Skip to content

A World Worth Protecting 318

บทที่ 318 เจ้าสำนักหวัง โปรดให้ความร่วมมือด้วย

เมื่อหวังเป่าเล่อยกมือขึ้นรับแผ่นหยกเอาไว้และหลังจากที่สตรีนางนั้นออกคำสั่ง อาจารย์คนที่โดนจับไปก็เริ่มดิ้นรน ดูราวกับว่าเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง          แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกมา สตรีที่มีท่าทางเย็นชาแต่รูปร่างเย้ายวนนางนั้นก็จ้องมองไปทางเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ นางเดินปรี่ไปหาอีกฝ่ายก่อนจะตบเขา    อย่างแรงด้วยมือขวา

เมื่อหญิงสาวยกมือขวาขึ้นก็มีแรงกดดันของผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นที่กำลังจะบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในปะทุออกมาจากกายนาง แรงกระแทกพุ่งทะยานออกไป      ทุกทิศทาง และเมื่อฝ่ามือของนางพุ่งลงไปปะทะกับใบหน้าของอาจารย์สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาผู้นั้น เขากระอักเลือกออกมาในทันที อกของเขาแตกออกมาเป็น  ช่องกลวงเต็มไปด้วยเลือดเนื้อผสมปนเปกันและเผยให้เห็นซี่โครงขาว

ทว่าเขากลับไม่ตาย!

“ความตายมันยังง่ายเกินไปสำหรับเจ้า!” สีหน้าของสตรีนางนั้นยังคงเย็นชา    เมื่อนางล้วงเข้าไปในอกของอีกฝ่ายก่อนจะหักซี่โครงเขาสามซี่ อาจารย์ผู้นั้นร้อง   ครวญครางอย่างน่าสงสารเพราะความเจ็บปวด สตรีนางนั้นเช็ดมือที่อกเสื้อของผู้เป็นอาจารย์อย่างไม่ยี่หระพลางหันมามองศิษย์อาจารย์ที่ยืนล้อมอยู่รอบด้าน

อาจารย์ทุกคนกลั้นหายใจ แม้กระทั่งบรรดาศิษย์ก็ยังกังวล จินตั้วจื่อจ้องเขม็งไปยังสตรีผู้นั้นและดูเหมือนจะรู้ว่านางเป็นใคร เขารีบยืนตัวตรง พยายามจะให้ดูเหมือนว่าเขาสุขภาพแข็งแรงดี และสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น

หลังจากที่ข่มขวัญทุกคนเสร็จเรียบร้อย สตรีนางนั้นไม่ได้ชายตามองหวังเป่าเล่อด้วยซ้ำ นางเดินขึ้นเรือบินไป ขณะที่จั่วอี้เซียนผู้ซึ่งยืนอยู่หลังนาง ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก

ก่อนจะใช้ร่มเงาอำนาจของสตรีนางนั้นจ้องมองมายังหวังเป่าเล่ออย่างมุ่งร้าย และพาตัวอาจารย์สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาที่ตอนนี้สลบไสลไม่ได้สติขึ้นเรือบินไปพร้อมๆ กับสมาชิกคนอื่นของกองวินัยอาณานิคม ไม่นานนักเรือบินทั้งหมดของ     กองวินัยอาณานิคมก็พุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศก่อนจะหายลับไปบนท้องฟ้า

เมื่อกองเรือบินจากไป อุปกรณ์ที่ใช้พลังจากศิลาวิญญาณก็กลับมาใช้ได้เป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เขาไม่ได้หยุดการจับกุมของกองวินัยอาณานิคมเพราะสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้ในแผ่นหยกนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก

ใช้คนเป็นๆ เป็นเครื่องสังเวยเพื่อฝึกเคล็ดวิชาฝึกตนต้องห้าม เข่นฆ่าผู้ฝึกตน    ขั้นระดับการฝึกตนโบราณอย่างเหี้ยมโหดไปถึงเจ็ดคน และคนทั่วไปอีก 11 คน…      มีถ้อยคำสั้นๆ อยู่ไม่กี่คำบนแผ่นหยก แต่ประโยคสั้นๆ เหล่านั้นกลับบอกถึงความเหี้ยมโหดของอาจารย์ผู้นั้นได้เป็นอย่างดี

หลังจากที่ได้อ่านรายการอาชญากรรมบนแผ่นหยกแล้ว หวังเป่าเล่อก็จ้องมองไปยังเรือบินของกองวินัยอาณานิคมที่อยู่ห่างออกไปบนท้องฟ้า เขายังคงนิ่งเงียบ        หลินเทียนหาวผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายจึงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดอย่างจริงจัง

“ท่านเจ้าสำนักขอรับ อย่าไปยั่วโมโหนางบ้านั่นเลย…นางน่ะบ้าสิ้นดี…”

