Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 975

ตอนที่ 975

อสูรโลหิตและดอกปี่อ้าน

ผู้ฝึกตนทั้งหมดแห่งขุนเขาทะเลที่เก้า ซึ่งกำลังมองไปต่างก็มีท่าทางประหลาดใจ และลำคอแห้งผาก ขณะที่พวกมันมองเห็นมังกรเซียนหนึ่งร้อยแปดตัวส่งเสียงแผดร้องคำราม อยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ตรงด้านนอกของประตูเซียนเหนือดาวตงเซิ่ง

“หนึ่งร้อยชีพจรเซียนคือตำนาน แล้วหนึ่งร้อยแปดจะคืออะไร? นี่…นี่เป็นครั้งแรก ที่ข้าเคยได้ยินว่ามีใครบางคนสามารถมีชีพจรเซียนได้มากกว่าหนึ่งร้อยจุด!”

“ในอดีตไม่เคยมีใครทำได้เช่นนี้มาก่อน และในอนาคตก็คงไม่มีใครสามารถจะทำได้เช่นกัน!” ขุนเขาทะเลที่เก้าตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย และความตกตะลึงนั้นก็ได้กระจายออกไปทั่วทั้งขุนเขาทะเลทั้งหมด

กลุ่มคนของตระกูลฟางมองไปด้วยปากที่อ้าค้าง พวกมันรู้ว่าเมิ่งฮ่าวคือบุคคลที่มีลักษณะต่อต้านสวรรค์ แต่เมื่อได้เห็นเขาเปิดชีพจรเซียนได้หนึ่งร้อยจุด ก็คิดว่าคงจะเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว พวกมันไม่เคยจะคาดคิดว่าเมิ่งฮ่าวจริงๆ แล้ว…จะเปิดชีพจรเซียนไปจนถึงหนึ่งร้อยแปดจุดได้ในครั้งเดียว!

“เป็นไปไม่ได้!” ฟางเว่ยใบหน้าซีดขาว มันไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าเมิ่งฮ่าวได้ใช้เวทหนึ่งรำพึงกลายเป็นดวงดาวออกมา เพื่อเปิดชีพจรเซียนหนึ่งร้อยจุด และมันก็อ้างว่าด้วยการใช้เวทนี้ทำให้มันไม่อาจจะเทียบกับเมิ่งฮ่าวได้ แต่ตอนนี้…เมื่อชีพจรเซียนหนึ่งร้อยแปดจุดได้ปรากฏขึ้น ก็ทำให้ฟางเว่ยไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป

ฟางซิ่วซานกำลังสั่นสะท้าน ขณะที่ยืนอยู่ที่นั่นในท่ามกลางกลุ่มฝูงชน และกลิ่นอายอันเย็นเยียบราวน้ำแข็งก็ได้กระจายออกมาจากภายในร่างมัน

เท่าที่ทุกคนรู้ ตระกูลฟางมีผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือปรมาจารย์ปฐพี ในตอนนี้ดวงตาของท่านกำลังสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้าขณะที่พึมพำกับตัวเองว่า “มีเหตุผลเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น…ก่อนที่มันจะเอาชนะทัณฑ์เซียน เด็กผู้นี้…มีชีพจรเซียนอยู่แล้วแปดจุด มันต้องเคยพบเจอกับอะไรบางอย่างที่คล้ายกับตี้จ้างต้าจุน ซึ่งเป็นราชันแห่งขุนเขาทะเลที่สี่อย่างแน่นอน!”

คำพูดของท่านคล้ายกับเป็นสายฟ้าที่ฟาดลงมาในจิตใจของปรมาจารย์อีกหกคนในที่แห่งนั้น

“สุสานของท่านปรมาจารย์รุ่นแรก!” ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดร้องอุทานออกมา “ข้าได้เห็นกับตาตัวเองว่าเด็กผู้นี้ได้เข้าไปในสุสานของท่านปรมาจารย์รุ่นแรก!”

