ตอนที่ 1488
สือเสียวหู่
หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก ผู้ยิ่งใหญ่แห่งตี้จิ่วจงก็ถอนหายใจพร้อมกับกล่าวขึ้นมาว่า
“ในตอนนั้นเปิ่นจุนทำพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่น่าจะเปิดประตูให้ฟางมู่เดินไปบนเส้นทางเหนือสูงสุด ครั้งนี้…จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นอีกแล้ว!”
การตายไปของฟางมู่ทำให้ตี้จิ่วจงได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง แต่ในทางกลับกัน ผู้ถูกเลือกจากอีกแปดสำนักต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา
พวกมันรู้สึกว่าไม่มีแรงกดดันขนาดใหญ่กำลังลอยอยู่เหนือศีรษะของตนเองอีกต่อไป แต่จากนั้น…ไม่ถึงหนึ่งร้อยปีต่อมา เยียนเอ๋อร์ก็มีความสำเร็จเช่นเดียวกับอาจารย์นาง ทำให้แรงกดดันขนาดใหญ่นั้นกลับมาอีกครั้ง
เมื่อเยียนเอ๋อร์ได้ยินคำตอบจากผู้ยิ่งใหญ่แห่งตี้จิ่วจง นางก็หลับตาลง จากนั้นก็หมอบกราบลงไปบนพื้น แน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่นั่น เห็นได้ชัดว่าถ้านางไม่อาจจะเข้าไปได้ ก็จะคงอยู่ในสถานที่แห่งนี้ต่อไป
เยียนเอ๋อร์เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง นี่คือเป้าหมายในชีวิตของตนเอง และนางก็จะไม่ร้องขอ แต่สิ่งที่กำลังทำอยู่นี้เกินกว่าคำขอร้องใดๆ…
นางต้องการไปค้นหาอาจารย์ เพื่อยืนยันว่าท่านตายไปแล้วจริงหรือไม่ นั่นคือความมุ่งมั่นของนาง และจะไม่มีทางจางหายไปได้
หนึ่งเดือน, หกเดือน, หนึ่งปี, สามปี…
ฤดูใบไม้ผลิ, ฤดูร้อน, ฤดูใบไม้ร่วง วันและคืนหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างไร้จุดสิ้นสุด และเยียนเอ๋อร์ก็ยังคงหมอบกราบอยู่ที่นั่นตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีใครพยายามมาบอกให้นางล้มเลิกความตั้งใจ นางก็ยังคงตรึงแน่นอยู่ในที่แห่งนั้นด้วยความมุ่งมั่น ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้าน และอดที่จะคิดไปถึงเงาร่างอันน่าตกใจจากเมื่อในอดีตอีกร่างหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้
อาจารย์และศิษย์มีความคล้ายคลึงกันหลายเรื่องเป็นอย่างยิ่ง
ห้าปีต่อมา เสียงกระหึ่มก็ดังเต็มอยู่ในท้องฟ้า ขณะที่รอยแตกขนาดใหญ่เปิดออก และขั้นบันไดก็ตกลงมาจากด้านบน
“ขอบคุณมาก จื้อจุน” นางกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าที่ขาวซีดเล็กน้อย แต่ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เตรียมตัวที่จะเริ่มเดินขึ้นไปบนบันได แต่จากนั้นพลังอันอ่อนโยนก็ไหลเข้ามาภายในร่าง กวาดล้างความเหน็ดเหนื่อยของนางไป ทำให้มีพลังเพิ่มมากขึ้น
