ตอนที่ 977
ชีพจรเซียนผู้ผนึกอสูร
ปรมาจารย์ปฐพีแห่งตระกูลฟาง เป็นชายชราศีรษะขาวโพลน มีรูปร่างที่สูงใหญ่ ขณะที่ลอยตัวอยู่ที่นั่นในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว ก็ได้กระจายแก่นแท้ของกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมา ซึ่งดูเหมือนว่าจะสามารถบังคับให้สวรรค์และปฐพีทั้งหมดต้องยอมศิโรราบ
ประกายแสงที่คล้ายกับเป็นสายฟ้า ได้แวบขึ้นมาในดวงตา ขณะที่จ้องมองเข้าไปในความว่างเปล่าวด้วยความเย็นชา สายตาของท่านได้แทงทะลุผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว จนกระทั่งไปถึงยอดสูงสุดของขุนเขาที่เก้า!
ในตอนนี้ก็เห็นได้ว่าเหล่าปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าทั้งหมด จากสำนักและตระกูลต่างๆ แห่งขุนเขาทะเลที่เก้าได้ปรากฏตัวขึ้น และกำลังมองตรงไปยังดาวตงเซิ่ง แต่ละคนเงียบงันไม่พูดจา ดวงตาแวบประกายขึ้น และจิตใจพวกมันก็เต็มไปด้วยความสงบเยือกเย็น
ถือได้ว่าตระกูลจี้คือผู้ยิ่งใหญ่แห่งขุนเขาทะเลที่เก้า!
ในอดีตที่ผ่านมา บางสำนักหรือบางตระกูลได้แสดงท่าทีต่อต้านตระกูลจี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วคนทั้งหมดต่างก็รู้สึกหวาดกลัวต่อตระกูลจี้ ถ้าเกิดการต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ แล้วละก็ สำนักหรือตระกูลเหล่านั้นต่างก็ต้องยอมถอยไปหนึ่งก้าว
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ มีเหตุการณ์น้อยมากที่จะทำให้ต้องเกิดเป็นความขัดแย้งที่แท้จริงเช่นนั้น แต่ตอนนี้…สถานการณ์เช่นนั้นได้เกิดขึ้นมาแล้วกับตระกูลฟาง!
และทั้งหมดนั้นก็เนื่องมาจากบุคคลเพียงผู้เดียวเท่านั้น…
เมิ่งฮ่าว!
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรเต๋า ทั้งขุนเขาทะเลที่เก้าทั้งหมดไม่อาจจะมองเห็นได้ มีแต่ผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นสูงสุดของอาณาจักรโบราณเท่านั้นถึงจะสามารถรู้สึกได้ ถึงแรงกดดันบางอย่างที่กระจายออกมาอยู่ที่ด้านบน คนอื่นๆ ไม่อาจจะรับรู้ได้
แม้แต่เมิ่งฮ่าวที่กำลังเปิดชีพจรเซียนอยู่ในตอนนี้ก็ยังไม่อาจจะรับรู้ได้ เขารู้สึกได้แต่รังสีสังหารอันเข้มข้นจากตระกูลจี้เท่านั้น ไม่ได้ตระหนักว่าปรมาจารย์ตระกูลฟางเพิ่งจะรีบมาปกป้องเขาด้วยความทระนงเช่นนี้
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเงียบไปเป็นเวลานาน หลังจากนั้นตระกูลจี้ก็ได้ตอบรับคำพูดของปรมาจารย์ปฐพีตระกูลฟางด้วยเสียงแค่นอันเย็นชา
เสียงแค่นนั้นทำให้เกิดเป็นระลอกคลื่นระเบิดออกไปจากขุนเขาที่เก้าอย่างรุนแรง สีหน้าของปรมาจารย์ปฐพีตระกูลฟางเปลี่ยนไป ทันใดนั้นเสียงอันเย็นชาก็ดังก้องออกมาจากอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าในจิ๋วไห่ (ทะเลที่เก้า)
เสียงนั้นเก่าแก่โบราณอย่างถึงที่สุด และกระจายเต็มไปทั่วในขุนเขาทะเลที่เก้าอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถได้ยิน นอกจากปรมาจารย์อาณาจักรเต๋า จำนวนไม่ถึงยี่สิบคนจากสำนักและตระกูลต่างๆ แห่งขุนเขาทะเลที่เก้า ซึ่งได้แสดงตัวออกมาอยู่ในตอนนี้ แต่คำพูดเหล่านั้นก็ทำให้จิตใจพวกมันต้องหมุนคว้าง
“ฟางมู่คือศิษย์หลักของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า”
ในทันทีที่เสียงนี้ได้ยินมา พลังของตระกูลจี้ก็สะดุดขึ้นอย่างฉับพลัน
ต่อมาเสียงอันเย็นชาอีกเสียงก็ดังก้องออกมาจากสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่อีกแห่ง ซึ่งก็คือสำนักกระบี่ไท่สิงบนดาวซีเหอ (สุขสันต์ตะวันตก) เสียงนั้นราวกับว่าได้ดังก้องออกมาจากสมัยโบราณ ขณะที่กระจายออกไปทั่วทั้งขุนเขาทะเลที่เก้า
“ฟางมู่คือผู้ถูกเลือกอันดับหนึ่งแห่งสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่!”