เวลาเดียวกันนั้น ในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า ฝานตงเอ๋อร์โซเซถอยไปทางด้านหลังสองสามก้าว ใบหน้าซีดขาว มองไปยังมังกรเซียนหนึ่งร้อยแปดตัว ที่กำลังแผดร้องคำรามอยู่รอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าวในแก้วผลึกด้วยสีหน้าที่ขมขื่น นางต้องยอมรับอย่างไร้ทางเลือกว่า ระหว่างนางและเมิ่งฮ่าวมีช่องว่างขนาดใหญ่ขวางกั้นไว้ และหลังจากที่บรรลุกลายเป็นเซียนแท้แล้ว ช่องว่างนั้น…ก็มีแต่จะกว้างมากขึ้น

“ด้วยการเตรียมตัวมาอย่างลึกล้ำเช่นนั้น” หญิงชราที่ยืนอยู่ข้างกายนางพึมพำ “ในจิ่วต้าซานไห่ (เก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่) ทั้งหมด นอกจากเด็กผู้นี้แล้ว ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะกระทำได้เช่นนี้ ก็คือ…ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่ง ตี้จ้างต้าจุน! จากตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมา เมื่อตี้จ้างต้าจุนบรรลุกลายเป็นเซียนแท้ ท่านก็เปิดชีพจรเซียนได้มากกว่าหนึ่งร้อยจุดเช่นกัน แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าจริงๆ แล้วท่านเปิดได้เท่าใดกันแน่ แต่…ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานาน นานหลายรุ่นมาแล้ว” ลำแสงแปลกๆ ได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง

ในตอนนี้ผู้ถูกเลือกที่เป็นเซียนแท้ทั้งหมด กำลังจ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าว พวกมันไม่ต้องการที่จะมองไปยังชีพจรเซียนหนึ่งร้อยแปดจุดของเมิ่งฮ่าว แต่ก็มิอาจจะไม่มองได้ การเปิดชีพจรเซียนได้มากมายเช่นนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้คนทั้งหมดต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน

โดยเฉพาะอย่างเมื่อพวกมันตระหนักว่า เมิ่งฮ่าวดูเหมือนจะไม่พอใจกับชีพจรเซียนหนึ่งร้อยแปดจุดนี้เท่าใดนัก ทำให้คนทั้งหมดต้องหอบหายใจออกมา

“เป็นไปได้หรือไม่ว่า…มันกำลังคิดจะเปิดชีพจรเซียนเพิ่มขึ้นอีก!?!?”

เมิ่งฮ่าวยังคงไม่พอใจอย่างแท้จริง!

ตอนนี้เมื่อเขาเปิดประตูเซียนได้แล้ว ก็มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถเปิดชีพจรเซียนได้มากกว่าหนึ่งร้อยแปดจุด

“นี่คือโอกาสที่ยากจะพบเห็น ข้ามีโอกาสนี้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น…” เมิ่งฮ่าวคิด จ้องมองไปยังประตูเซียน และตระหนักว่าแสงที่กำลังเจิดจ้าอยู่นั้นเริ่มจะจางลงไปแล้ว และปราณเซียนก็ค่อยๆ เริ่มกระจัดกระจายออกไปอย่างช้าๆ

เขารู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่โอกาสนี้ผ่านเลยไป ก็เป็นเรื่องยากที่จะได้พบเห็นโอกาสเช่นนี้อีกครั้ง ที่จะให้เขาสามารถดูดซับปราณเซียนได้มากตามที่ต้องการ และเปิดชีพจรเซียนเพิ่มขึ้นอีกได้

นี่คือสิ่งที่เขามั่นใจ จากประสบการณ์ที่เคยพบเจอมา ในการเปิดชีพจรเซียนจุดแรกของเขาด้วยความยากเย็นและต้องใช้เวลานานเป็นอย่างยิ่ง

“อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าชีพจรเซียนหนึ่งร้อยแปดจุดคือขีดจำกัดของข้าแล้ว…” เมิ่งฮ่าวคิด มองขึ้นไปยังมังกรเซียนหนึ่งร้อยแปดตัวที่กำลังบินไปมาอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นการแสดงถึงชีพจรเซียนของเขา

ในท่ามกลางมังกรเซียนเหล่านั้น มีอยู่หนึ่งตัวที่เป็นสีฟ้า ดูพิเศษมากเป็นอย่างยิ่ง และมีขนาดใหญ่กว่ามังกรตัวอื่นๆ ทั้งหมด มังกรตัวนั้นได้กระจายกลิ่นอายที่เก่าแก่โบราณออกมา ซึ่งดูเหมือนว่ามันกำลังดูถูกสวรรค์และปฐพีทั้งหมดอยู่ แทบจะราวกับว่ามังกรตัวนี้สามารถจะทำให้สวรรค์ทั้งหมดต้องยอมจำนน และสามารถจะบังคับให้ปฐพีต้องโค้งตัวลงเพื่อกราบสักการะมัน!

ราวกับว่ามังกรตัวอื่นๆ ทั้งหมดเป็นผู้ติดตามของมังกรสีฟ้าตัวนั้น เสียงแผดร้องคำรามของมันดังเต็มไปทั่วทั้งสวรรค์

มังกรเซียนสีฟ้าตัวนี้ได้ก่อตัวขึ้นมาจากชีพจรเซียนจุดแรกของเมิ่งฮ่าว และถูกเปิดออกเป็นจุดสุดท้าย!

ขณะที่เมิ่งฮ่าวยืนอย่างเงียบๆ อยู่ที่นั่น แสงเซียนที่กระจายออกมาจากประตูเซียนก็จางหายไปมากขึ้นกว่าเดิม และในที่สุดก็ไม่อาจจะปกคลุมไปทั่วร่างเขาได้ ปราณเซียนก็ลดน้อยลง แม้แต่ประตูเซียนเองก็เริ่มจางหายไป

“มันจบลงแล้ว?”

“ขีดจำกัดของมันคือหนึ่งร้อยแปดจุดชีพจร…?”

“แปดจุดชีพจรพิเศษเหล่านั้นคือขีดจำกัดของมัน ถึงแม้ว่ามันไม่อาจจะเปิดเพิ่มได้อีก แต่นามของมันก็ยังคงจะสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งขุนเขาทะเลที่เก้าแห่งนี้!”

ขณะที่เสียงพูดคุยดังก้องอยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้า ฟางเว่ยยืนอยู่ที่นั่นบนดาวตงเซิ่ง และมันก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา

ไม่ใช่มันเพียงคนเดียวเท่านั้น ผู้ถูกเลือกเซียนแท้คนอื่นๆ ทั้งหมด ต่างก็ถอนหายใจอยู่ลึกๆ ด้านใน

ความรู้สึกหวาดกลัวที่พวกมันมีต่อเมิ่งฮ่าว มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ เท่านั้น ตอนนี้เมื่อได้เห็นประตูเซียนกำลังจางหายไป การถอนหายใจของพวกมันก็ทำให้เกิดเป็นความต้องการต่อสู้ขึ้นมา สิ่งที่พวกมันรู้ทั้งหมดก็คือว่า ถึงแม้ไม่อาจจะเทียบกับเมิ่งฮ่าวได้ แต่พวกมันก็ยังคงต้องการจะต่อสู้กับเขา!

ประตูเซียนแท้เริ่มมองเห็นไม่ชัดมากยิ่งขึ้น และแสงเซียนก็เริ่มมืดสลัวเลือนลางไป ปราณเซียน…กำลังจางหายไป

ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวไม่ได้ดูสว่างอีกต่อไป และขณะที่เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่น เขาก็มองไปยังมังกรเซียนที่กำลังบินไปมาทั้งหนึ่งร้อยแปดตัว และดวงตาก็สาดประกายด้วยความเสียใจขึ้น

“มันจบลงแล้ว…หนึ่งร้อยแปดจุดชีพจร” เมิ่งฮ่าวถอนหายใจ กำลังจะหันหลังมุ่งหน้ากลับไปยังดาวตงเซิ่ง แต่ทันใดนั้น แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่าง เขาหยุดชะงักลงและหันหน้ามองขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว

เขากำลังมองไปยัง…ทิศทางของดาวหนานเทียน!

