฝ้าสุสานเลือก…หลายปีมานี้ นอกจากคนเฝ้าสุสานแล้วก็ไม่มีใครที่สามารถทำให้ตัวข้าเอากระบี่เต๋าแห่งชะตาชีวิตที่ข้าหล่อเลี้ยงมานานหลายปีออกมาใช้ได้!”

“วิชาอมตะมิวางวายบุกเบิกห้าพันธนาการ ห้าผนึก…จึงทำให้มันโดดเด่นเหนือล้ำกว่าวิชาใด แต่ที่ตัวข้าสามารถพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาชีวิตได้ก็เพราะอาศัย…การสรรค์สร้างประตูแห่งเต๋าทั้งเก้าขึ้นมาด้วยตัวเอง!”

“ประตูแห่งเต๋าทั้งเก้านี้ก็คือที่ซึ่งรวบรวมตบะตลอดชีวิตของตัวข้าในการร่ายกระบี่แห่งเต๋าทั้งหกเล่ม…และปีนั้นก็เป็นเพราะกระบี่แห่งเต๋าทั้งหกที่ช่วยเปิดประตูแห่งเต๋า สังหารจักรพรรดิขุยรุ่นนั้น และสายเลือดของจักรพรรดิขุยอีกนับไม่ถ้วน!”

“วันนี้…ก็ให้กระบี่เต๋าแห่งชะตาชีวิตข้าเปิดประตูแห่งเต๋า แล้วสังหารเจ้า…อยู่ที่นี่ดุจเดียวกันเถิด!” นักพรตทงเทียนเอ่ยเนิบช้า เมื่อคำพูดของเขาดังออกมา ปราณทั่วร่างของเขาก็ระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่า

ท่ามกลางเสียงอึกทึกเลือนลั่น นภากาศเปลี่ยนสี น้ำวนแปรเปลี่ยน แปดทิศของมหาสมุทรทงเทียนมีคลื่นยักษ์สะท้านฟ้าถาโถม

ราวกับว่าตำแหน่งที่เขาอยู่ได้กลายมาเป็นต้นกำเนิดของโลกใบนี้ ทุกการกระทำของเขาจึงทำให้โลกทงเทียนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!

ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้นอีกครั้ง เขาสัมผัสได้ถึงวิกฤตอันตรายอย่างไร้คำบรรยายจากร่างของเทียนจุนในเวลานี้ ความรู้สึกเช่นนี้ราวกับว่าต่อให้ตนมีการฟื้นตัวจากบทมิวางวายก็ยังไม่สามารถต้านทานอีกฝ่ายได้!

ทว่าสายตาของเขากลับไม่มีวี่แววว่าจะถอยหนี เทียนจุนมีท่าไม้ตาย…ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มีเหมือนกัน!

และชั่วขณะที่ปราณทั่วร่างของเทียนจุนระเบิดสูงถึงขีดสุดจนโลกทั้งใบสั่นสะเทือน ประกายแสงประหลาดก็พลันเปล่งวาบในดวงตาเขา มือทั้งคู่ของเขายกขึ้นแล้วโบกไปข้างหน้า ปากก็ยิ่งเปล่งเสียงแห่งฟ้าดินที่จำแลงกลายมาเป็นคาถาอาคม!

“ประตูแห่งเต๋า…ค่านกง!”

(ค่านกงหรือพระราชวังค่าน พระราชวังค่านคือหนึ่งในพระราชวังทั้งเก้า พระราชวังทั้งเก้าก็คือการที่นักดาราศาสตร์ของจีนสมัยโบราณแบ่งพระราชวังสวรรค์ออกเป็นตำแหน่งตามรูปอักษรตัวจิ่ง (井)โดยระบุให้ตำแหน่งที่ตั้งของพระราชวังค่านคือทิศเหนือ หากเป็นฤดูคือฤดูหนาว หากเป็นธาตุคือธาตุน้ำ หากเป็นสถานที่คือจี้โจว รูปของแผนภูมิค่านก็คือ☵ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ)

สี่คำนี้คล้ายแฝงเร้นวิถีแห่งเต๋าบางอย่างเอาไว้ เมื่อดังก้องกังวาน กระบี่บินหกเล่มที่อยู่รอบกายนักพรตทงเทียนก็พากันบินสวบๆ ออกมาพร้อมกัน ครั้นจึงมาตัดสลับเรียงตัวกันเป็นรูปประหลาดสามแถวอยู่เบื้องหน้าเทียนจุน!

แถวที่หนึ่ง สองกระบี่นอนขวางอยู่ด้านบน ตรงกลางมีพื้นที่ว่าง!

แถวที่สอง สองกระบี่เหมือนผสานรวมเป็นหนึ่ง กลายมาเป็นอักษรตัวอี! (อักษรตัวอีของจีนคือเส้นหนึ่งขีด 一 แปลว่าหนึ่ง!)

แถวที่สาม จัดเรียงเหมือนแถวที่หนึ่ง!

ชั่วขณะที่ภาพซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของกระบี่ทั้งหกนี้ปรากฏขึ้น โลกที่ฟ้าดินกำลังแห้งเหี่ยวกลับเหมือนมีไอน้ำมหาศาลผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า ครั้นจึงก่อตัวกันกลายมาเป็นกระแสน้ำไร้ที่สิ้นสุดโอบล้อมอยู่รอบด้านของรูปสัญลักษณ์นี้…ราวกับว่านาทีนี้โลกทั้งใบได้กลายมาเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ และน้ำทะเลทั้งหมดที่มีน้ำหนักนับหมื่นชั่งนี้ก็ล้วนตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมเสียงดังเกริกก้อง!

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยกรูดไปอย่างว่องไว เมื่อเห็นว่ารอบด้านมีน้ำทะเลถูกจำแลงขึ้นมาให้มืดฟ้ามัวดินราวกับไร้ขอบเขตสิ้นสุด อีกทั้งในน้ำทะเลเหล่านั้นยังแฝงปราณแห่งการทำลายล้างหมายกลบทับกลืนกินทุกสรรพชีวิตลงไป วิกฤตที่เกิดขึ้นในใจเขาก็พลันระเบิดสนั่นหวั่นไหว

“วิชาของเทียนจุน ประตูแห่งเต๋าเก้าบาน…แล้วอย่างไร!”

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นสีแดงฉาน เมื่อเห็นว่าไร้หนทางให้หลบเลี่ยง เขาจึงแหงนหน้าแผดเสียงคำราม เมื่อยกมือขวาขึ้นมา น้ำวนสีดำก็พลันปรากฎ ท่ามกลางไอน้ำอบอวลด้านหลังเขามีเงาจักรพรรดิที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเผด็จการเยื้องกรายลงมาในฉับพลัน

“หมัดจักรพรรดิ มิดับสูญ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!