“จงมีชีวิต…รอดกลับมา” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งตี้จิ่วจงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หลังจากผ่านไปห้าปี แม้แต่มันก็ยังเข้าใจถึงระดับความมุ่งมั่นของเยียนเอ๋อร์ และต้องถอนหายใจออกมา ที่ไม่สามารถขัดขวางศิษย์เพียงคนเดียวของฟางมู่ได้
แทนที่จะมองดูนางกราบกรานอยู่เช่นนั้น และรอคอยให้พลังชีวิตของนางเหือดแห้งหายไป มันจึงต้อง…ยอมแพ้ ปล่อยให้นางเข้าไป
ขณะที่เสียงถอนหายใจของผู้ยิ่งใหญ่ดังก้องออกมา เยียนเอ๋อร์ก็ประสานมือและโค้งตัวลง จากนั้นก็มองขึ้นไปในรอยแตก ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่น และการหวนรำลึก
“ซือจุน เยียนเอ๋อร์กำลังจะไปหาท่านแล้ว” นางกล่าวขึ้น ด้วยเช่นนั้นก็ขยับร่างเคลื่อนไหว บินขึ้นไปยังขั้นบันไดและหายตัวเข้าไปในรอยแตก
ในปีที่เยียนเอ๋อร์จากไป
กลุ่มผู้ถูกเลือกที่เหลือแห่งชางหมางพ่าย ไม่ได้รู้สึกว่าโล่งอกขึ้นแม้แต่น้อย แต่รู้สึกว่าหนักใจมากขึ้นกว่าเดิม
อาจารย์และศิษย์ต่างก็ก้าวเดินไปบนเส้นทางเหนือสูงสุด ในขณะที่ผู้ถูกเลือก…ยังคงต่อสู้เพื่อเอาชนะชางหมางไถ ทำให้ดูแตกต่างกันราวกับเป็นดินโคลนและก้อนเมฆ
เยียนเอ๋อร์เดินไปตามเส้นทางเหนือสูงสุดอย่างช้าๆ นางต้องการไปให้เร็วกว่านี้ แต่ก็ไม่อาจจะทำได้ สำหรับเมิ่งฮ่าว เขาสามารถผ่านเขตทัณฑ์แรกได้ภายในเวลาสามปี แต่เยียนเอ๋อร์ไม่อาจจะเทียบกับความเร็วเช่นนั้นได้ นางต้องใช้เวลามากไปกว่านั้น แต่ความมุ่งมั่นก็ไม่เคยลดน้อยลงไป มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
“ซือจุน ข้าต้องหาท่านพบให้จงได้” เยียนเอ๋อร์พึมพำ แรงกดดันอันเข้มข้นกำลังกดทับลงมาบนร่าง ทำให้ยากที่จะเดินหน้าต่อไปได้ แต่ก็ยังคงยืนหยัดต่อไป ติดตามมาด้วยอ๋าวเฉี่ยน ที่เดินอยู่ข้างกายนางอย่างเงียบๆ ตลอดเวลา
เวลาผ่านไปอย่างเลอะเลือน ในที่สุดก็ผ่านไปแล้วสิบห้าปี
ทารกชายที่ถือกำเนิดขึ้นมาในป่าบนภูเขาของทวีปที่เจ็ดเมื่อสิบกว่าปีก่อน กลายเป็นเด็กหนุ่มแล้วในตอนนี้ มันได้กลายเป็นหนึ่งในพรานป่าที่โดดเด่นมากที่สุดของหมู่บ้าน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สูงใหญ่มากนัก แต่ก็มีความคล่องแคล่วว่องไวมากเป็นพิเศษ ในตอนนี้มันกำลังพุ่งผ่านต้นไม้ ถือธนูล่าสัตว์อยู่ในมือ หลังจากที่เวลาชั่วธูปไหม้หมดครึ่งดอกผ่านไป ทันใดนั้นมันก็หยุดชะงักนิ่ง จากนั้นก็ยกธนูขึ้น ยิงออกไปด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้า
เสียงหึ่งๆ ได้ยินมา และลูกธนูก็พุ่งฝ่าอากาศปักเข้าไปในศีรษะของหมีดำตัวหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณสิบจ้าง (1 จ้าง ประมาณ 3 เมตร) ลูกธนูนั้นปักเข้าไปลึกประมาณสี่ชุ่น (1 ชุ่น ประมาณ 1 นิ้ว) ไม่ได้สังหารมันไป แต่ทำให้มันมีโทสะขึ้นมา เริ่มแผดร้องคำรามและพุ่งผ่านต้นไม้ตรงมายังเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มถอยหลังไปด้วยความเยือกเย็น ยิงลูกธนูปักเข้าไปในร่างหมีมากขึ้น โลหิตไหลลงมาเป็นทาง ทำให้มีโทสะมากขึ้นขณะที่พุ่งตรงมา จากนั้นจู่ๆ เด็กหนุ่มก็หยุดชะงักนิ่ง และมองไปยังหมีตัวนั้นด้วยสายตาที่สงบนิ่ง
