ตอนที่ 899
มิตรหรือศัตรูยากแยกแยะ
“ของสิ่งนั้น?” ฟางซีกล่าว จ้องมองไปยังผีโต้งด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ฉับพลันนั้นผีโต้งก็หยุดพูดและมองไปยังฟางซี ดูเหมือนว่าทั้งคู่รู้สึกค่อนข้างจะผิดหวังในตอนแรก แต่ในที่สุดแสงเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของทั้งคู่
“รังสีสังหาร!” เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้าง ถอยไปทางด้านหลัง ขณะที่รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายที่กำลังพุ่งขึ้นมาระหว่างผีโต้งและฟางซี
“ในที่สุดก็ได้พบกับคู่ต่อสู้ที่คู่ควรแล้ว!” ผีโต้งกล่าวขึ้น กระโดดขึ้นไปในอากาศ ไปหยุดอยู่ที่ด้านข้างฟางซี ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ดูเหมือนว่าข้าจะพบกับคู่ต่อสู้เข้าแล้ว!” ฟางซีกล่าวตอบ รู้สึกได้ถึงพลังที่อยู่ภายในร่างของผีโต้ง เป็นพลังที่มันเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะรับรู้ได้ และจากพลังนั้น ทำให้มันรู้ว่าผีโต้งสามารถที่จะพูดคุยได้ตลอดทั้งวันอย่างไม่รู้จบ
“ดูเหมือนว่าข้าจำเป็นต้องอุ่นเครื่องสักเล็กน้อยในตอนแรก” ผีโต้งกล่าว กระแอมไอออกมา “อะแฮ่ม ฟังนะเด็กน้อย ซานเหยียกำลังจะบอกเล่าเรื่องราวให้เจ้าฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อสาม สาม สาม สาม สาม…อืมเอาเป็นว่าเมื่อสามปีนับไม่ถ้วนก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปในช่วงวันแรกๆ ของสวรรค์และปฐพี…”
“ไร้สาระ! เจ้ารู้จักแค่สามเท่านั้น? สาม สาม สาม สาม สาม เจ้าทำให้ข้าต้องเสียหน้านัก!” ฟางซียังไม่ทันได้เริ่มพูด แต่ทันใดนั้นเอง นกแก้วก็บินออกมาจากถุงสมบัติของเมิ่งฮ่าว มาเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้ๆ บริเวณนั้น และมองไปยังฟางซีด้วยแววตาที่ดูถูก
“เด็กน้อย อย่าไปฟังวาจาไร้สาระของมัน” นกแก้วกล่าว “เจ้ามาเรียนกับอู่เหยียดีกว่า ดูที่ปากของข้า มันแหลมคมหรือไม่? จากปากนี้ เจ้าก็น่าจะคาดคิดได้ว่าลิ้นของข้าจะคมกริบมากแค่ไหน!”