“เจ้ารู้จักนางหรือ นางเป็นใครกัน” ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายขึ้นมาวาบหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาเห็นว่าหลินเทียนหาวเหมือนอยากจะพูดบางอย่างแต่หยุดตนเองไว้ เห็นได้ชัดว่าเพราะสตรีนางนั้นอยู่ตรงนี้หลินเทียนหาวจึงไม่กล้าพูด นอกจากนั้นชายหนุ่มยังมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของจินตั้วจื่อ เมื่อสังเกตเห็นนางอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนั้นรู้ว่าสตรีนางนั้นเป็นใครและไม่ต้องการจะลบหลู่นาง

หลินเทียนหาวรีบกุลีกุจอตอบคำถามหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเมื่อครู่นี้        เขาทำตัวค่อนข้างขี้ขลาด แต่เมื่อสตรีนางนั้นยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะ     ส่งเสียง ขณะนี้ชายหนุ่มได้เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับกำลังพยายามแก้ไขความผิดพลาดของตน

“ท่านเจ้าสำนัก ท่านจำหลี่ซิ่วได้หรือไม่ขอรับ เขาเป็นลูกชายของเสนาบดี      สตรีคลั่งผู้นี้เป็นพี่สาวของเขา…พี่สาวแท้ๆ เลยขอรับ!”

คำตอบของหลินเทียนหาวทำเอาหวังเป่าเล่อตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ

“พี่สาวของหลี่ซิ่วเช่นนั้นหรือ” สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน พลางนึกไปถึงสีหน้าเคร่งเครียดของหลี่ซิ่วตอนที่บอกว่าจะแนะนำพี่สาวให้เขารู้จักเมื่อครั้งอยู่ในเขตจันทราเวท

“ขอรับ นางชื่อหลี่หว่านเอ๋อร์ แม้ว่านามจะไพเราะแต่ว่านางเป็นสตรีที่มีสีหน้าเย็นชา! แค่เพียงดูว่าหลี่ซิ่วนั้นเลวร้ายเพียงใด ท่านก็น่าจะพอเดาได้ว่าพี่สาวของเขาจะเป็นคนเช่นใด!”

“แม้ว่าหลี่หว่านเอ๋อร์จะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์แต่กำเนิด นางสามารถสำเร็จ         ขั้นรากฐานตั้งมั่นและใกล้จะเข้าสู่ขั้นกำเนิดแก่นในโดยที่มีอายุมากกว่าพวกเราไม่เท่าใด แต่นางก็เป็นคนเย็นชาและบ้าอำนาจเป็นอย่างยิ่ง เปรียบเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลายไม่ว่าจะกี่ล้านปี นางเป็นหญิงโสดผู้โจษจัน เป็นที่รู้จักกันถึงความเหี้ยมโหดและนิสัยแปลกประหลาด นางหน้าตางดงาม ทำให้มีชายหลายคนหมายปองนางเมื่อนานมาแล้ว ทว่าพวกเขาทุกคนก็ถูกนางทุบตีจนปางตาย…”

“ท่านรู้จักจินตั้วหมิงใช่ไหมขอรับ ครั้งหนึ่งเขาเคยตามเกี้ยวนาง เขาเพียงแค่พูดจาแทะโลมนางเท่านั้น แต่หลี่หว่านเอ๋อร์คนนี้ตามล่าเขาจนเกือบจะตัดเอากล่องดวงใจของเขาออกไปได้ทีเดียว ด้วยเหตุนี้เองนางจึงเป็นสตรีปีศาจ…

ว่ากันว่าหลี่ซิ่วถูกนางทุบตีตั้งแต่ยังเล็ก ทุกๆ ครั้งเขาสาบานว่าจะหาคนที่หน้าตาน่าเกลียด บ้ากาม ไร้ยางอาย และนิสัยชั่วช้ามาแต่งงานกับนางเพื่อเป็นการล้างแค้นให้ได้” ยิ่งหลินเทียวหาวเล่าไปเขาก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้น ไม่ได้สังเกตเห็นว่าหวังเป่าเล่อเริ่มมีสีหน้ากระอักกระอ่วน

ในที่สุดหลินเทียนหาวก็สังเกตเห็นสีหน้าอึดอัดของหวังเป่าเล่อ เขาจึงรีบหยุดพูดทันที แม้จะไม่รู้ว่าทำไมหวังเป่าเล่อจึงดูเป็นเช่นนั้น แต่ก็รู้สึกได้ว่าอาจจะเป็นอันตรายหากเขายังอยู่ตรงนั้นต่อไป ดังนั้นหลินเทียนหาวจึงใช้คำสั่งการสลายผู้คนเป็นข้ออ้างในการเดินออกมา

เมื่อผู้คนจากสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาสลายตัวแล้ว หวังเป่าเล่อก็เดินกลับไปยังห้องทำงานด้วยสีหน้าตึงเครียดพลางกัดกรามแน่น