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มหยุดเคลื่อนไหว หมีตัวนั้นก็เร่งความเร็วมากขึ้น แต่เมื่อเข้ามาใกล้เด็กหนุ่ม ทันใดนั้นพื้นดินก็ยุบตัวลงไป หลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น หมีตกลงไป ถูกไม้แหลมจำนวนมากที่ปักอยู่ตรงก้นหลุมเสียบทะลุร่าง
เสียงแผดร้องคำรามดังก้องออกมา ขณะที่หมีตัวนั้นตายไป
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความตื่นเต้น ลงไปในหลุมด้วยความระมัดระวัง ดึงหมีขึ้นมา และจากนั้นก็มุ่งหน้ากลับไปยังหมู่บ้าน พร้อมกับซากหมีที่แบกอยู่บนไหล่
เมื่อเด็กหนุ่มมาถึงบ้านพร้อมกับซากหมี ร่างกายก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ที่กำลังนั่งอยู่ในลานบ้านเป็นบุรุษวัยกลางคนร่างกายกำยำแข็งแรง พร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ขาข้างขวาของมันถูกพันไว้ด้วยผ้าอย่างแน่นหนา เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ขาของมันหักไปในตอนล่าสัตว์ แต่โชคดีที่มีร่างกายแข็งแรง และไปพบกับหลางจง (หมอจีนโบราณ) ในทันทีหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น มันอาจจะมีปัญหากับขาข้างนี้ในอนาคต แต่ก็ไม่เด่นชัดมากนัก
“ดีมาก! เสียวหูจื่อแห่งตระกูลสือ สามารถล่าหมีได้แล้ว!”
เด็กหนุ่มรีบเดินไปพร้อมรอยยิ้ม และจากนั้นประตูก็เปิดออก และสตรีวัยกลางคนก็ปรากฏขึ้น มองไปยังเด็กหนุ่มด้วยความรักใคร่ พร้อมกับขยี้ผมไปมาชั่วขณะ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังสามี
เด็กหนุ่มขยับร่างออกห่างจากสตรีนางนั้น ยิ้มอย่างไร้เดียงสา กระแอมไอและกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว ข้าคิดว่ามีอายุพอที่จะล่าหมีเหมือนกับท่านในตอนนั้นแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่บุตรแห่งสือหู่จะสามารถทำได้เช่นนั้น”
เด็กหนุ่มยิ้มออกมา รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความรักความอบอุ่นในบ้านหลังนี้
เด็กหนุ่มผู้นี้คือชีวิตที่สามของร่างจำแลงเมิ่งฮ่าว, สือเสียวหู่ (พยัคฆ์น้อยแซ่สือ)
ความรักความอบอุ่นในบ้านหลังนี้คงอยู่ต่อไปอีกสองปี แต่จากนั้นในช่วงฤดูหนาวของปีหนึ่ง บิดาก็หายตัวไปในตอนล่าสัตว์ และความอบอุ่นนั้นก็จางหายไป
ในยามราตรีนั้นราวกับว่าโลกของเด็กชายได้พังทลายลงไป มารดาไม่เชื่อว่าบิดาที่เป็นพรานป่าซึ่งเก่งกาจมากที่สุดในพื้นที่แถบนั้น เป็นผู้ที่รู้จักภูมิประเทศในบริเวณนั้นดีราวกับเป็นฝ่ามือของตนเอง จะหายตัวไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น ดังนั้นนางจึงออกไปค้นหาสามีครั้งแล้วครั้งเล่า คืนแล้วคืนเล่า
