ตอนที่ 976
ยืนยันเต๋า
ในขุนเขาทะเลที่เก้า รุ่นอาวุโสของสำนักและตระกูลต่างๆ มักจะส่งต่อความคิดให้กับผู้ถูกเลือกรุ่นเยาว์อยู่เสมอ ความคิดนี้ก็คือเมื่อยุคแห่งเซียนแท้ได้มาถึง ทุกคนต้องจดจำไว้ว่า…การเตรียมตัวคือจุดสำคัญของความสำเร็จ!
ด้วยการเตรียมตัวมาอย่างดีพร้อมกับทรัพยากรอันลึกล้ำ คนผู้นั้นก็จะสามารถระเบิดเป็นพลังที่ไม่ธรรมดาออกไป และสามารถจะเปิดชีพจรเซียนได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ดังนั้นสำหรับรุ่นสู่รุ่น ผู้คนก็จะเตรียมตัวเพื่อเวลาที่ยุคแห่งเซียนแท้ได้มาถึง พวกมันจะหยุดพื้นฐานฝึกตนของตัวเองไว้ที่จุดสูงสุดของอาณาจักรวิญญาณ และรอคอยจนกระทั่งสามารถจะปลดปล่อยทุกอย่างออกมาเพื่อบรรลุกลายเป็นเซียนแท้
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ นั่นคือวิธีที่ได้กระทำตามกันมา แต่ในตอนนี้เหล่าปรมาจารย์ของขุนเขาทะเลที่เก้าค่อนข้างจะงุนงง ขณะที่พวกมันมองไปยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้
ขณะที่พวกมันมองไปยังเมิ่งฮ่าว ฉับพลันนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
เมิ่งฮ่าวก็รู้ด้วยเช่นกันว่า การเตรียมตัวล่วงหน้าจะมีโอกาสทำได้สำเร็จมากขึ้น…มันไม่ได้เป็นแค่เรื่องของพื้นฐานการฝึกตน ทั้งไม่ใช่การสร้างชีพจรเซียนขึ้นมาล่วงหน้าเท่านั้น แต่มันยังเกี่ยวข้องกับ…โชคชะตาอีกด้วย!
ก่อนที่จะมีใครบางคนได้บรรลุกลายเป็นเซียนแท้ การเตรียมตัวล่วงหน้าของพวกมันก็จะเกี่ยวข้องกับโชคชะตาที่แตกต่างกันออกไป พวกมันต้องพบเจอกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต รวมทั้งกรรมที่พวกมันได้เพาะหว่านไว้ สิ่งทั้งหมดเหล่านั้นคือส่วนประกอบของการเตรียมตัว ซึ่งจะมีเรื่องของโชคชะตามาเกี่ยวข้องด้วย…
“มันกำลังยืนยันเต๋าของตนเองเพื่อกลายเป็นเซียน…” ปรมาจารย์ปฐพีแห่งตระกูลฟางกล่าวขึ้น ด้วยเสียงที่แหบแห้งแผ่วเบา สีหน้าเต็มไปด้วยความเข้าใจรู้แจ้ง
หญิงชราที่ยืนอยู่ข้างกายฝานตงเอ๋อร์ถอนหายใจออกมา กล่าวว่า
“มีแต่คนที่บรรลุกลายเป็นเซียนด้วยตนเองเท่านั้น ถึงจะสามารถฉกฉวยโชควาสนามาจากสวรรค์และปฐพีได้ จนกลายเป็นเซียนแท้ และได้ครอบครองโชคชะตา เพื่อที่จะสร้างชีพจรเซียนของตนเองขึ้นมาได้”
ในตอนนี้เหล่าปรมาจารย์ทั้งหมดเริ่มเข้าใจเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้ทำให้สิ่งใดๆ ต้องเปลี่ยนไป พวกมันไม่เคยเห็นใครบางคนกลายเป็นเซียนแท้ด้วยตนเองมาก่อน แต่พวกมันเคยเห็นผู้คนมากมายต้องประสบความล้มเหลวจากการกระทำเช่นนี้
เป็นเรื่องง่ายที่จะได้เห็นขนหงส์หรือเขากิเลน กว่าการที่จะได้เห็นใครบางคนทำได้สำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง จากสมัยโบราณมาจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้…มีแต่ตี้จ้างต้าจุนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เคยทำได้สำเร็จมาก่อน แต่ตอนนี้ก็มีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้ว
