ตอนที่ 1487
เข้าสู่วัฏจักรแห่งการเกิดใหม่
เวลาเลื่อนผ่านไป ในช่วงเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ
บนทวีปที่แปดแห่งดาวชางหมาง ซึ่งเป็นดินแดนที่เพิ่งจะฟื้นฟูมาจากฤดูหนาว ภายในเมืองแห่งหนึ่ง พายุแห่งฤดูใบไม้ผลิทำให้เกิดเป็นสายฝนที่ตกลงมาพร้อมกับหิมะ และทารกเพศชายผู้หนึ่งก็ถือกำเนิดขึ้นมา
สิบปีเลื่อนผ่านไปในชั่วพริบตา และทารกน้อยนั้นก็กลายเป็นเด็กชายแล้วในตอนนี้ เพราะว่าเป็นเด็กที่ชาญฉลาดและมาจากครอบครัวที่ดี จึงได้เดินไปบนเส้นทางของนักศึกษา มันไปสอบเป็นขุนนาง และไม่กี่ปีต่อมาก็ออกจากบ้านไป เพื่อทำงานให้กับผู้ครองแคว้นของมนุษย์ธรรมดาแห่งทวีปที่แปด
มันมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ได้ไปอยู่ในราชสำนัก ในไม่ช้าก็เริ่มลุ่มหลงมัวเมากับการวางกลอุบาย ซึ่งเป็นสิ่งที่มันเชี่ยวชาญมากเป็นพิเศษ ในที่สุดก็มีศักดิ์ฐานะที่สูงส่งอยู่เหนือคนทั้งปวงราวกับเป็นดวงตะวันในยามเที่ยง ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นที่เชื่อถือของผู้ครองแคว้นคนก่อนเพียงคนเดียวเท่านั้น
มันมีนามว่าฟางฮ่าว
ไม่มีใครในเมืองหลวงของโลกมนุษย์แห่งนั้นจะไม่รู้จักนามนี้ แน่นอนว่าผู้ฝึกตนไม่เคยให้ความสนใจต่อมนุษย์แม้แต่คนเดียว อย่างไรก็ตามสำหรับยุคสมัยในตอนนี้ เขาคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุด
ฟางฮ่าวเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรนี้รองลงมาจากผู้ครองแคว้น ซึ่งค่อนข้างจะแปลกพิสดารอยู่บ้าง เขาไม่เคยแต่งงานและไม่เคยมีบุตรหลานสืบตระกูล เมื่ออายุแปดสิบก็ไม่ได้อยู่ในราชสำนักอีกต่อไป แต่ผู้คนก็ยังคงจงรักภักดีต่อเขา และด้วยอำนาจที่มี ทำให้สามารถจะปกครองไปทั่วทั้งราชสำนัก
คำพูดจากเขาเพียงคำเดียว ก็ทรงพลังราวกับเป็นพระบรมราชโองการ
ในช่วงฤดูหนาวของปีหนึ่ง หิมะเริ่มตกลงมา และเสียงแผดร้องก็ดังขึ้นมาอยู่ภายในเมืองหลวง เหล่าทหารกำลังต่อสู้กันบนถนน ทำให้ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยความหนาวเย็น จนดูเหมือนว่าจะหนาวเย็นยิ่งไปกว่าฤดูหนาวเองซะอีก
ในสวนดอกเหมยอันงดงามตรงมุมหนึ่งของเมือง ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะอยู่ในตอนนี้ ชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น ซึ่งกำลังถูกผลักดันเข้าไปในสวนโดยคนรับใช้ผู้หนึ่ง
ชายชราสวมใส่เสื้อกันหนาวที่หนาและอบอุ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น มีกลิ่นอายแห่งความตายแผ่กระจายออกมา ดวงตาหดแคบลง ดูเหมือนกับชายชราอื่นๆ ทั่วไป
“หลายฝู…” ชายชรากล่าวขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบา ทันใดนั้นข้ารับใช้วัยกลางคนก็รีบเดินมาอยู่ที่เบื้องหน้าและโค้งตัวลงด้วยสีหน้านอบน้อม ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความนับถือ
เสียงของชายชราแหบแห้ง ขณะที่กล่าวต่อไป “เหนียงชิน (มารดา) เคยบอกว่าเหล่าฟู (ผู้เฒ่า) เกิดในช่วงหิมะสุดท้ายของฤดูหนาว”