เมิ่งฮ่าวรีบออกไปจากลานบ้าน หลบหนีเข้าไปในถ้ำแห่งเซียนอย่างรวดเร็ว ในความคิดของเขา สนามการต่อสู้ระหว่างผีโต้ง นกแก้ว และฟางซี เป็นสถานที่ที่เขาไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เขาได้พบเจอกับคำพูดที่ไร้สาระของฟางซีมาตลอดทางแล้ว มันพูดได้ตลอดเวลา บอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่วันที่มันมีอายุหนึ่งขวบ จนกระทั่งถึงตอนนี้ รวมทั้งนิทานของผู้ก่อตั้งแห่งตระกูลฟางมาจนถึงยุคสมัยปัจจุบันนี้ เมื่อมันพูดหัวข้อนี้จบ มันก็จะเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับสมาชิกต่างๆ ของตระกูลฟางให้กับเมิ่งฮ่าวฟังต่อไป
แน่นอนว่า มันไม่ได้พูดคุยแนะนำตามความเป็นจริง แต่พูดจากมุมมองความคิดเห็นของมันเท่านั้น…
ที่ด้านในของที่อยู่อาศัยของเขา เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ และได้เห็นความหรูหราอย่างถึงที่สุด แม้แต่เครื่องเรือนต่างๆ ก็สร้างขึ้นมาจากหินลมปราณ ทำให้ดวงตาต้องเบิกกว้างขึ้น
“ตระกูลฟาง…ช่างร่ำรวยจริงๆ! และข้าก็เป็นหลานปู่คนโต! แต่…ข้าก็ยากจนเป็นอย่างยิ่ง…” หลังจากที่ถอนหายใจในความอยุติธรรมนี้ เขาก็โบกสะบัดมือ ทำให้เครื่องเรือนที่เป็นหินลมปราณทั้งหมด ถูกดูดเข้ามาอยู่ในถุงสมบัติ
ที่อยู่อาศัยที่ครั้งหนึ่งเคยหรูหราสง่างาม ในตอนนี้กลับดูเรียบง่ายไปโดยสิ้นเชิง ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ ก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม ในที่สุดเขาก็นั่งลงขัดสมาธิไปบนพื้น ดวงตาสาดประกายขึ้นมา
“เตียต้องการให้ข้ารับผลเนี่ยผานกลับมา โดยที่ไม่บอกเหตุผลว่าต้องการจะให้ข้าสร้างชื่ออยู่ในตระกูลฟาง…”
“มันคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำเช่นนั้น แต่สำหรับผลเนี่ยผาน…ตระกูลฟาง…จะส่งมอบมาให้ข้าจริงๆ?” เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว เมื่อคิดไปถึงกับดักที่เคยพบเจอมาบนเส้นทางที่จะมายังที่แห่งนี้ และความพยายามของพวกมันที่ต้องการจะสังหารเขาให้จงได้ ดวงตาก็เริ่มสาดประกายด้วยแสงอันเย็นชา
“บางทีตระกูลสาขาของฟางเว่ยอาจจะส่งมือสังหารมา…” เมิ่งฮ่าวรู้ว่าสายโลหิตหลักของตระกูลในตอนนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากเป็นอย่างยิ่ง แต่ในทางกลับกัน ตระกูลสาขาของฟางเว่ยกับโดดเด่นขึ้นมา พวกมันไม่เพียงแต่จะได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสของตระกูลอย่างมากมายเท่านั้น แต่ยังได้ครอบครองคฤหาสน์โบราณบางส่วนอีกด้วย บางสาขาของตระกูลยังคงวางตัวเป็นกลาง แต่ส่วนใหญ่แล้ว สาขาของฟางเว่ยได้บดบังสายโลหิตหลักไปโดยสิ้นเชิง