แต่ก็ไม่เคยพบเห็นแม้แต่น้อย หนึ่งปีต่อมามารดาก็ตาบอดไปเพราะความโศกเศร้า สองปีหลังจากนั้น…นางก็ตายไป
ก่อนตายนางจับมือสือเสียวหู่ไว้ และดูเหมือนว่าดวงตาอันว่างเปล่าของนางจะจ้องมองออกไปยังที่ห่างไกล ขณะที่กระซิบว่า “เสียวหู่ ฟู่ชิน (บิดา) เจ้าไม่ได้หายตัวไป…”
วันนั้นสือเสียวหู่ร้องไห้ออกมา เช่นเดียวกับในวันที่บิดาหายตัวไป นับจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน และไม่ยอมแต่งงานด้วยเช่นกัน ไปอาศัยอยู่บนภูเขา ทำการค้นหาบิดาอย่างไม่ลดละ
หนึ่งปีแล้ว หนี่งปีเล่าผ่านไป
เขาทำการค้นหาไปทั่วยังภูเขาสูงต่ำทุกลูกในบริเวณนั้นเป็นเวลายี่สิบปี ในวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ ตรงมุมหนึ่งของภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป เขาพบกับมีดที่ขึ้นสนิมอยู่เล่มหนึ่ง ในทันทีที่มองเห็น ดวงตาก็กลายเป็นสีแดงก่ำ เนื่องจากรู้ว่ามีดเล่มนั้นเป็นของบิดา
มันคือร่องรอยที่เขาพบเห็นเป็นครั้งแรก เริ่มทำการค้นหาไปรอบๆ บริเวณนั้นอย่างขะมักเขม้น และในที่สุดก็ขุดพบโครงกระดูกซึ่งอยู่ห่างออกไปจากมีดเล่มนั้นประมาณหนึ่งร้อยจ้าง
หลังจากที่ตรวจสอบดูโครงกระดูกนั้น เขาก็สังเกตเห็นว่าตรงกระดูกต้นขาด้านขวาเคยแตกหักมาก่อน ทำให้ต้องคุกเข่าลงไปโขกศีรษะในทันที นี่คือบิดาของตนเองที่หายตัวไปตลอดหลายปีที่ผ่านมา
มารดาไม่เคยเชื่อว่าบิดาจะหายตัวไป เช่นเดียวกับสือเสียวหู่ เขามักจะเชื่อว่าบิดาคือพรานป่าผู้ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าอันดุร้าย ก็สามารถจะรอดชีวิตกลับมาได้ นอกจากนี้สัตว์ที่อันตรายมากที่สุดในเทือกเขาแห่งนี้ก็คือฝูงหมีเท่านั้น
หลังจากตรวจสอบดูสิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ของบิดา ก็ยืนยันได้ว่าท่านไม่ได้ถูกสัตว์ป่าทำร้าย แต่พบเห็นบาดแผลที่กระดูกสันหลัง มีร่องรอยของลูกธนูอยู่ ยี่สิบปีก่อนท่านถูกยิงจากทางด้านหลัง
สือเสียวหู่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคันศรและลูกธนู สำหรับเขาแล้วหลักฐานที่เห็นนี้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
เขามองไปยังโครงกระดูกของบิดา และยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ประกอบไปด้วยความขมขื่นและดุร้าย จากนั้นก็นำโครงกระดูกกลับไปยังหมู่บ้าน และฝังอยู่เคียงข้างมารดา สร้างหลุมฝังศพที่เป็นเนินสูงขึ้นมาสำหรับคนทั้งสอง จากนั้นก็คุกเข่าอยู่ที่เบื้องหน้าและพึมพำว่า
“เตีย ข้าจะล้างแค้นให้ท่าน ไม่ว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนใดๆ ก็ตาม…”
เวลาผ่านไปนานก่อนจะในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นมายืน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม จากนั้นก็หันหลังและจากไป