ถึงแม้ว่าพวกมันจะเริ่มเข้าใจกันแล้ว แต่ก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ยังไม่เข้าใจ เมื่อมังกรเซียนตัวที่หนึ่งร้อยสิบปรากฏขึ้น ขุนเขาทะเลที่เก้าก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย เป็นความปั่นป่วนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แต่ความปั่นป่วนนี้แม้แต่ตอนที่เมิ่งฮ่าวใช้นามแฝงว่าฟางมู่ ไปเข้าร่วมการแข่งขันจนได้อันดับหนึ่งมาก็ยังไม่อาจจะเทียบได้ ยากที่จะบอกได้ว่าใครเป็นคนแรกที่เริ่มร้องตะโกนออกมา แต่ในที่สุดผู้ฝึกตนทั้งหมดในขุนเขาทะเลที่เก้าต่างก็กำลังแผดเสียงร้องตะโกนออกมา
“นะ-นั่นคือ…ชีพจรเซียนจุดที่หนึ่งร้อยสิบ!”
“บ้าไปแล้ว! ต้องบ้าแน่ๆ! ผู้ฝึกตนอาณาจักรเซียนในโลกนี้จะมีชีพจรเซียนหนึ่งร้อยสิบจุดได้อย่างไรกัน!?!?”
“ไม่ถูกต้อง มังกรเซียนสองตัวนั้นที่เพิ่งจะปรากฏขึ้น ดูแตกต่างไปจากตัวอื่นๆ หนึ่งเป็นสีแดง! อีกหนึ่ง…ก็ยิ่งดูลึกลับไปมากกว่านั้น!”
มังกรเซียนตัวที่หนึ่งร้อยสิบดูโดดเด่นไม่เหมือนใคร ถึงแม้ว่ามันจะกระจายแสงเซียนอันเข้มข้นออกมา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้คนที่มองไปรู้สึกเหมือนกับว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับต้นพืชสมุนไพรบางอย่าง อันที่จริงถ้ามองดูให้ละเอียด ก็จะมองเห็นว่ามังกรตัวนี้มีเจ็ดสีกระจายไปอยู่รอบๆ ตัวของมัน
ในท่ามกลางเสียงร้องด้วยความประหลาดใจของกลุ่มฝูงชนในขุนเขาทะเลที่เก้า เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นสูงขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว จิตใจเขาสงบนิ่งขณะที่ทำการตรวจสอบชีพจรเซียนจุดใหม่ทั้งสอง เมื่อทำเช่นนั้นเขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงปรมาจารย์อสูรโลหิตและดอกปี่อ้าน
ในตอนนี้ โชคชะตาและโชควาสนาทั้งหมดที่เขาเคยสร้างมา ได้ระเบิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ กล่าวพึมพำกับตัวเองว่า
“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าโชคชะตาก็เป็นการเตรียมตัวในรูปแบบหนึ่ง ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วชีพจรเซียนคืออะไรกันแน่…?” แม้ในขณะที่เขาได้เข้าใจรู้แจ้งบางอย่างขึ้นมา ก็ยังคงครุ่นคิดไปถึงชีพจรเซียนหนึ่งร้อยสิบจุดที่อยู่ภายในร่างอย่างต่อเนื่อง
“ชีพจรเซียนหนึ่งร้อยจุดจริงๆ แล้วคือขีดจำกัด…ของร่างกายผู้ฝึกตน เลือดเนื้อของพวกมันสามารถจะสร้างขึ้นมาได้แค่หนึ่งร้อยจุดชีพจรเท่านั้น”
“ชีพจรที่เพิ่มขึ้นมาแปดจุดของข้า ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเลือดเนื้อข้าจริงๆ พวกมันแตกต่างไปจากจุดชีพจรอื่นๆ ถูกสร้างขึ้นมาโดยพื้นฐานที่ถูกกำหนดไว้โดยกลุ่มควันของตะเกียงสัมฤทธิ์!”
