Skip to content

King of Gods 139

King Of Gods

บทที่ 139 : ศิษย์สายใน

วินาทีที่ดวงตาซ้ายของเขาถูกปิด พลังของมันก็ถูกปิดกั้น แต่เขายังคงมีความมั่นใจที่จะชนะ ร่างกายของเขาได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยดวงตาซ้าย และภายใต้สถานการณ์ปกติ ปฏิกิริยาตอบโต้ของเขาก็ยังรวดเร็วกว่าผู้อื่น

เมื่อเขาสู้ก่อนหน้า เขาไม่เคยใช้ตาซ้ายของเขาในสถานการณ์ปกติ มีเพียงสถานการณ์ฉุกเฉินที่เขาจะใช้มัน

“หากข้าปิดกั้นพลังของดวงตาซ้าย พลังโดยรวมของข้าจะลดลงกึ่งหนึ่ง” จ้าวเฟิงประมาณ

มันอาจดูเกินจริงที่พลังของเขาลดลงกึ่งหนึ่ง แต่มันไม่ใช่เมื่อยามที่ดวงตาของเขาได้ถูกพัฒนาแล้ว ทุกครั้งที่จิตของเขาเข้าไปยังมิติในดวงตาซ้าย เขาจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเก่าแก่เสมอ

ดวงตาซ้ายได้กลายเป็นไม้ตายของจ้าวเฟิงที่ไม่อาจใช้ออกได้โดยง่าย เมื่อดวงตานั้นถูกกระตุ้น มันอาจสร้างความสนใจต่อสำนัก และความลับของเด็กหนุ่มจะถูกเปิดเผย

หลังจากออกจากตำหนักภารกิจสำนัก จ้าวเฟิงก็ได้กลับไปยังตำหนักสำนักนอกเพื่อรอข่าว หากมันไม่มีเหตุไม่คาดฝันอันใด เขาจะกลายเป็นศิษย์สายในในวันนี้

ศิษย์หลายคนได้รับข่าวเรื่องที่จ้าวเฟิงได้เข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณแล้ว

“พรสวรรค์ของจ้าวเฟิงนั้นธรรมดา แต่เขาก็ยังสามารถเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้เร็วเพียงนี้”

พวกเขาต่างตื่นตะลึง

แม้ว่าเด็กหนุ่มนั้นจะเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง พวกเขาก็ยังไม่ต้องการที่จะต่ำกว่าอีกฝ่ายเพราะพรสวรรค์ของจ้าวเฟิงนั้นนับได้ว่าต่ำในบรรดาศิษย์ของสำนัก

“ฮี่ฮี่ฮี่ พวกเจ้าไม่รู้ความจริง จ้าวเฟิงนั้นได้รับความสำคัญจากสองรองหัวหน้าตำหนักอย่างมาก และหนึ่งในนั้นคือตำหนักหญ้าไพร…”

“ไม่แปลกใจเลย! หากเป็นข้า ข้าก็คงสามารถเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้เช่นกัน”

เหล่าศิษย์สายนอกต่างพูดคุยกันถึงจ้าวเฟิง เพราะพรสวรรค์ของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนั้นธรรมดาเกินไป และอายุของเขายังน้อย จ้าวเฟิงไม่ได้สนใจที่จะอธิบายให้ศิษย์เหล่านี้ฟัง สิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงรอ และบ่ายวันนั้น ผู้คุมกฎชิวก็ได้บอกข่าวแก่จ้าวเฟิงในที่สุด

“จ้าวเฟิง! ยินดีด้วย! เจ้าได้กลายเป็นศิษย์สายในและสามารถไปยังตำหนักกลางเพื่อรอการทดสอบสุดท้ายได้” ผู้คุมกฎชิวเอ่ยด้วยใบหน้าที่ระบายไปด้วยรอยยิ้ม

ตั้งแต่ที่การทดสอบเข้าสำนักได้จบลง ผู้คุมกฎชิวก็ได้เริ่มให้ความสนใจกับจ้าวเฟิงเพราะรองหัวหน้าตำหนักทั้งสอง หลังจากนั้นความสามารถของจ้าวเฟิงที่แสดงให้ตำหนักหญ้าไพร ตำหนักภารกิจสำนัก และตำหนักสำนักนอกก็ได้สำให้ผู้คุมกฎสามารถจดจำเด็กหนุ่มได้

ด้วยพรสวรรค์และอายุของจ้าวเฟิงแล้ว มันนับว่าน่าเหลือเชื่อ

“ขอบคุณ ผู้คุมกฎ!”