“ผู้เฒ่าสูงสุดมีการกระทำที่แปลกๆ มันดูเหมือนจะใจดีมีเมตตา แต่ในความคิดของข้า มันก็แค่เสแสร้งแกล้งทำเท่านั้น” เมิ่งฮ่าวคิด ยิ้มอย่างเย็นชาออกมา คนอื่นๆ ทั้งหมดคิดว่าเขาถูกดูแลมาโดยบิดามารดาตั้งแต่อายุยังเยาว์ พวกมันเชื่อว่าชีวิตของเขาก็คงจะเหมือนกับตอนที่อยู่ในตระกูลฟาง มั่นใจว่าเขาไม่เคยพบเจอกับความผันผวน และอันตรายที่ถึงแก่ชีวิตมาก่อน
ความจริงของเรื่องนี้มาจากตอนที่เขามีอายุครบเจ็ดปีต่อมา เมิ่งฮ่าวต้องอยู่ตามลำพังมาโดยตลอด ในโลกของมนุษย์ธรรมดา เขาต้องดิ้นรนอย่างยากลำบากตั้งแต่ช่วงที่ยังเยาว์วัย สร้างเป็นจิตวิญญาณที่เป็นอิสระของตนเอง จากนั้นก็เข้าไปสู่โลกแห่งการฝึกตน และได้พบเจอกับเหตุการณ์มากมายหลายอย่าง รอดพ้นจากวิกฤตอันร้ายแรงมานับครั้งไม่ถ้วน ก้าวไปทีละขั้นจนบรรลุมาถึงชีวิตในตอนนี้ ได้รับความช่วยเหลือจากบิดามารดาอย่างจำกัด ซึ่งกล่าวได้ว่าน้อยมาก
ถึงแม้ว่าเขาไม่อาจจะตัดสินคนจากบุคลิกส่วนตัวได้อย่างดีเยี่ยมนัก แต่ก็แทบจะไม่เคยผิดพลาดเมื่อต้องประเมินใครสักคน เขาค่อนข้างจะมีประสบการณ์ในการวินิจฉัยคนอื่นๆ จึงเป็นธรรมดาที่เขาค่อนข้างจะเก่งในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย
“อีกสองวัน พวกมันคงจะไม่ส่งมอบผลเนี่ยผานมาให้ข้าอย่างแน่นอน พวกมันคงจะกล่าวคำแก้ตัวจนข้าไม่อาจจะโต้แย้งได้ และจากนั้นก็จะยืดเรื่องนี้ออกไปเรื่อยๆ…”
“แน่นอนว่า การที่ข้ากลับมายังตระกูล อาจจะทำให้คนที่ต้องการจะสังหารข้าปวดศีรษะเป็นอย่างมาก แต่…ยิ่งข้ามีศักดิ์ฐานะอยู่ในตระกูลฟางสูงมากเท่าใด พวกมันก็ยิ่งหวาดกลัวจนสามารถจะทำทุกอย่างเพื่อกำจัดข้าไปให้จงได้มากขึ้นเท่านั้น”
หลังจากที่ครุ่นคิดมากขึ้น ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็แวบประกายขึ้น และเปิดถุงสมบัติที่ประกอบไปด้วยอุปกรณ์การฝึกตนจากตระกูลฟางออกมา หลังจากที่มองไปยังพวกมัน เขาก็ต้องสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
มีขวดยาอยู่หนึ่งร้อยขวด หินลมปราณหนึ่งล้านก้อน และตำราเวทหนึ่งร้อยเล่ม ถึงแม้ว่าจะไม่มีเวทแห่งเต๋า แต่ก็มีความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังอยู่มากมาย สำหรับเวทแห่งเต๋าที่แข็งแกร่งของตระกูลฟาง แน่นอนว่าไม่มีแม้แต่เวทเดียวอยู่ในนั้น
มีบางอย่างที่เมิ่งฮ่าวรับรู้มาจากฟางซี แม้แต่ฟางเว่ยก็ยังไม่อาจจะได้เรียนรู้เวทแห่งเต๋าหลักๆ เหล่านั้น โดยที่ไม่ได้ทำความดีช่วยเหลือใดๆ การกระทำเช่นนั้นจะถูกถือว่าเป็นการสร้างผลงานให้กับตระกูล
ยิ่งทำความดีมากเท่าใด ก็จะยิ่งได้รับของรางวัลมากขึ้นเท่านั้น
มันเป็นกฎที่ใช้สำหรับคนทั้งหมดของตระกูลฟาง แม้แต่ผู้เฒ่าสูงสุดก็ยังไม่อาจจะละเมิดกฎนี้ได้