หลี่ซิ่ว อย่าได้โผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีกเชียวนะ ไอ้บัดซบ…ในสายตาเจ้าข้าบ้ากาม น่าเกลียด ไร้ยางอาย และเลวร้ายอย่างนั้นหรือ ข้าออกจะหล่อเหลา เจ้ามองไม่เห็นเองมากกว่า ตาบอดเสียกระมัง! หวังเป่าเล่อโกรธที่สุดเมื่อได้รู้ว่าหลี่ซิ่วคิดว่าเขาอัปลักษณ์ ดังนั้นชายหนุ่มจึงตั้งใจจะสั่งสอนให้หลี่ซิ่วรู้จักถึงความงามอันแท้จริงหากมีโอกาสได้พบหน้ากันอีกครั้ง

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ข่มความโกรธเคืองในใจก่อนจะจ้องมองแผ่นหยกอีกครั้งก่อนจะวางมันลง เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาแต่อย่างใด ชายหนุ่มเพียงแค่ไม่สบายใจกับวิธีการที่กองวินัยอาณานิคมเลือกใช้จัดการเรื่องเท่านั้น ขณะนี้เขาใจเย็นลงแล้ว และก็เริ่มลงมือวาดพิมพ์เขียวของปราการและวางแผนการหลอมหุ่นเชิดต่อไป

หนึ่งวันผ่านไป บ่ายวันต่อมาหวังเป่าเล่อเดินออกมาจากที่พักไปยังห้องทำงาน  เจ้าสำนัก พลางคิดว่าเรื่องเกี่ยวกับกองวินัยอาณานิคมนั้นจบไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ค่อยสบอารมณ์กับวิธีการจัดการของกองวินัยเท่าใดนัก

แต่เขาก็ยังรักษาภาพพจน์ของตนในฐานะเจ้าสำนักเอาไว้ได้ แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้คาดฝันเลยว่าไม่นานหลังจากที่เขาเข้ามาที่ห้องทำงาน เรือบินจากกองวินัยอาณานิคมก็มาลงจอดอีกครั้ง

ครั้งนี้มีเรือบินเพียงลำเดียว แม้ว่าเรือบินจะไม่ได้เข้ามาภายในอาณาเขตของสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาและจอดอยู่ด้านนอก แต่บุคคลที่ก้าวออกมาจาก        เรือบินนั้นดูเป็นคนที่เคยชินกับการจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยความรุนแรง ชายผู้นั้น     เข้ามาในห้องทำงานของหวังเป่าเล่อแต่ก็ยังคงดุดันและตรงไปตรงมา

“เจ้าสำนักหวัง เสนาธิการของพวกเราต้องการให้ท่านช่วยเหลือในเรื่อง         การสืบสวน”

หวังเป่าเล่อจ้องมองอย่างเย็นชาไปที่ชายวัยกลางคนสีหน้าว่างเปล่าในชุดคลุม    สีดำตรงหน้า ก่อนจะหรี่ตาลง

“การสืบสวนอะไรกัน”

“เจ้าสำนักหวัง เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่ทราบได้ นี่เป็นคำสั่งจากกองวินัยอาณานิคมที่อยู่ภายในขอบเขตอำนาจที่กองวินัยอาณานิมคมได้รับมาจากนครดาวอังคาร ทุกคนที่สถานะต่ำกว่าขุนนางระดับสามชั้นรองจะต้องให้ความร่วมมือ เจ้าสำนักหวัง เชิญ!”

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ แต่เพราะเขาไม่ได้ทำสิ่งใดผิดและกองวินัยอาณานิคมต้องการความร่วมมือ ผู้คนจะครหานินทาเอาได้หากเขาไม่ยอมช่วยเหลือ ดังนั้นหลังจากที่ใคร่ครวญดูดีแล้ว ชายหนุ่มก็หยิบเอาแผ่นหยกออกมาและติดต่อไปยังประมุขสำนักแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

หลังจากที่แจ้งเรื่องดังกล่าวแล้ว ประมุขสำนักก็รับรองกับหวังเป่าเล่อว่าจะติดตามเรื่องนี้และแนะนำให้ชายหนุ่มยอมทำตามคำขอ

เมื่อนั้นหวังเป่าเล่อจึงลุกขึ้นยืน เขาไม่ได้เดินไปที่เรือบินของกองวินัยอาณานิคม แต่กลับเดินไปขึ้นเรือบินของตนเอง แล้วขับตามชายวัยกลางคนไปอย่างไร้อารมณ์    มุ่งหน้าไปยังกองวินัยอาณานิคมที่เขต 19!