“มันดูเหมือนกับชีพจรเซียนที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเลือดเนื้อเป็นอย่างยิ่ง แต่จริงๆ แล้วพวกมันก็แตกต่างกันในแง่ของโครงสร้างโดยสิ้นเชิง”
“สำหรับชีพจรเซียนอีกสองจุด พวกมันก็แตกต่างออกไปด้วยเช่นกัน พวกมันถูกสร้างขึ้นมาจากพลังที่รวมเข้าด้วยกัน หนึ่งมาจากท่านปรมาจารย์อสูรโลหิต และอีกหนึ่งมาจากดอกปี่อ้าน”
“เช่นนั้นแล้ว…ชีพจรเซียนคืออะไรกันแน่…?” เมิ่งฮ่าวเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาสาดประกายด้วยแสงอันเจิดจ้า
“ชีพจรเซียนคือรูปแบบการยืนยันอย่างหนึ่ง! เป็นการประกาศต่อสวรรค์และปฐพีว่า คนผู้นั้นมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกลายเป็นเซียนแท้ มันคือข้อพิสูจน์ที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ ไม่ว่าสวรรค์และปฐพีจะเห็นด้วยกับมันหรือไม่ก็ตามที ในที่สุดพวกมันก็ต้องยอมรับ มันยังเป็น…การยืนยันเต๋าอีกด้วย!”
“พลังของตะเกียงวิญญาณนั่น ได้เปิดเส้นทางแห่งเซียนแท้ของข้า ชีพจรเซียนจากเลือดเนื้อของข้าได้ทำให้ข้าขึ้นไปสู่จุดสูงสุด พลังของมังกรสัมฤทธิ์ได้ช่วยให้ข้าขยายชีพจรเซียนดั้งเดิมออกไป จากนั้นพลังของท่านปรมาจารย์อสูรโลหิตและดอกปี่อ้านก็ช่วยให้ข้าเปิดชีพจรเซียนได้มากขึ้น และทำให้สามารถ…เข้าใจพวกมันขึ้นมาด้วยเช่นกัน!”
“การได้ครอบครองชีพจรเซียนก่อนที่จะกลายเป็นเซียนแท้คือรูปแบบหนึ่งของโชควาสนา แต่การเตรียมตัวทั้งหมดนั้นและวิชาเวทต่างๆ ก็ทำให้มีความเป็นไปได้…ที่จะกลายเป็นชีพจรเซียน!”
“นั่นคือการแสดงออกของพลัง และเป็นรูปธรรมอย่างหนึ่งที่เป็นตัวแทนของเต๋า!”
“สิ่งต่างๆ…สามารถจะกลายเป็นชีพจรเซียนได้!” เมื่อเมิ่งฮ่าวบรรลุได้ถึงความรู้แจ้งในจุดนี้ ก็บ่งชี้ให้เห็นถึงบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับเป็นโซ่ตรวน ได้แตกกระจายไปอยู่ภายในใจ
ราวกับว่าสิ่งกีดขวางต่างๆ ที่อยู่ภายในใจจู่ๆ ก็แตกกระจายออกไป ขณะที่เมิ่งฮ่าวเงยหน้าขึ้น เส้นผมก็พลิ้วไสวไปมา และเสื้อผ้าก็โบกสะบัดอยู่ในสายลม แสงอันเจิดจ้าเริ่มสาดประกายขึ้นอยู่ในดวงตา
“ข้าเข้าใจแล้ว…”
เวลาเดียวกันนั้น ในเศษซากเซียน ซึ่งมีถ้ำแห่งเซียนอยู่ ที่กำลังนั่งอยู่ด้านในเป็นหญิงสาวนางหนึ่ง ซึ่งก็คือผู้ยิ่งใหญ่ในชุดขาว ฉับพลันนั้นรอยยิ้มน้อยๆ ก็เริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เย็นชาของนาง ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่เจือจาง แต่ก็เป็นสิ่งที่ยากจะพบเห็นบนใบหน้าของนาง
“ช่างเป็นการหยั่งรู้ที่ไม่เลวเลยทีเดียว!” นางกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