“คนชราก็มักจะคิดไปถึงเรื่องราวเมื่อในอดีต…”
“เมื่อเร็วๆ นี้ เหล่าฟูมักจะฝันอยู่เป็นประจำ ฝันถึงโลกอีกแห่งหนึ่ง ถึงแม้จะอยู่ห่างไกล แต่ข้าก็รู้สึกว่ากำลังเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถจะมองเห็นโลกนั้นได้อย่างแท้จริง ช่างน่าสนใจนัก” ชายชรามองไปรอบๆ ยังสวนดอกเหมย จากนั้นก็มองขึ้นไปในท้องฟ้ายังเกล็ดหิมะที่กำลังตกลงมา
ข้ารับใช้ไม่กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่รับฟังด้วยความนอบน้อมเท่านั้น
“บอกเหล่าซาน (อันดับสาม) ว่าให้ส่งศีรษะของตนเองมา ข้าเกลียดมัน”
“ถึงเวลาที่ต้องยุติการกบฏแย่งชิงบัลลังก์นี้แล้ว ตี้ปา (อันดับแปด) เป็นเด็กดี ให้เลือกมัน” จากน้ำเสียงสงบนิ่งที่ชายชรากล่าวออกมา ราวกับว่ามันกำลังพูดถึงเรื่องราวสัพเพเหระบางอย่าง ไม่ใช่การกบฏแย่งชิงบัลลังก์ที่มีผลกระทบต่อแคว้นทั้งหมด!
ราวกับว่ามันไม่ใช่ชายชราธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นผู้ทรงอำนาจที่มีสิทธิ์ตัดสินความเป็นตายในแคว้นแห่งนี้!
นี่คือฟางฮ่าว และก็เป็น…ชีวิตที่สองของร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวด้วยเช่นกัน!
ข้ารับใช้เปล่งเสียงตอบรับ ไม่กี่วันต่อมา ศีรษะหนึ่งก็ถูกส่งมายังชายชรา การกบฏแย่งชิงบัลลังก์ยุติลงด้วยคำพูดของคนเพียงคนเดียว ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่าฤดูหนาวไม่ได้หนาวเย็นเหมือนเช่นเคยอีกต่อไป
ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น พายุหิมะสุดท้ายของฤดูหนาวก็พัดมา ชายชรานั่งอยู่ที่นั่นมองดูหิมะตกลงมา และค่อยๆ หลับตาลงไปอย่างช้าๆ เมื่อลมหายใจสุดท้ายสิ้นสุดลง ตรงหน้าผากก็เปิดออก และวิญญาณก็ลอยออกมา ซึ่งมีเครื่องหมายผนึกอยู่เก้าชิ้นพร้อมกับรากเซียน และกิ่งก้านของรากเซียนนั้นสองกิ่งก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า เครื่องหมายผนึกชิ้นที่สองค่อยๆ สว่างขึ้นอย่างช้าๆ
ชีวิตที่สองของร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวสิ้นสุดลง มีการไว้ทุกข์กันไปทั่วทั้งแคว้น
พิธีศพของเขาถูกจัดขึ้นทั้งภายในแคว้นและนอกแคว้น ขุนนางทั้งปวงต่างก็มากันทั่วหน้า คนธรรมดาทั่วไปทั้งใกล้และไกลต่างก็มาด้วยเช่นเดียวกัน คำแถลงการณ์ถูกป่าวประกาศออกไปทั่วทั้งแคว้นว่า ให้ผู้คนสวมใส่ได้แค่สีดำและสีขาวเท่านั้น
แต่เขาก็ไม่รู้เรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้
ความทรงจำของเขาถูกฝังไว้ในส่วนลึกและถูกผนึกไว้ เมื่อตื่นขึ้นมาใหม่ ก็ไปอยู่ในทวีปที่เจ็ด ถือกำเนิดขึ้นมาจากครอบครัวพรานป่า ในช่วงฤดูหนาว
เมื่อถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ เขาก็ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดังขึ้นมาอย่างเลือนลางว่า “บุตรของข้า, สือหู่ จะต้องเป็นพรานที่เก่งกาจมากที่สุดอย่างแน่นอน!”