ในไม่ช้าหวังเป่าเล่อก็มาถึงกองวินัยอาณานิคม สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างฉาบด้วยสีดำ แรงกดดันที่แผ่ออกมานั้นให้ความรู้สึกเย็นชาและห่างเหิน ทุกคนสวมใช่ชุดคลุมสีดำและมีหน้าตาเข้มงวด

ห้องทำงานของเสนาธิการกองวินัยอาณานิคมอยู่บนชั้นบนสุดในตึกที่              สูงตระหง่านอยู่ท่ามกลางตึกอื่นๆ เมื่อหวังเป่าเล่อมาถึงและผลักประตูเข้าไป         เขาก็เห็นหลี่หว่านเอ๋อร์ พี่สาวของหลี่ซิ่ว นั่งอยู่ข้างใน พลางจ้องมองมาทางเขาด้วยสายตาเย็นชา พลังปราณระดับรากฐานตั้งมั่นของนางแปรเปลี่ยนเป็นแรงกดดันที่เข้ามาล้อมรอบตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้

แม้ว่าหลี่หว่านเอ๋อร์จะมีสีหน้าไร้อารมณ์และเย็นชาเป็นอย่างมาก หวังเป่าเล่อก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าความงดงามของนางนั้นเทียบได้กับเจ้าเยี่ยเหมิงเลยทีเดียว ในแง่หนึ่ง ด้วยทรวดทรงอันเย้ายวนของนางแล้วอาจทำให้นางเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ

“เจ้าสำนักหวัง พวกเรามีเรื่องที่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าอยู่สองสามประการ ดังนั้นจึงต้องเชิญเจ้ามาที่นี่ ได้โปรดตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาด้วย!”     หลี่หว่านเอ๋อร์พูดอย่างไม่อ้อมค้อม คำถามของนางโดยมากแล้วเกี่ยวข้องกับอาจารย์ที่ถูกจับกุมตัวมา เช่นว่าจ้างเขามาเมื่อใดและเขาใช้เวลากับใครบ่อยที่สุด

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เขาก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงตอบคำถามทั้งหมดอย่างสัตย์จริง             ในท้ายที่สุด หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ประเมินสถานการณ์อยู่ในใจอย่างเงียบๆ ก่อนจะ        ก้มศีรษะลงดูเอกสารโดยไม่มองหวังเป่าเล่อด้วยซ้ำ ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เชิญเจ้ากลับไปได้แล้ว ตามกฎข้อบังคับแล้ว ข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกันที่นี่ควรจะถูกเก็บเป็นความลับ หาไม่แล้วเจ้าอาจจะถูกลงโทษได้”

หวังเป่าเล่อจ้องมองหลี่หว่านเอ๋อร์ผู้ซึ่งทั้งเย็นชาและห่างเหิน ขณะที่ชายหนุ่มกำลังมุ่งหน้าไปที่ประตู เขาก็หันศีรษะกลับมาจ้องนางอย่างเย็นชา ก่อนจะพูด     อย่างเนิบๆ ว่า

“เสนาธิการหลี่ ข้าไม่ใช่เด็กน้อยในสหพันธรัฐ เมื่อครั้งที่ข้าเพิ่งเข้าไปที่        สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ งานของข้าก็คือการสืบสวนเช่นกัน เมื่อครั้งที่ข้าได้ขึ้นเป็นรองเจ้าตำหนักบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง ข้าก็ดูแลเรื่องการสืบสวนเช่นกัน ข้ารู้ดีว่างานแบบนี้เป็นเช่นไร”

“เขาจะมีความผิดหรือไม่ ก็ล้วนขึ้นอยู่กับวาจาของท่านเท่านั้น ท่านแน่ใจหรือว่าหลักฐานที่มีนั้นถูกต้องและไม่ได้ใส่ร้ายอาจารย์ของข้า”

“ยิ่งไปกว่านั้น อย่าใช้พลังปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์แบบขู่ข้าเลย แม้ว่าข้าจะไม่เคยสังหารผู้ที่มีระดับการฝึกตนเท่ากันกับท่านมาก่อน ข้าก็เคยสังหารผู้ฝึกตนระดับรากฐานตั้งมั่นชั้นต้นและชั้นกลางมาแล้ว ตอนที่ข้าก็อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นเช่นกัน ข้าสามารถสังหารกระทั่งผู้ที่อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลายได้อย่าง           ไม่ยากเย็นนัก ตัวท่านเองที่อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์แบบไม่ได้ทำให้ข้ากลัวสักเท่าใดเลย!”

คำพูดของหวังเป่าเล่อทำเอาหลี่หว่านเอ๋อร์ขมวดคิ้ว นางเลิกสายตาขึ้นมามองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเย็นชาขึ้นไปอีก หวังเป่าเล่อเองก็จ้องตอบไม่กลัวเกรง ทั้งคู่ต่างแข่งจ้องตากันอยู่อย่างนั้นเป็นนาน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!