“ข้าจะได้รับคะแนนความดีหนึ่งพันคะแนนในทุกๆ เดือนเพียงคนเดียว จากศักดิ์ฐานะของข้าในตระกูล แต่โชคร้ายที่มันยังคงไม่พอที่จะทำให้ข้าได้รับเวทแห่งเต๋าหลักเหล่านั้นได้” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น ขณะที่หยิบเอาแผ่นหยกซึ่งมีรายชื่อและคุณสมบัติของเม็ดยา, เวทแห่งเต๋า และอาวุธเวทต่างๆ นับไม่ถ้วนออกมา
สิ่งของทั้งหมดเหล่านี้ สามารถที่จะซื้อหาได้ด้วยคะแนนความดี
มีอยู่มากมายหลายสิ่งที่ทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวต้องเต้นรัว หลังจากที่ได้เห็นคุณสมบัติของพวกมัน
“มีอยู่หลายวิธีที่จะได้รับคะแนนความดี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะได้มาจากการแข่งขันต่างๆ ที่ถูกจัดขึ้นเป็นทางการของตระกูล การแข่งขันที่แตกต่างกัน ก็จะได้รับคะแนนความดีที่ไม่เท่ากัน”
ในเวลาเดียวกับที่เมิ่งฮ่าวกำลังศึกษาแผ่นหยกอยู่นั้น บิดาและปู่ของฟางเว่ย กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในวิหารตรงเขตตะวันออกของคฤหาสน์โบราณ
บิดาฟางเว่ยมีนามว่าฟางซิ่วซาน กำลังขมวดคิ้วอยู่ มองไปยังบิดาของมันและกล่าวว่า “เตีย ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าสุนัขน้อยนั่นจะกลับมาได้…”
“ไม่เป็นไร ข้าได้จัดการเรื่องนี้ไว้แล้ว” ชายชรากล่าวตอบเสียงราบเรียบ แสงอันโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นในแววตา “ถ้ามันกลับมาและทำตัวเรียบร้อยอยู่อย่างสงบ ก็จะไม่มีเรื่องอันใด แต่เมื่อมันตั้งใจที่จะวางตัวอย่างสูงส่งและยิ่งใหญ่ ก็ทำให้ตัวมันเองต้องก้าวเท้าเข้าไปในนรกครึ่งก้าวแล้ว”
“ให้เว่ยเอ๋อร์เพ่งสมาธิไปที่การฝึกตนของมัน มันคือผู้ถูกเลือกแห่งตระกูลฟาง และปรมาจารย์ของสายโลหิตพวกเราก็ตั้งความฝังไว้ที่มันอย่างสูง อย่าปล่อยให้จิตใจมันวอกแวกวุ่นวายได้”
“เตีย ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องนี้ เว่ยเอ๋อร์มีพลังแห่งเจตจำนงที่แท้จริง มันต้องไม่ถูกเจ้าสุนัขน้อยนั่นทำให้ปั่นป่วนวุ่นวายเป็นแน่” ฟางซิ่วซานยิ้มออกมา
“สายโลหิตหลักกำลังตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว” ชายชรากล่าวขึ้นด้วยความเชื่อมั่น ดวงตาแวบประกายขึ้นราวกับเป็นแสงไฟ “ฟางเหอไห่หายสาบสูญไปหลายปีแล้ว ถึงแม้ว่าเปลวไฟพลังชีวิตของมันยังไม่ได้ดับลงไป ถ้ามันสามารถกลับมาได้ มันก็คงจะกลับมานานแล้ว”
“บุตรชายมันฟางซิ่วเฟิง ยินยอมที่จะไปเป็นผู้พิทักษ์ดาวหนานเทียนเป็นเวลาหนึ่งแสนปีเพื่อบุตรชายที่พิการของมัน ทั้งหมดนี้ทำให้สายโลหิตหลักถึงวาระที่จะต้องตกต่ำลงไป!”
“มั่นใจได้ว่าสายโลหิตของพวกเราจะต้องกลายเป็นผู้นำของตระกูลฟางรุ่นต่อไปอีกครั้ง และจะกลายเป็นสายโลหิตหลักรุ่นใหม่!”