ในเวลาเดียวกันนั้น ตรงสถานที่อีกแห่งหนึ่งในขุนเขาทะเลที่สี่ ซึ่งเต็มไปด้วยกลุ่มหมอกที่ดูน่ากลัว กลุ่มหมอกเหล่านั้นได้ปกปิดน้ำพุเหลือง, บริเวณแห่งการเกิดใหม่ และนรกโลกันต์อันไร้ขอบเขต สถานที่แห่งนี้คือที่ซึ่งวิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมด ต้องมาอยู่รวมกันในที่สุด
ภายในกลุ่มหมอกเป็นวิหารที่กระจายกลิ่นอายอันเก่าแก่โบราณ และปราณหยินอันเข้มข้นออกมา ในส่วนลึกที่สุดของกลุ่มหมอกนั้น เริ่มมองเห็นเป็นเงาร่างขนาดใหญ่ นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นอย่างช้าๆ
เงาร่างนั้นดูคล้ายกับเป็นรูปปั้น คล้ายกับเป็นเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่กระจายแรงกดดันออกไปทั่วทั้งขุมนรก ราวกับว่าจะสามารถสะกดข่มขุนเขาทะเลที่สี่นี้ได้ทั้งหมด ดวงตาของเงาร่างนั้นดูเหมือนจะหลับอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ แต่ในตอนนี้เองที่จู่ๆ ดวงตาคู่นั้นก็เปิดขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าไม่ได้อยู่ในเต๋าของตนเองตามลำพังอีกแล้ว…” เงาร่างนั้นกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ ทำให้เกิดเป็นเสียงดังก้องออกไปทั่วทั้งขุนเขาทะเลที่สี่
ย้อนกลับไปยังที่ด้านนอกของดาวตงเซิ่ง ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น และเสียงแตกร้าวก็ดังออกมาจากร่างกาย เขาเริ่มรู้แจ้งมากขึ้นคิดอยู่ในใจว่า
“สิ่งใดๆ ก็ตาม สามารถจะกลายมาเป็นชีพจรเซียนได้ สิ่งเช่นนั้นอาจจะเป็นไปไม่ได้สำหรับเซียนแท้คนอื่นๆ แต่สำหรับคนที่บรรลุกลายเป็นเซียนแท้ของตนเอง มันก็เป็นไปได้!”
“สวรรค์และปฐพีไม่อาจจะจำกัดหรือยับยั้งข้าได้ ข้าจะไม่ถูกขังอยู่ในกรงของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว หรือว่าถูกฝังอยู่ใต้สวรรค์แห่งนี้อีกต่อไป!”
“ข้าไม่จำเป็นต้องได้รับการรับรองจากสวรรค์และปฐพีใดๆ! แต่เซียนที่แท้จริงจะต้องเป็นผู้ที่รับรองสวรรค์และปฐพีเท่านั้น!” เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าว เสียงแตกร้าวยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น ร่างกายเขาสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง แสงอันเจิดจ้าแวบออกมาจากดวงตา ขณะที่จู่ๆ เขาก็ยกมือขวาขึ้นมา จากนั้นก็ชี้ตรงไปยังประตูเซียน กล่าวว่า
“ข้าเป็นอิสระจากการฝึกฝนคัมภีร์สุดยอดวิญญาณแล้ว! ข้าบรรลุถึงวงจรอันยิ่งใหญ่ของขั้นรวบรวมลมปราณ, ได้ครอบครองพื้นฐานสมบูรณ์, แก่นแท้ลมปราณสมบูรณ์, วิญญาณแรกก่อตั้งสมบูรณ์! ข้าสร้างผลไม้เต๋าที่สมบูรณ์ขึ้นมา และยังได้ทะลวงผ่านเข้าไปในอาณาจักรความเป็นนิรันดร์อีกด้วย!”
“เจตจำนงของข้าจะไม่ถูกทำลายไปอยู่ภายในความเป็นนิรันดร์ ดังนั้นอาณาจักรความเป็นนิรันดร์ของข้า…จะกลายเป็นพื้นฐานของชีพจรเซียนจุดที่หนึ่งร้อยสิบเอ็ดของข้า!”