ด้วยการตอบรับเสียงนี้ พลังของตระกูลจี้ได้สะดุดลงอีกครั้ง ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะรู้สึกลังเลแล้ว
ในทันทีที่ตระกูลจี้หยุดชะงักไป ก็มีอีกเสียงได้ดังก้องออกมาจากเซียนกู่เต้าฉ่าง (พิธีเต๋าเซียนโบราณ) บนขุนเขาที่เก้า เสียงนั้นเยือกเย็น แต่ก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวที่สามารถจะตัดตะปูเฉือนเหล็กกล้าได้ เป็นเสียงที่มีความเย่อหยิ่งทรนงมากกว่าเสียงที่มาจากสำนักกระบี่ไท่สิงซะอีก!
“ฟางมู่มีโชคชะตาที่เชื่อมต่อกับเซียนกู่เต้าฉ่าง ถ้ามันจะต่อสู้กับกลุ่มคนในรุ่นเดียวกันก็ไม่เป็นไร แต่ห้ามไม่ให้รุ่นอาวุโสไปสังหารมัน!”
เมื่อเหล่าปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าจากสำนักและตระกูลต่างๆ ในขุนเขาทะเลที่เก้าได้ยินเสียงนี้ จิตใจพวกมันก็สั่นสะท้าน และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ
“โดยส่วนตัวของตระกูลฟางเอง คงไม่อาจจะต่อสู้กับตระกูลจี้ได้ แต่ก็ไม่อาจจะประเมินพวกมันต่ำเกินไปนัก ตระกูลจี้คงจะต้องประสบกับความสูญเสียอย่างร้ายแรง แต่ถ้ารวมสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่เข้ามาด้วย…”
“ตระกูลจี้สามารถจะเอาชนะสำนักหรือตระกูลใดๆ ได้อย่างเหลือเฟือ แต่ถ้าสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่รวมพลังกัน พวกมันก็สามารถจะต่อสู้กับตระกูลจี้ได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้ตระกูลฟางอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ ถ้าตระกูลจี้ไม่อาจจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ ก็คงจะทำให้เกิดเป็นสงครามใหญ่อยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้าอย่างแน่นอน!”
“ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือว่า กองหนุนของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ มีความลึกล้ำมากเป็นอย่างยิ่ง…ราชันแห่งขุนเขาทะเลที่เก้าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ แต่กลุ่มเต๋าจะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์”
ดวงตาของเหล่าปรมาจารย์สาดประกายขึ้น แต่บางคนก็แอบมีความสัมพันธ์ลึกๆ กับตระกูลจี้ และปรมาจารย์เหล่านั้นก็มองตรงไปยังดาวตงเซิ่งด้วยสีหน้าที่เย็นชาไม่แปรเปลี่ยน
ตระกูลจี้ยังคงตกอยู่ในความเงียบ ดูเหมือนว่าหลังจากที่พิจารณาถึงสถานการณ์ พลังของพวกมันก็ค่อยๆ กระจัดกระจายไปอย่างช้าๆ และเสียงเก่าแก่โบราณก็ดังก้องออกมา
“มันคุ้มค่าที่จะทำเช่นนี้จริงๆ?”