“เมื่อหลายปีก่อนโน้น ฟางเหอไห่ได้สะกดข่มข้าไว้ และบุตรของมันก็สะกดข่มเจ้า ในรุ่นนี้เว่ยเอ๋อร์ของพวกเราจะต้องมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างแน่นอน เจ้าสุนัขน้อยฟางฮ่าวจะต้องกลายเป็นหินรองรับเท้าให้กับมัน” ชายชราโบกสะบัดชายแขนเสื้อ
เวลาผ่านไป ในช่วงสองวันมานี้ เมิ่งฮ่าวไม่ได้ออกไปจากที่พัก เขานั่งเข้าฌาณอยู่ที่นั่น ทำการสูดลมหายใจดูดซับปราณเซียนเข้าไป สองวันที่ผ่านมานี้คล้ายกับเป็นสองเดือนเต็มบนดาวหนานเทียน การที่สามารถจะฝึกตนเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อเมิ่งฮ่าวอย่างยิ่ง
เมิ่งฮ่าวดึงเอาหัวใจของร่างจริงที่สองออกมา และเริ่มหล่อเลี้ยงมันด้วยปราณเซียนใกล้กับที่พักของเขา
เมื่อเมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้นมาจากความเคลิบเคลิ้มก็เป็นเวลาประมาณยามเที่ยง ตบไปที่ถุงสมบัติหยิบเอาแผ่นหยกที่กำลังส่องแสงเจิดจ้าออกมา เขารีบอ่านมันด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว
“ฮ่าวเอ๋อร์ ให้มาที่วิหารหลัก” มันคือเสียงของผู้เฒ่าสูงสุด เมิ่งฮ่าวยิ้มอย่างเย็นชาเป็นการตอบรับ เก็บแผ่นหยกไว้และเดินออกไปจากบ้านพัก สิ่งแรกที่เห็นในลานบ้านคือฟางซี ขอบตามันเป็นสีดำคล้ำ และกลิ่นอายก็อ่อนแอลงอย่างน่าเหลือเชื่อ
ผีโต้งและนกแก้วกำลังระดมโจมตีมันอย่างวุ่นวายด้วยคำโต้เถียงที่แตกต่างกันออกไป
ทันทีที่ฟางซีมองเห็นเมิ่งฮ่าว มันก็รีบลุกขึ้นมายืน และมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าทั้งบ้าคลั่งและเลื่อมใส
“เกอ (พี่ชาย) ข้ายอมรับท่านแล้ว การที่มีสองตัวนี้ติดตามไปอยู่ตลอดทั้งวัน แต่ก็ยังคงมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ…แต่ท่านก็วางใจได้เลย ข้าจะต้องเรียนรู้คำพูดที่แหลมคมเหล่านั้นให้จงได้” ฟางซีร้องตะโกนขึ้น กัดฟันแน่นด้วยการตัดสินใจที่แน่วแน่
เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าแปลกๆ และกระแอมไอออกมา ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรออกมาดี จากนั้นก็มองเห็นความมุ่งมั่นอยู่ในแววตาของฟางซี และเขาก็ตบไปที่ไหล่ของมัน เดินออกจากลานบ้านไป
“คำพูดขึ้นกับพรสวรรค์ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือภาวะแห่งจิตของตนเอง ถ้ามันสามารถอดทนต่อการฝึกฝนจากผีโต้งและนกแก้วได้ มันก็จะซึมซับความเยิ่นเย้อของผีโต้ง และคำพูดที่ชอบแดกดันของนกแก้วไปในที่สุด” เมิ่งฮ่าวคิด กระแอมไอออกมาอีกครั้ง รีบเร่งเดินตรงไปยังวิหารหลัก
คฤหาสน์โบราณมีขนาดใหญ่โต และเป็นเขตห้ามบิน ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามเต็มในการเดินเท้าไปจนถึงวิหาร เมื่อเขาไปถึงที่นั่น ก็มองเห็นสมาชิกของตระกูลนับหมื่น รวมทั้งผู้เฒ่าสูงสุด นั่งขัดสมาธิเต็มอยู่ในที่แห่งนั้นแล้ว