และชีวิตที่สามของเขาก็เริ่มต้นขึ้น
เวลาเดียวกันนั้น ร่างจริงเมิ่งฮ่าวก็ห่างไกลออกไปจากดาวชางหมางมากๆ กำลังพุ่งผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวออกไป พร้อมกับชุดเกราะสีดำที่ดูดุร้ายปกคลุมไปบนลำตัวทั้งหมด รวมทั้งแขนซ้ายด้วยเช่นกัน!
“ข้าพบกับเศษกระจกชิ้นที่หกแล้ว!” เมิ่งฮ่าวคิดด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อย และมีใบหน้าที่ซีดขาวอยู่เล็กน้อย เขาออกมาจากดาวชางหมางมากกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว ตลอดช่วงเวลานั้น ได้พบเจอกับอันตรายมามากมาย และไปพบเห็นโลกนับร้อยซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน
ความยากลำบากกว่าที่จะได้ครอบครองเศษชิ้นส่วนกระจกทำให้เมิ่งฮ่าวต้องรู้สึกตกตะลึง แต่ละชิ้นถือได้ว่าเป็นของวิเศษอันล้ำค่าที่ถูกปกป้องเป็นอย่างดีจากใครก็ตามที่มาค้นหามัน
เนื่องจากมีช่วงเวลาอันยาวนานมาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้ชิ้นส่วนกระจกถูกส่งต่อผ่านไปหลายมือ และในที่สุดชิ้นส่วนทั้งหมดนั้นก็ตกอยู่ในมือของสิ่งมีชีวิตระดับเก้าแก่นแท้ขั้นสูงสุด แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นต่างก็คงอยู่มานานหลายปีจนนับไม่ถ้วน
นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วจะไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกๆ ซึ่งคงอยู่ภายในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต
เมิ่งฮ่าวไล่ตามร่องรอยของเศษกระจกชิ้นที่ห้าจากภายในโลกที่ก่อตัวขึ้นมาเป็นกระจก ในโลกแห่งนั้นเขาพบว่าเหล่าศัตรูเป็นผู้ที่ไม่มีวันตาย พวกมันต่อสู้ไปมาเป็นเวลาหลายสิบปี และเมิ่งฮ่าวก็สังหารพวกมันไปหลายครั้งจนไม่อาจจะนับได้ ในที่สุดก็พบเห็นจุดอ่อนของโลกแห่งนั้น และข่มขู่พวกมันว่าจะทำลายโลกนั้นไป จนศัตรูต้องส่งมอบเศษชิ้นส่วนกระจกออกมา
เศษกระจกชิ้นที่หกยิ่งมีความลำบากมากไปกว่านั้น ความลำบากไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม แต่เป็นความจริงที่ว่า…เศษกระจกได้ตกอยู่ในดินโคลนที่มีขนาดกว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่ง จนแต่ละส่วนของมันถูกสร้างขึ้นมาเป็นแต่ละมิติที่แยกส่วนกันออกไป
แต่เศษชิ้นส่วนกระจกจะอยู่ตรงจุดใด เมิ่งฮ่าวมีหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะค้นหามันได้ก็คือ…ทำการค้นหาไปทั่วทุกมิติทีละชั้นไปเรื่อยๆ
การค้นหานั้นทำให้ต้องใช้เวลาไปเกือบหนึ่งร้อยปี
นอกจากได้รับเศษชิ้นส่วนกระจกที่แท้จริงแล้ว เมิ่งฮ่าวยังได้รับผลประโยชน์อื่นอีกจากการเดินทางในครั้งนี้ ทำให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตอย่างลึกซึ้งมากขึ้น เมื่อช่วงเวลาผ่านไปหลายสิบปี พื้นฐานฝึกตนของเขาก็ไต่สูงมากขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ต่อสู้กับศัตรูอันแข็งแกร่งที่พบเจอมา ยิ่งไปกว่านั้นเขากำลังได้รับความรู้แจ้งจากแก่นแท้ทั้งแปดของตนเอง
เมิ่งฮ่าวไม่แน่ใจว่าพลังการต่อสู้ของตนเองในตอนนี้ สูงถึงระดับใดกันแน่
แต่ก็รู้ว่าพื้นฐานฝึกตนของตัวเองอยู่ที่ระดับใด เขาไม่จำเป็นต้องใช้ชิ้นส่วนกระจกทองแดงต่อสู้กับเจ้าสำนักและคนอื่นๆ เขาสามารถจะต่อสู้กับพวกมันด้วยพลังของตนเอง ไม่ว่าเจ้าสำนัก, ซาจิ่วตง และไป๋อู้เฉินจะรวมพลังกันก็ตาม
ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต กลุ่มคนที่สามารถจะต่อสู้กับเมิ่งฮ่าวได้ มีแต่เหล่าผู้แข็งแกร่งเก้าแก่นแท้พิสดารที่คงอยู่มานานหลายปีจนนับไม่ถ้วน และเป็นผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเหนือสูงสุดแค่ระดับเดียวเท่านั้น
ทุกครั้งที่เมิ่งฮ่าวเอาชนะผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นได้ ก็มักจะยื่นข้อเสนอให้มาเข้าร่วมกับตนเอง และมักจะถูกปฏิเสธไปทุกครั้ง แต่เขาก็ไม่ใส่ใจต่อเรื่องเช่นนี้ แค่จากไปพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตามเขามักจะจดจำตำแหน่งที่อยู่ของผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นไว้ เมื่อไหร่ก็ตามที่สร้างเวทรุ่นเก้าขึ้นมาได้สำเร็จ ก็จะกลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะอยู่เหนือจุดสูงสุดได้หรือไม่ ไม่ว่าพวกมันต้องการเข้าร่วมหรือไม่ เขาจะกะเกณฑ์ให้พวกมันต้องมาช่วยตนเอง ในตอนที่กลับบ้านไป!
ขณะที่เมิ่งฮ่าวเดินทางต่อไป ก็รู้สึกได้ว่าร่างจำแลงของตนเองกำลังผ่านเข้าไปในชีวิตที่สามของมัน เพราะว่าความทรงจำทั้งหมดของร่างจำแลงถูกผนึกไว้ ทำให้การเชื่อมต่อกับเมิ่งฮ่าวเลือนลางลงไปมากขึ้น แต่โครงสร้างพื้นฐานยังคงมีอยู่ที่นั่น ถึงแม้ว่าไม่อาจจะควบคุมร่างจำแลงของตนเองได้หลังจากที่มันถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ แต่ก็สามารถจะมองเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้ ทำให้รู้สึกว่าถ้าตนเองพยายามจะยื่นมือเข้าไปสอดแทรก ก็จะเกิดการแตกแยกขึ้น ซึ่งจะทำให้การสร้างเวทรุ่นเก้าจนสำเร็จมีปัญหามากขึ้น
“ชีวิตที่สองจบลงแล้ว และเครื่องหมายผนึกชิ้นที่สองก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ดูเหมือนว่ามันต้องใช้เวลาอีกหลายปี…กว่าที่ร่างจำแลงข้าจะสร้างเวทรุ่นเก้าได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์”
“เมื่อมันทำได้สำเร็จ ข้าก็สามารถจะ…กลับไปยังอาณาจักรขุนเขาทะเล!”
เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มพุ่งตรงไปยังทิศทางของเศษกระจกทองแดงชิ้นที่เจ็ด
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ย้อนกลับไปยังดาวชางหมาง เจ้าสำนักและคนอื่นๆ ได้เตรียมตัวที่จะเดินทางเข้าไปในเขตสุสานอีกครั้ง
นอกจากนี้ยังมีผู้ถูกเลือกอีกคน ได้ปรากฎขึ้นในชางหมางพ่าย เป็นคนที่มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับฟางมู่
นั่นก็คือ…เยียนเอ๋อร์!
เกิดเป็นเสียงระฆังดังก้องขึ้นมา ขณะที่สวรรค์ชั้นแล้วชั้นเล่าถูกเรียกลงมา เมื่อนางเรียกสวรรค์ชั้นที่เก้าลงมา ทั้งชางหมางพ่ายก็สั่นสะเทือนไปทั่ว และนางก็ไม่หยุดอยู่เพียงแค่ชางหมางไถแห่งเดียวเท่านั้น นางเดินตามรอยของอาจารย์ ไปท้าทายชางหมางไถของสำนักทั้งเก้า ทำให้มีนามติดอยู่ในอันดับรายชื่อเหล่านั้น
เยียนเอ๋อร์อยู่ในอันดับสองของชางหมางไถทั้งหมด ทำให้ชางหมางพ่ายต้องสั่นสะเทือนไปด้วยสวรรค์ชั้นที่เก้า
ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างก็ตกตะลึง และทำการเปรียบเทียบระหว่างนางและฟางมู่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ การกระทำของนางทำให้ชางหมางพ่ายต้องสั่นสะเทือนไปทั่วอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
ตอนนี้นางยืนอยู่บนสวรรค์ชั้นเก้าในตี้จิ่วจง กำลังมองขึ้นไปในท้องฟ้า ภายในแววตาเต็มไปด้วยการหวนรำลึก ความครุ่นคิด และความมุ่งมั่น
เช่นเดียวกับที่นางเคยสาบานไว้เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน นางจะเดินไปบนเส้นทางเหนือสูงสุด!