ในตอนนี้…จู่ๆ ก็มีเสียงดังก้องขึ้นมาในจิตใจเขา เป็นเสียงที่อ่อนแอ และเก่าแก่โบราณอย่างถึงที่สุด คล้ายกับเป็นเสียงของคนชราที่กำลังใกล้จะตายไป วิญญาณกำลังจะแยกออกจากร่าง แต่ก็พยายามจะบังคับให้ตนเองยังคงอยู่ในโลกนี้ ไม่ยอมจะปล่อยให้ลมหายใจห้วงสุดท้ายสูญหายไป ถึงแม้ว่าเปลวไฟแห่งพลังชีวิตของมันใกล้จะมอดดับลง แต่ก็พยายามยึดจับเส้นใยหนึ่งไว้ ราวกับว่าประกายไฟสุดท้ายที่เฝ้ารอมาโดยตลอดก็เพื่อช่วงเวลานี้เท่านั้น!

“เมิ่งฮ่าว…เหล่าฟูเหลืออยู่แค่หนึ่งลมหายใจ เฝ้ารอคอยวันนี้…ที่จะส่งมอบโชควาสนาให้กับเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่พลังชีวิตจะจางหายไป!”

เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินเสียงที่ดังก้องอยู่ในจิตใจนี้ เขาก็จดจำขึ้นได้ในทันที นี่คือ…เสียงของปรมาจารย์อสูรโลหิตจากดาวหนานเทียน!

ต้นกำเนิดของปรมาจารย์อสูรโลหิตยังไม่ชัดเจนนัก แต่เมิ่งฮ่าวก็รู้ว่ากายเนื้ออันน่ากลัวของท่านได้ถูกฝังอยู่ภายใต้พื้นดินของดาวหนานเทียน และในความเป็นจริง เมิ่งฮ่าวก็รู้แล้วว่าคำตอบนั้นคืออะไร

ปรมาจารย์อสูรโลหิต…คือหนึ่งในสามนายพลอสูรผู้ยิ่งใหญ่ของราชันหลี่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุด!

“เจ้าคือพันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูร” ปรมาจารย์อสูรโลหิตกล่าวต่อไปด้วยเสียงที่เก่าแก่โบราณ “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็คือรุ่นที่เก้า เหล่าฟูสามารถจะคาดเดา…เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเจ้าในอนาคตได้ ดังนั้นถ้าเหล่าฟูบอกเจ้าว่าจะสามารถทำอะไรให้เจ้าได้บ้างในอนาคต เจ้าก็คงจะไม่เข้าใจในตอนนี้…แต่ถ้าเจ้าสามารถรวมเวททั้งเก้าเข้าด้วยกันในวันข้างหน้า…เจ้าก็จะรู้เองว่าจะต้องตอบแทนเหล่าฟูได้อย่างไร ในตอนนี้เหล่าฟูจะทำในสิ่งที่หวังว่า จะช่วยให้เจ้าครุ่นคิดได้ว่า…ชีพจรเซียนที่แท้จริงคืออะไร”

เมื่อปรมาจารย์อสูรโลหิตพูดจบ กระแสปราณอสูรสีโลหิตได้ระเบิดขึ้นมาจากภูเขาอสูรโลหิตบนดาวหนานเทียน ในเวลาเดียวกันนั้น กายเนื้อของปรมาจารย์อสูรโลหิต ซึ่งอยู่ที่ใต้พื้นดินได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระแสปราณอสูรนั้น

ขณะที่ปราณอสูรพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์เวทสีโลหิต

สัญลักษณ์เวทนั้นกระพริบแสงขึ้นเก้าครั้ง จากนั้นก็หายไป

ในตอนที่สัญลักษณ์เวทหายไป ปรมาจารย์อสูรโลหิตก็มาถึงจุดสิ้นสุดของตนเองไปโดยสมบูรณ์!