จ้าวเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความยินดีขณะที่เขาพลันเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายในทันที

หลังจากออกจากตำหนักสำนักนอก เด็กหนุ่มก็ได้เอ่ยลาหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่น

ยังมีศิษย์อีกหลายคนที่มาส่งจ้าวเฟิง

“ไอ้เด็กเวรนั่นในที่สุดก็ไปแล้ว…”

โฮวหยวน เจียงอวี่เยี่ยน และว่าที่ศิษย์สายในคนอื่นๆ ต่างพ่นลมหายใจยาว มีเพียงการที่จ้าวเฟิงกลายเป็นศิษย์สายในจึงทำให้พวกเขามีโอกาสในการแย่งชิงอันดับหนึ่ง และอีกฝ่ายก็ทำได้เร็วกว่าที่คาด ทว่าดวงตาของพวกเขากลับหม่นแสงลงเล็กๆ

จ้าวเฟิงนั้นเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งเพียงหนึ่งเดือน และบัดนี้ก็ได้เป็นศิษย์สายในแล้ว

หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นรู้สึกภูมิใจแต่ก็เจ็บปวดไปพร้อมๆ กัน

เมื่อคิดย้อนกลับไปยามที่พวกเขาอยู่ที่ตำหนักกว่านจวิน ความแตกต่างระหว่างพวกเขาและจ้าวเฟิงนั้นมากมาย แต่เด็กหนุ่มนั้นกลับสามารถตามทันได้ทีล่ะก้าว และก้าวข้ามพวกเขาไป

แน่นอนว่าทั้งหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นเองก็ได้พัฒนาขึ้นอย่างชัดเจน… พวกเขาต่างเข้าสู่ขั้นเก้าของขอบเขตแห่งการรวบรวมแล้ว

ด้วยความช่วยเหลือจากยาชำระไขกระดูก พวกเขาจึงได้เข้าสู่ขั้นปลายของขั้นเก้า และขอบเขตก่อกำเนิดปราณนั้นเป็นเพียงเรื่องของเวลา โดยเฉพาะสำหรับหยางชิงชั่นที่มีกายจิตวิญญาณระดับกลาง

หลังจากออกจากตำหนักสำนักนอก จ้าวเฟิงก็ได้รีบเดินไปยังตำหนักกลาง ตำหนักกลางนั้นเป็นศูนย์กลางของสำนัก และยิ่งเขาเข้าไปใกล้เท่าใด เด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้น

เมื่อเด็กหนุ่มก้าวเข้าไปยังตำหนักกลาง ร่างที่อยู่ในที่แห่งนี้ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ

ในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายเก่าแก่ก็ได้เข้าใกล้จ้าวเฟิงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้ดวงตาซ้ายของเขากระตุก

เมื่อมองขึ้นไป ตำหนักสีครามเข้มพร้อมด้วยทะเลแห่งสายฟ้าได้ลอยสูงอยู่ใจกลางอากาศ มันราวกับภาพในเทพนิยาย

ทุกครั้งที่จ้าวเฟิงเห็นตำหนักยอดนภา หัวใจของเขาจะสั่นสะท้าน และบัดนี้เด็กหนุ่มก็ได้เข้าใกล้ตำหนักนั้นมักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมันลอยอยู่เหนือตำหนักกลาง

จ้าวเฟิงละสายตาออกจากมันก่อนจะรายงานไปยังตำหนักกลาง

“มากับข้า ศิษย์สายในทุกคนต้องถูกยืนยันโดยรองหัวหน้าตำหนัก”

รองผู้คุมกฎนั้นได้รอเขาอยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายนำร่างของเด็กหนุ่มเข้าไปด้านใน ระดับสูงของสำนักจะได้รับข้อมูลของศิษย์สายในคนใหม่ และเพื่อที่จะยืนยันศิษย์สายในคนนั้น รองหัวหน้าตำหนักเป็นบุคคลที่จำเป็น

ไม่ช้า จ้าวเฟิงก็ได้เข้าไปโถงที่มืดมิดแห่งหนึ่ง วินาทีที่เขาเดินเข้าไป เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ไม่อาจสัมผัสได้ได้กดลงมายังร่างของเขา

“นี่คือหัวหน้าหลี่” รองผู้คุมกฎเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“คารวะ หัวหน้าหลี่” จ้าวเฟิงค้อมคำนับอย่างนอบน้อมไปยังชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราและนั่งอยู่สุดปลายของห้องโถง