จากนั้นพลังของตระกูลจี้ก็หายไปโดยสิ้นเชิง
กลิ่นอายของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ก็จางหายไปจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวด้วยเช่นกัน
ขุนเขาทะเลที่เก้ากลับคืนเป็นปกติเหมือนเดิม น้อยคนนักที่รู้ว่าเพิ่งจะมีอะไรเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าแห่งตระกูลฟางก็ไม่ได้กลับเข้าไปในตำแหน่งเดิมของท่าน แต่กลับนั่งลงขัดสมาธิอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เพื่อคอยเฝ้าปกป้องเมิ่งฮ่าวในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์เต๋า
ขณะที่ท่านมองไปยังเมิ่งฮ่าว ซึ่งอยู่ตรงประตูเซียนที่ไม่ได้ห่างออกไปมากนัก ริมฝีปากของท่านก็ยกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มน้อยๆ และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งหวัง
“เด็กน้อยถึงเวลาที่จะปลดปล่อยความสามารถทั้งหมดของเจ้าออกมาแล้ว แสดงให้พวกข้าเห็นว่าเจ้ามีดีอะไรบ้าง ไม่ต้องกังวลไป ผู้ฝึกตนเช่นพวกเราต้องมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี!”
ราวกับว่ามีเหตุการณ์แปลกๆ บางอย่างเกิดขึ้น เสียงกระหึ่มอีกเสียงได้ยินมา ในทันทีที่ปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าแห่งตระกูลฟางมองไปยังเมิ่งฮ่าว
เส้นผมและเสื้อผ้าของเมิ่งฮ่าวพลิ้วไปมาในสายลม แสงเซียนอันเจิดจ้าและปราณเซียนหมุนวนไปมาอยู่รอบๆ ร่างเขา
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายเจิดจ้าขึ้น ขณะที่ชีพจรเซียนจุดที่หนึ่งร้อยสิบสองเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ตอนนี้เมื่อเขามีความเข้าใจในธรรมชาติของชีพจรเซียน เขาจึงต้องการที่จะรู้ว่าตนเองมีความเข้าใจได้ดีมากน้อยแค่ไหน
ถ้าเขาต้องการจะสร้างชื่อขึ้นมา เขาก็จะทำให้คนทั้งหมดต้องตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง
“ข้าอยากรู้นักว่า…จะสามารถเปิดชีพจรเซียนได้เท่าใดกันแน่!”
“ชีพจรเซียนจุดที่หนึ่งร้อยสิบสามของข้าจะมาจากเวทผนึก! เวทผนึกอสูรรุ่นที่แปด, เวทผนึกร่าง…คือชีพจรเซียนจุดที่หนึ่งร้อยสิบสามของข้า!” มือขวาเมิ่งฮ่าวแวบขึ้นเพื่อร่ายเวท จากนั้นก็โบกสะบัดไปในอากาศ เสียงกระหึ่มอย่างรุนแรงได้ยินมา แต่ก็ไม่มีใครสามารถมองเห็น เวทผนึกอสูรรุ่นที่แปดกลายเป็นสัญลักษณ์เวทอยู่ภายในร่าง ปราณเซียนไหลเข้ามาและเริ่มตกผลึกแข็งตัวขึ้น…
ชีพจรเซียนอีกจุดได้ก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทำการดูดซับปราณเซียนเข้าไปเป็นจำนวนมากอย่างน่าตกใจ จนกระทั่งถูกสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์!
กลิ่นอายของเมิ่งฮ่าวเริ่มมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น และในเวลาเดียวกันนั้น มังกรเซียนตัวที่หนึ่งร้อยสิบสามก็ปรากฏขึ้นที่ด้านนอกของประตูเซียน ส่งเสียงแผดร้องคำรามดังก้องไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้ขุนเขาทะเลที่เก้าสั่นสะเทือนไปทั่ว
นี่คือมังกรเซียนที่ส่องประกายด้วยแสงแปลกๆ ออกมา ถ้ามองไปยังมันเป็นเวลานาน ก็จะรู้สึกว่าพื้นฐานฝึกตนของตัวเองกำลังจะแข็งตัวไป และร่างกายก็เริ่มแข็งทื่อ
ผู้ฝึกตนทั้งหมดที่มองไป ต่างก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ก่อนที่จะมีใครเริ่มพูดจาออกมา เสียงกระหึ่มอีกเสียงก็ได้ยินออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าว ขณะที่เขา…เปิดชีพจรเซียนอีกจุดขึ้นมา!