ทันทีที่เห็นเมิ่งฮ่าว ใบหน้าของผู้เฒ่าสูงสุดก็เกิดเป็นรอยยิ้มที่เมตตาขึ้น มันพยักหน้าให้
“ฮ่าวเอ๋อร์ ถ้ำแห่งเซียนของเจ้าค่อนข้างจะอยู่ห่างไกลออกไปบ้าง เช่นนี้เป็นอย่างไร ข้าจะให้เหรียญคำสั่งที่ทำให้เจ้ามีสิทธิพิเศษอยู่ในคฤหาสน์โบราณ นอกจากเขตหวงห้ามพิเศษบางแห่งแล้ว เจ้าสามารถจะบินไปที่ไหนก็ได้ตามที่ต้องการได้ในตอนนี้” พร้อมกับรอยยิ้ม มันส่งแผ่นหยกสีม่วงมาให้กับเมิ่งฮ่าว เมื่อพวกที่มุงดูอยู่มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ พวกมันก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงและอิจฉา
กล่าวกันโดยทั่วไปแล้ว มีแต่ผู้อาวุโสเท่านั้น ที่จะถูกอนุญาตให้บินอยู่ในเขตคฤหาสน์โบราณได้ สำหรับสมาชิกรุ่นเยาว์ มีแต่ฟางเว่ยเท่านั้นที่มีเกียรติสามารถจะทำเช่นนั้นได้ ตอนนี้เมิ่งฮ่าวก็ได้รับเกียรตินั้นเช่นเดียวกัน
เมิ่งฮ่าวรับแผ่นหยกไว้ ถ้าเขาไม่ได้เชื่อมั่นในความคิดแยกแยะของตนเอง ก็จะดูเหมือนว่าสิ่งที่ผู้เฒ่าสูงสุดตั้งใจกระทำมาทั้งหมดนี้ เป็นเพราะมีความชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก เมื่อพิจารณาจากตำแหน่งผู้เฒ่าสูงสุดของมัน ก็เห็นได้ว่าสิ่งที่มันกำลังทำอยู่นี้ไม่เพียงแต่จะเป็นความเมตตาอย่างแท้จริงเท่านั้น แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ยังมีความเที่ยงธรรมอยู่ด้วยเช่นกัน มันกำลังทำอย่างดีที่สุดเพื่อปฏิบัติตามกฎของตระกูล
“วันนี้ สมาชิกของตระกูลมากมายมารวมตัวกัน เพื่อเป็นสักขีพยานให้กับเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่ง!” ผู้เฒ่าสูงสุดประกาศก้องขึ้น
“หลายปีก่อน ฮ่าวเอ๋อร์เริ่มอ่อนแอลงด้วยโรคร้าย ทัณฑ์ทรมานเจ็ดปีของมันได้ทำให้สมาชิกมากมายของตระกูล ต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับตัวมันเป็นอย่างยิ่ง สำหรับข้าแล้ว เมื่อได้เห็นเด็กเช่นมันต้องตกอยู่ในความทุกข์ทรมานอันน่าเหลือเชื่อเช่นนั้น ก็ต้องรู้สึกเจ็บปวดใจด้วยเช่นเดียวกัน”
“โชคดีที่ทวยเทพยังคงประทานพรให้กับตระกูลฟาง ทำให้คนภายนอกปรากฏขึ้น บอกวิธีจัดการกับปัญหานั้น ฟางซิ่วเฟิงและภรรยาต้องนำบุตรชายจากไป และทิ้งผลเนี่ยผานไว้ที่ตระกูล”
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่ด้านหน้าของผู้เฒ่าสูงสุด จ้องมองไปด้วยความตกตะลึง จากวิธีการพูดของชายชรา และสีหน้าของมัน ดูเหมือนว่ามันไม่ได้กำลังจะพยายามยืดเรื่องนี้ออกไป แต่ดูคล้ายกับว่ามันกำลังจะส่งผลเนี่ยผานมาให้เขาจริงๆ
“อย่าบอกนะว่า ข้าคิดมากไปเอง…?” เมิ่งฮ่าวคิดขึ้นอย่างเงียบๆ