ขณะที่ท่านตายไป สัญลักษณ์เวทก็หายไป และในเวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวก็รับรู้ได้ว่าเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิตที่อยู่ภายในร่าง เริ่มโคจรหมุนเวียนด้วยตัวมันเอง เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังขึ้นมาขณะที่แสงสีโลหิตได้ปกคลุมไปทั่วร่างเขา กระจายออกไปและ…ก่อตัวเป็นชีพจรเซียนจุดที่หนึ่งร้อยเก้า!

มันคือ…ชีพจรเซียนอสูรโลหิต!

ประตูเซียนที่กำลังจางหายไปก่อนหน้านี้จู่ๆ ก็สั่นสะเทือนขึ้นมา และในชั่วพริบตามันก็กลับมาอยู่ในสถานะของก่อนหน้านี้ แสงเซียนที่กำลังจางหายไป ฉับพลันนั้นก็ระเบิดออกมาด้วยความเข้มข้น ปกคลุมไปทั่วทั้งสวรรค์และปฐพี กระจายออกไปทั่วทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ปราณเซียนเริ่มเข้มข้นมากขึ้น ปกคลุมไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าวพร้อมกับไหลซึมเข้าไปในร่าง

เวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิตที่โคจรหมุนเวียนอยู่ภายในร่าง ได้กลายเป็นสัญลักษณ์เวท ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับสัญลักษณ์เวทที่ได้ปรากฏขึ้น ในช่วงที่ปรมาจารย์อสูรโลหิตได้ตายไปบนดาวหนานเทียน

สัญลักษณ์เวทนั้นเป็นสีโลหิต หลังจากที่กระพริบไปมาเก้าครั้งอยู่ภายในร่างเมิ่งฮ่าว มันก็เริ่มหลอมละลายไป กลายเป็นชีพจรเซียนที่ดูคลุมเครือไม่ชัดเจน

ขณะที่ปราณเซียนไหลซึมเข้ามาในร่าง ชีพจรเซียนนั้นก็เริ่มตกผลึกแข็งตัว ไม่นานนักมันก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์! เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้านขณะที่…มังกรเซียนตัวที่หนึ่งร้อยเก้าปรากฏขึ้น!

มังกรเซียนที่กำลังแผดร้องคำรามออกมานี้เป็นสีแดงโลหิต และมีรูปร่างหน้าตาที่ดูน่าตกใจไปโดยสิ้นเชิง ระลอกคลื่นอันไร้ขอบเขตกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้าต่างก็ตกตะลึงอึ้งไปตามๆ กัน

อย่างไรก็ตาม ในตอนที่ชีพจรเซียนจุดที่หนึ่งร้อยเก้าได้ปรากฏขึ้น แรงสั่นสะเทือนก็ได้วิ่งผ่านไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าวอีกครั้ง เขารู้สึกได้ว่ามีกลิ่นอายที่แตกต่างกันออกไป กำลังพุ่งขึ้นมาอยู่ภายในร่าง ก่อตัวเป็นเสียงสะท้อนอันทรงพลัง!

เสียงสะท้อนนี้กำลังออกมาจาก…ดวงดาวดวงเดียวกับที่ปรมาจารย์อสูรโลหิตเพิ่งจะตายไป!

เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไป และดวงตาก็สาดประกายขึ้น ขณะที่มองไปยังสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นบ้านที่แท้จริงของตนเอง ซึ่งก็คือดาวหนานเทียน

เขามองเห็นภาพอันเลือนลางของวิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณ ตรงตำแหน่งที่ได้ก่อตัวเป็นห้องโถงของวิหาร เขามองเห็น…สิ่งที่มีรูปร่างเป็นดอกไม้

มันคือ…ดอกปี่อ้าน!