เวทผนึกอสูรรุ่นที่เจ็ด, เวทผนึกกรรม เริ่มส่งกลิ่นอายแห่งกรรมเข้าไปภายในร่างเขา ซึ่งไม่ได้กระจายออกไปแม้แต่น้อยนิด ปราณเซียนถูกดูดเข้าไป หลังจากช่วงเวลาธูปไหม้หมดหนึ่งดอกผ่านไป ชีพจรเซียนก็ก่อตัวขึ้นมาโดยสมบูรณ์!
ชีพจรเซียนจุดที่หนึ่งร้อยสิบสี่!
มังกรเซียนอีกตัวได้ปรากฏขึ้น ดูดุร้ายและกระจายพลังแห่งกรรมออกมา จนทำให้สวรรค์ต้องสะท้านปฐพีต้องสะเทือน กลิ่นอายแห่งตระกูลจี้ดูเหมือนแทบจะกระจายออกมาอีกครั้ง แต่ในที่สุดก็ไม่เกิดขึ้น
“เปิดออกอีก!” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่น ขณะที่ใช้เวทผนึกอสูรเพื่อก่อตัวเป็นชีพจรเซียน กลิ่นอายของเขาเริ่มแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ใช้เวทผนึกอสูรรุ่นที่หก, เวทเป็นตาย!
เสียงกระหึ่มกระจายออกมาจากร่างกายเขา ขณะที่ผู้ฝึกตนทั้งหมดจากขุนเขาทะเลที่เก้า มองมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและปากก็อ้าค้าง
ในที่สุดเวทรุ่นที่หกก็ทำให้ชีพจรเซียนภายในร่างเมิ่งฮ่าวก่อตัวขึ้นมาโดยสมบูรณ์ และมังกรเซียนตัวที่หนึ่งร้อยสิบห้าก็ปรากฏขึ้นอยู่ที่ด้านนอกของประตูเซียน!
“ชีพจรเซียนหนึ่งร้อยสิบห้าจุด! ฟาง…ฟางฮ่าวจะเปิดชีพจรเซียนได้กี่จุดกันแน่!?”
“ผู้ถูกเลือกเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน…”
“มันสามารถเปิดชีพจรเซียนมากมายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ผู้คนส่วนใหญ่สามารถเปิดได้แค่เก้าสิบแปดจุดเท่านั้น! ต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน! เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครเตรียมตัวมาอย่างดี และมีพรสวรรค์จนสามารถจะบรรลุถึงระดับที่ไม่ใช่มนุษย์เช่นนี้ได้!” ขุนเขาทะเลที่เก้าสั่นสะเทือนไปโดยสิ้นเชิง ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนตกอยู่ในความปั่นป่วนโกลาหล พวกมันตกตะลึงในตอนที่เมิ่งฮ่าวเปิดชีพจรเซียนได้หนึ่งร้อยจุด แต่ในตอนนี้เขาเปิดออกมาได้ถึงหนึ่งร้อยสิบห้าจุดแล้ว ทำให้ความตื่นตระหนกของพวกมันกลายเป็นความสงสัยขึ้นมา
พวกมันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเมิ่งฮ่าว ถึงได้แตกต่างไปจากคนทั้งหมดอย่างมากมายเช่นนี้!
ท่ามกลางความตื่นเต้นของพวกมัน กลุ่มคนตระกูลฟางบนดาวตงเซิ่งก็เริ่มคาดเดาขึ้นเช่นเดียวกัน ทฤษฎีความเป็นไปได้ต่างๆ ทั้งหมดผุดขึ้นมา มีแต่กลุ่มคนสายโลหิตหลักเท่านั้นที่ไม่สงสัยแม้แต่น้อยนิด และดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ฟางเว่ยมองขึ้นไปในท้องฟ้า และกำหมัดจนแน่น
“เป็นเพราะว่ามันได้บรรลุกลายเป็นเซียนแท้ของตนเอง และยืนกรานในเต๋าของตัวเอง…? มันพึมพำกับตนเอง หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ก็หลับตาลงอีกครั้งและตัดสินใจที่จะไม่มองอีกต่อไป
“ไม่ว่าเจ้าจะเปิดชีพจรเซียนได้มากมายเท่าใด…แต่ข้าก็มีผลเนี่ยผาน ดังนั้นข้ายังคงสามารถจะสังหารเจ้าไปได้!”