เวลาเลื่อนผ่านไปอีกครั้ง สิบปีต่อมา สือเสียวหู่กลายเป็นชายชรา เขาใช้เวลาตลอดทั้งสิบปีนั้นกระทำทุกวิถีทางเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับบิดา ในที่สุดก็ยืนยันได้ว่าผู้สังหารคือตระกูลพรานป่าที่มาจากอีกหมู่บ้านในเทือกเขาแห่งนั้น
ฆาตกรผู้สังหารบิดาตนเองยังคงมีชีวิตอยู่
สือเสียวหู่ไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดว่าทำไมถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น สิ่งที่เขารู้ทั้งหมดก็คือว่า เมื่อเจ้าสังหารผู้คน เจ้าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนออกมาด้วยชีวิตของตนเอง
ในยามราตรีที่หิมะตกหนักของคืนวันหนึ่ง เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในห้วงความหนาวเย็น เขาก็เข้าไปในบ้านของฆาตกร เมื่อโผล่ออกมา ร่างกายก็เปียกชุ่มไปด้วยโลหิต และถือศีรษะที่ถูกตัดออกมา เขาสังหารชายชราไป และเมื่อบุตรของมันต่อสู้กลับมา เขาก็สังหารพวกมันไปด้วยเช่นกัน ทำการสังหารไปหมดทั้งครอบครัว
สุดท้ายเขาก็ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส แต่ก็ยังคงดิ้นรนกลับไปยังหมู่บ้านของตนเอง พร้อมกับศีรษะที่ถืออยู่ในมือ เขาโยนศีรษะลงไปที่เบื้องหน้าหลุมฝังศพบิดามารดา และจากนั้นก็ทรุดลงไปบนพื้น เริ่มดื่มสุราลงไป และพูดคุยกับบิดามารดาด้วยเสียงแผ่วเบา ซึ่งไม่มีใครจะสามารถได้ยิน
หิมะตกลงมาหนักมากขึ้นกว่าเดิม อาการบาดเจ็บของเขาเริ่มเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ คล้ายกับเป็นตะเกียงน้ำมันที่แทบจะดับลงไปได้ทุกเมื่อ ขณะที่สติสัมปชัญญะเริ่มจางหายไป ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมองเห็นบิดามารดายืนอยู่ที่นั่น
หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็หลับตาลง และนอนลงไปบนหลุมฝังศพ ราวกับว่ากำลังจะไปพบกับบิดามารดา และรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความรักในตอนที่ยังเป็นเด็กอีกครั้ง
หิมะปกคลุมไปบนซากศพของเขา แต่ก็ไม่อาจจะปกปิดวิญญาณที่ลอยออกมาจากหน้าผากของเขาได้ ขณะที่วิญญาณลอยขึ้นไปในท้องฟ้า ก็มองกลับไปยังหลุมฝังศพและถอนหายใจออกมา ภายในวิญญาณนั้น สามารถจะมองเห็นเครื่องหมายผนึกชิ้นที่สามกำลังส่องแสงระยิบระยับออกมา
วิญญาณประสานมือและโค้งตัวลงให้กับซากศพ จากนั้นก็หันหลังและเข้าไปสู่วัฏจักรแห่งการเกิดใหม่อีกครั้ง
ชีวิตที่สามของเขาจบสิ้นลงแล้ว และชีวิตที่สี่…กำลังเริ่มต้นขึ้น
ในตอนนี้เองที่เยียนเอ๋อร์ผ่านเข้าไปในทัณฑ์ที่สองบนเส้นทางเหนือสูงสุด แรงกดดันสิบเท่าทำให้นางต้องกัดฟันแน่น แต่ก็มุ่งหน้าเดินต่อไป พื้นฐานฝึกตนของนางตอนนี้อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับหนึ่งแก่นแท้