หลังจากที่ได้เห็นเปลวไฟวิญญาณของอาจารย์ดับลงไป นางก็ตั้งสัตย์ปฏิญาณจนกลายมาเป็นความมุ่งมั่นตลอดชั่วชีวิตของตนเอง
ตลอดช่วงหลายปีมานี้ น้อยคนนักที่จะกลับออกมาจากเส้นทางเหนือสูงสุด พร้อมกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับฟางมู่ที่ตายไปในช่วงของการเข้าฌาณ สันนิษฐานว่าซากศพของเขายังคงอยู่บนเส้นทางนั้น แต่ก็น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่ไม่อาจจะแตะต้องซากศพนั้นได้แม้แต่น้อย
เรื่องราวเช่นนี้ถูกบอกเล่ามาจากผู้คนมากกว่าหนึ่งคน ดังนั้นก็น่าจะเป็นความจริง
อย่างไรก็ตาม เยียนเอ๋อร์ก็ไม่เชื่อว่าอาจารย์ของตนเองจะตายไปบนเส้นทางเหนือสูงสุดอย่างง่ายดายเช่นนี้ ดังนั้นนางจะเดินไปบนเส้นทางเดียวกับท่าน นางจะไปดูด้วยสองตาของตนเองว่าเรื่องราวที่แท้จริงเป็นอย่างไรกันแน่
ไม่กี่วันต่อมาเยียนเอ๋อร์ซึ่งเป็นผู้ถูกเลือกที่น่าประหลาดใจมากที่สุดคนที่สอง ได้ไปปรากฎกายขึ้นในชางหมางพ่าย นางดับตะเกียงวิญญาณดวงสุดท้ายของตนเองไป และก้าวเข้าไปในอาณาจักรเต๋าเรียบร้อยแล้ว ผู้คนมากมายมองเห็นทัณฑ์อาณาจักรเต๋าอันน่าตกใจของนางด้วยสองตาของตนเอง เมื่อเหตุการณ์นั้นสิ้นสุดลง นางก็ไปพบผู้ยิ่งใหญ่แห่งตี้จิ่วจง พูดจาออกมาเช่นเดียวกับอาจารย์ของนาง
“ข้าต้องการเดินไปบนเส้นทางเหนือสูงสุด ขอให้จื้อจุน (ผู้ยิ่งใหญ่) ช่วยเปิดประตูด้วย!” เมื่อคำพูดเยียนเอ๋อร์ดังก้องไปมาในอากาศของตี้จิ่วจง ศิษย์นับไม่ถ้วนก็มองไปอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันซับซ้อน ตลอดช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาหลังจากที่ฟางมู่ตกตายไป เยียนเอ๋อร์ก็เปลี่ยนความโศกเศร้าเสียใจให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนจนแข็งแกร่งขึ้นมา
เยียนเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว สำหรับกลุ่มคนเหล่านี้ นางได้กลายเป็น…ต้าซือเจี่ย (ศิษย์พี่หญิงใหญ่) มานานแล้ว
เพื่อตอบรับข้อเรียกร้องของเยียนเอ๋อร์ เสียงเก่าแก่โบราณก็ดังก้องออกมา “ทำไมเจ้าต้องทำเรื่องเช่นนี้ด้วย…?”
เยียนเอ๋อร์ประสานมือและโค้งตัวลง ส่งเสียงดังก้องขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่น ขณะที่กล่าวว่า “จื้อจุนเฉียนเป้ย (ผู้ยิ่งใหญ่อาวุโส) หว่านเป้ย (ผู้เยาว์) ตัดสินใจแล้ว!”