ไม่เพียงแค่ฟางเว่ยเท่านั้นที่ครุ่นคิดเช่นนี้ ผู้ถูกเลือกเซียนแท้คนอื่นๆ แห่งขุนเขาทะเลที่เก้าต่างก็ได้ข้อสรุปที่คล้ายคลึงกัน ในจิตใจพวกมันต่างก็เต็มไปด้วยความขมขื่น
“กลายเป็นว่าการยืนกรานในเต๋าของตนเอง ทำให้เกิดเป็นผลลัพธ์เช่นนี้ขึ้น…”
“แต่การยืนกรานในเต๋าของตัวเองเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญเป็นอย่างยิ่ง เมิ่งฮ่าวต้องได้รับโชควาสนาอย่างที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้อย่างแน่นอน ทำให้มันสามารถจะทำได้เช่นนี้”
“การฝึกตนคือเรื่องของการต่อต้านสวรรค์ ดังนั้นจะไปสนใจทำไมว่ามันจะเปิดชีพจรเซียนได้หนึ่งร้อยสิบห้าจุด! พวกเราก็มีเวทลับที่ทำให้สามารถจะต่อสู้กับมันได้!”
ขณะที่เสียงพูดคุยดังก้องอยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้า เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไป พื้นฐานฝึกตนพุ่งขึ้นมาด้วยพลังแห่งเซียน
พลังเซียนกระจายเต็มไปทั่วร่างเขา ด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ จนถึงระดับที่ก่อนจะเปิดประตูเซียนออกมา ไม่อาจจะเทียบได้แม้แต่น้อย
“ข้าสามารถจะแข็งแกร่งขึ้นไปได้อีก ชีพจรเซียนหนึ่งร้อยสิบห้าจุด…ไม่ใช่ขีดจำกัดของข้า!” เมิ่งฮ่าวคิดพร้อมกับกัดฟันแน่น ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำ และดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
“เวทผนึกอสูรรุ่นที่ห้า, เวทด้านในด้านนอก!” เขายกมือขวาขึ้นมา ภายในฝ่ามือเกิดเป็นรอยแตกขนาดเท่าเล็บนิ้วขึ้น เมิ่งฮ่าวกำมือเป็นหมัดอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เสียงกระหึ่มดังเต็มไปทั่วร่าง ก็ตามมาด้วยรอยแตกภาพลวงตาขนาดเล็ก
ปราณเซียนอันไร้ขอบเขตถูกดูดเข้ามาอยู่ในร่างกาย ทำให้ต้องสั่นสะท้านไปมา และใบหน้าก็เริ่มซีดขาว ดูเหมือนว่าร่างกายจะเต็มไปด้วยรอยแตก นอกจากนั้นเขายังได้ฝืนใช้เวทรุ่นห้านี้ออกมา ซึ่งเป็นเวทแห่งเต๋าที่…สามารถใช้ได้ในตอนที่อยู่ในขั้นสูงสุดของอาณาจักรโบราณเท่านั้น
“เปิดขึ้น!” เมิ่งฮ่าวแผดร้องคำราม เสียงกระหึ่มและเสียงแตกร้าวดังเต็มอยู่ภายในร่าง ขณะที่ปราณเซียนจำนวนมากไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเมื่อชั่วเวลาธูปไหม้หมดสองดอกผ่านไป เมิ่งฮ่าวซึ่งได้พยายามอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างรุนแรงอยู่ตลอดเวลา ก็กระอักโลหิตออกมาและจากนั้นก็เริ่มหัวเราะขึ้น
ขณะที่เสียงหัวเราะของเขาดังก้องออกมา ชีพจรเซียนจุดที่หนึ่งร้อยสิบหกก็ตกผลึกแข็งตัว!
เขาได้บังคับมันให้เปิดออกและแข็งตัวไป!
ชีพจรเซียนจุดนี้ยังไม่เสถียรมั่นคง แต่ก็ปรากฏขึ้นอยู่ที่นั่น กลิ่นอายของเมิ่งฮ่าวพุ่งทะยานขึ้นไป และ…มังกรเซียนอีกตัวก็ได้ปรากฏขึ้นที่ด้านนอกของประตูเซียน
มังกรตัวนี้…เป็นทั้งภาพลวงตาและของจริง บางครั้งมันก็ดูเลือนรางลงไป แต่บางครั้งก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน ขณะที่มันแผดร้องคำรามออกมา ความว่างเปล่าที่อยู่รอบๆ ตัวมัน ก็ดูเหมือนว่าจะมีทั้งพังทลายและโป่งนูนออกมา จนทำให้พวกที่มองดูอยู่ทั้งหมดต้องอ้าปากค้าง