“เปิดออก!” ในทันใดนั้น อาณาจักรความเป็นนิรันดร์ก็พุ่งขึ้นมา ทำให้จุดแสงนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นอยู่ภายในร่าง จุดแสงเหล่านั้นได้รวมตัวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว กลายเป็น…ชีพจรเซียนจุดที่หนึ่งร้อยสิบเอ็ด ต่อจากชีพจรเซียนหนึ่งร้อยสิบจุดก่อนหน้านี้!
ประตูเซียนสั่นสะท้าน และแสงเซียนก็พุ่งออกมา ปราณเซียนไหลเข้าไปในร่างเมิ่งฮ่าว ทำให้ชีพจรเซียนอาณาจักรความเป็นนิรันดร์ของเขาเริ่มตกผลึกแข็งตัว ชีพจรเซียนเริ่มแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ก่อตัวขึ้นมาอย่างสมบูรณ์!
ในเวลาเดียวกันนั้นมังกรเซียนตัวที่หนึ่งร้อยสิบเอ็ดก็ปรากฏขึ้นที่ด้านนอกของประตูเซียน มันเป็นมังกรแห่งความเป็นนิรันดร์ ซึ่งทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวต้องสั่นสะท้านขึ้นด้วยเสียงแผดร้องคำรามของมัน
คนทั้งหมดในขุนเขาทะเลที่เก้า จ้องมองไปด้วยความตกตะลึงโดยสิ้นเชิง เมื่อพวกมันมองเห็นมังกรเซียนแห่งความเป็นนิรันดร์ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอกประตูเซียน คลื่นแห่งความประหลาดใจก็พุ่งขึ้นมาอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น
“ชิ-ชีพจรเซียน…อีกจุด?”
“มันใช่มนุษย์หรือไม่? เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันคือเซียนโบราณ ที่กลับชาติมาเกิดใหม่ในยุคนี้?” เสียงร้องด้วยความตกตะลึงนับไม่ถ้วนได้ยินออกมา
ปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าของสำนักและตระกูลต่างๆ ยิ่งมีความตกตะลึงมากไปกว่าผู้ฝึกตนคนอื่นๆ บุคคลเช่นพวกมันค่อนข้างจะหาได้ยากเย็นยิ่ง สำนักและตระกูลส่วนใหญ่จะมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามในตอนนี้ พวกมันทั้งหมดได้โผล่ออกมาจากการนั่งเข้าฌาณตามลำพัง และก้าวเท้าเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เพื่อจ้องมองตรงไปยังดาวตงเซิ่ง
“ตระกูลฟาง…มีบุคคลพิเศษที่ไม่อาจจะเข้าใจได้เกิดขึ้นมาแล้ว!” คลื่นแห่งความตกตะลึงพุ่งขึ้นมาในจิตใจของเหล่าปรมาจารย์ และสีหน้าอันซับซ้อนก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแต่ละคน
“ถ้าปล่อยให้มันบรรลุถึงจุดสูงสุด…ตระกูลฟางก็จะรุ่งเรืองขึ้นอย่างน่าตกใจ!”
“ข้าเกรงว่าเหตุการณ์ในอนาคตกำลังจะเปลี่ยนไป เรื่องนี้ไม่เพียงแต่จะไม่ดีต่อตระกูลฟางเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเราที่เหลือได้ประโยชน์น้อยลง สำหรับผู้ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมากที่สุด…ก็คือตระกูลจี้!”
“บุคคลสุดท้ายที่ยืนยันเต๋าของตนเองคือ ราชันแห่งขุนเขาทะเลที่สี่, ตี้จ้างต้าจุน ตอนนี้กลับมีอีกคนที่ทำการยืนยันเต๋าของมันเอง…” ดวงตาของเหล่าปรมาจารย์จากแต่ละสำนักและตระกูลต่างๆ แวบประกายขึ้น พวกมันหลายคนกำลังลังเล
ในตอนนี้เองที่เสียงกระหึ่มอีกเสียงก็ดังก้องออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าว ปราณเซียนไหลซึมเข้าไปในร่างเขามากขึ้น ขณะที่ชีพจรเซียนจุดที่หนึ่งร้อยสิบสองได้เริ่มก่อตัวขึ้นมาอยู่ภายในร่าง
นี่คือชีพจรเซียนแห่งปราณและโลหิต ซึ่งได้สร้างขึ้นมาจากกายเนื้อเซียนแท้ของเขา!