เมื่อดอกปี่อ้านบานเจ็ดสี กลีบดอกร่วงหล่นไป ก็จะกลายเป็นเซียนไปหนึ่งพันปี!

เมิ่งฮ่าวได้รับความเดือดร้อนจากดอกปี่อ้านมานานนับร้อยปี แต่สุดท้ายเขาก็ตัดมันออกไปได้ อย่างไรก็ตามร่องรอยของมันก็ยังคงหลงเหลืออยู่ คล้ายกับเป็นความทรงจำที่ยากจะกำจัดออกไปได้

มันคือกรรมอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก็คือ…การชดใช้!

บนดาวหนานเทียน ในดินแดนตะวันออกอันกว้างใหญ่ เทือกเขาขยายยืดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ตรงส่วนลึกของปล่องภูเขาไฟคือห้องโถงของวิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ชายชราผู้หนึ่งยืนอยู่ที่นั่น ที่ข้างกายเป็นดอกปี่อ้าน

“พลังของข้าไร้ประโยชน์ใดๆ…” ชายชราพูดพึมพำด้วยเสียงที่แผ่วเบา “แต่เจ้า…คือผู้ที่ได้รับมรดกแห่งเซียนกู่เต้าฉ่าง (พิธีเต๋าเซียนโบราณ) เจ้านำตะเกียงวิญญาณของจู่เหริน (นายท่าน) ไป ทำให้โชคชะตาของเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น…ดอกปี่อ้านได้เพาะกรรมร่วมกับเจ้า และตอนนี้เมื่อเจ้าได้บรรลุกลายเป็นเซียน ข้าก็จะขอเป็นตัวแทนของมันเพื่อชดใช้คืนให้กับเจ้าในสิ่งที่มันได้เป็นหนี้เจ้าไว้”

“ถ้าเจ้าสามารถรู้แจ้งเกี่ยวกับชีพจรเซียน ก็จะเป็นโชควาสนาของเจ้า การที่จะเข้าใจมันหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”

เสียงพึมพำของชายชราค่อนข้างยากที่จะเข้าใจได้ ราวกับว่าคำพูดเหล่านั้นถูกโยนเข้าไปในความปั่นป่วนวุ่นวาย ชายชราโบกสะบัดมือขวา ทำให้ดอกปี่อ้านที่ด้านข้างกลายเป็นเถ้าธุลีไป

ขณะที่เถ้าธุลีลอยพลิ้วไปในอากาศ แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าว เขาหอบหายใจออกมา ด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆ เขาก็นึกไปถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เคยดิ้นรนต่อสู้กับดอกปี่อ้านมา

ความทรงจำไหลบ่าท่วมท้นคล้ายกับเป็นสายน้ำที่เชี่ยวกราก ขณะที่เป็นเช่นนั้น กรรมที่ถูกสร้างขึ้นมาจากช่วงเวลาหลายปีแห่งการต่อสู้ดิ้นรนก็กลายเป็นกลิ่นอาย กลายเป็นดอกปี่อ้าน กลายเป็น…ชีพจรเซียนดอกปี่อ้าน!

ทันทีที่ชีพจรเซียนก่อตัวขึ้น เส้นผมเมิ่งฮ่าวก็ลอยพลิ้วไปมา ร่างกายดูเหมือนจะกลายเป็นหลุมดำที่ดูดซับปราณเซียนเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง เสียงกระหึ่มอย่างรุนแรงดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่ชีพจรเซียนอีกจุดได้ก่อตัวขึ้นมา!

นี่คือ…ชีพจรเซียนจุดที่หนึ่งร้อยสิบของเขา!

ในตอนที่ชีพจรเซียนปรากฏขึ้น มังกรเซียนตัวที่หนึ่งร้อยสิบก็แผดร้องคำราม ปรากฏขึ้นอยู่ที่ด้านข้างของประตูเซียน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!