ในตอนที่เมิ่งฮ่าวได้รับความรู้แจ้งจากพื้นฐานธรรมชาติแห่งชีพจรเซียน ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ตอนนี้มังกรเซียนตัวที่หนึ่งร้อยสิบสองได้ปรากฏขึ้น แผดร้องคำรามอยู่ที่ด้านข้างประตูเซียน
เกล็ดทั้งหมดของมังกรเซียนตัวนี้ ส่องประกายด้วยพลังอันน่าตกใจของปราณและโลหิต
ในตอนนี้เองที่ทันใดนั้น ลำแสงลำหนึ่งได้พุ่งออกมาจากจุดบนสุดของขุนเขาที่เก้า เป็นลำแสงสีเทา พุ่งฝ่าท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว มุ่งหน้าตรงมายังดาวตงเซิ่ง
ลำแสงสีเทาเคลื่อนที่มาด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ และดูเหมือนจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งกรรม เห็นได้ชัดว่าถ้าสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตามไปแตะต้องสัมผัสโดนมัน สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็จะติดเชื้อกรรมไป ซึ่งสามารถให้มัน…ตัดออกไปได้!
ลำแสงนั้นกลายเป็นใบมีดแห่งการตัดกรรม ในชั่วพริบตา ก็ได้ปรากฏขึ้นที่ด้านนอกของดาวตงเซิ่ง และจากนั้นก็กรีดเฉือนตรงไปยังเมิ่งฮ่าว ซึ่งอยู่ในท่ามกลางการสร้างชีพจรเซียนขึ้นมา!
ทันใดนั้นเสียงอันเย็นชาก็ดังก้องออกมาจากใต้พื้นดิน ของคฤหาสน์โบราณตระกูลฟางบนดาวตงเซิ่ง
“ตระกูลจี้ บังอาจนัก!?”
นี่คือปรมาจารย์ปฐพีแห่งตระกูลฟาง ซึ่งเป็นปรมาจารย์ในอาณาจักรเต๋า สีหน้าท่านได้เปลี่ยนไปในขณะที่หายตัวไปจากใต้พื้นดิน และไปปรากฏกายขึ้นที่ด้านนอกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวในทันที ไปอยู่ที่เบื้องหน้าของแสงสีเทานั้น โบกสะบัดมือขวาขึ้นไป ทำให้แก่นแท้ของพลังพุ่งออกไปอย่างไร้เสียง กระแทกเข้าไปในลำแสงสีเทา พลังแห่งกรรมระเบิดขึ้น แต่ก็แตกกระจายไปและจากนั้นก็จางหายไป
ปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าถอยไปทางด้านหลังสองสามก้าว และเมื่อเงยหน้าขึ้น ดวงตาก็ดูเย็นชาและเคร่งขรึม ยกมือขึ้นมาและชี้ออกไปในท้องฟ้า ทำให้ระลอกคลื่อนขนาดใหญ่ม้วนกวาดออกไปจากนิ้วของท่าน กลายเป็นเกราะป้องกันปกคลุมไปรอบๆ ดาวตงเซิ่งทั้งหมด
“ใครก็ตามที่กล้าบังอาจมายุ่งกับฉีหลินจื่อ (บุตรกิเลน) ของตระกูลฟาง ก็ต้องมาสู้กับเหล่าฟูให้ตายกันไปข้าง! แม้แต่พวกเจ้า, ตระกูลจี้…อย่าได้บังคับให้เหล่าฟูต้องอัญเชิญซากศพของท่านปรมาจารย์รุ่นแรกออกมา เหล่าฟูจะพาท่านไปยังขุนเขาที่เก้าพร้อมกับข้า และจากนั้นก็มีเพียงหนึ่งในพวกเราเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดต่อไป!”