หัวหน้าหลี่ผู้นี้จริงๆ แล้วเป็นรองหัวหน้าตำหนัก เพราะจ้าวตำหนักที่แท้จริงนั้นล้วนเป็นผู้อาวุโสที่เข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงและไม่ยุ่งเกี่ยวกับการทดสอบศิษย์

รองหัวหน้าตำหนักหลี่มองไปยังร่างของเด็กหนุ่มเบื้องล่างด้วยสายตาแหลมคม จ้าวเฟิงพลันรู้สึกราวกับภูเขาหนักเจ็ดลูกได้กดทับร่างของเขาและการขยับเพียงเล็กน้อยอาจบดขยี้เขาจนเป็นฝุ่นได้

ผู้เขาทั้งเจ็ดนั้นดูเหมือนจะเป็นพลังฝึกตนของรองหัวหน้าตำหนักหลี่

“จ้าวเฟิง อายุ 14 ปี กายจิตวิญญาณระดับต่ำ เข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณจากขั้นแปดแห่งขอบเขตแห่งการรวบรวมในเวลา 1 เดือน นอกจากนั้นยังเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง…”

รองหัวหน้าตำหนักหลี่มองไปยังสมุดเล่มเล็กในมือ เมื่อรับรู้ถึงอายุ พรสวรรค์ และพลังฝึกตนของจ้าวเฟิง เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กๆ อย่างช่วยไม่ได้

มันไม่ใช่สิ่งที่หายากสำหรับเด็กอายุ 14 ที่สามารถเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ในสำนัก ทว่าหากคนผู้นั้นมีเพียงกายจิตวิญญาณระดับต่ำโดยไม่มีคนหนุนหลังเป็นพิเศษ มันก็ไม่ธรรมดาแล้ว

“นำที่ปิดตาของเจ้าออก” รองหัวหน้าตำหนักหลี่เอ่ยอย่างเย็นชา

จ้าวเฟิงโคจรสายเลือดสีครามในร่างเพื่อตัดขาดมิติในดวงตาซ้ายของเขา ก่อนจะนำที่ปิดตาออกอย่างเชื่องช้า หลังจากนำที่ปิดตาออกก็มีเพียงดวงตาหม่นทึบที่ไม่มีประกายแสงใดเหลืออยู่

รองหัวหน้าตำหนักหลี่ชะงักไปชั่วครู่พร้อมกับคลื่นความสงสารที่ปรากฏขึ้น เด็กอายุเพียง 14 ขวบปีกลับได้สูญเสียการมองเห็นของดวงตาข้างหนึ่งไปแล้วในเส้นทางแห่งการฝึกตน

รองหัวหน้าตำหนักหลี่ถอนหายใจก่อนจะโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้จ้าวเฟิงใส่ที่ปิดตาไว้เช่นเดิม

หลังจากนั้น บุรุษวัยกลางคนจึงได้เอ่ยถามคำถามซึ่งรวมทั้งประวัติ พลังฝึกตน เช่นเดียวกับความคิด

จ้าวเฟิงตอบได้อย่างสมบูรณ์แบบและประวัติของเขาเองก็หาได้ง่ายเช่นกัน

“ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ามาจากผู้เฒ่าจางเล็กน้อย”

รองหัวหน้าหลี่ผงกศีรษะ ให้สัญญาณว่าเด็กหนุ่มนั้นไม่อาจเป็นสายสืบจากสำนักอื่น

อย่างแรก จ้าวเฟิงนั้นเด็กและประวัติของเขาชัดเจน อย่างที่สอง เขาถูกแนะนำมาโดยเจ้าเมืองกว่านจวิน อย่างที่สาม รองหัวหน้าตำหนักสองคนต่างชื่นชมจ้าวเฟิง และเพราะเช่นนั้น ความเคลือบแคลงของชายวัยกลางคนจึงได้ลดลงอย่างมาก

หลังจากตอบคำถาม จ้าวเฟิงจึงได้ตราใหม่ที่หมายความว่าเขาได้กลายเป็นศิษย์สายในแล้ว

“นับแต่วันนี้ เจ้าคือศิษย์สายใน”

รองผู้คุมกฎแห่งตำหนักกลางแนะนำที่พักให้จ้าวเฟิง

ในฐานะของศิษย์สายใน เขาได้รับการดูแลดีกว่าเดิมมาก และมีกระทั่งข้ารับใช้

ศิษย์สายในนั้นได้รับผลึกเริ่มต้นจำลอง 10 ผลึกทุกเดือน และพวกเขายังได้รับยาจิตวิญญาณแท้ทุกๆ 2-3 เดือน ยาวิญญาณนั้นต่างมีระดับสูงกว่ายาชำระไขกระดูกและราคาของมันนั้นสูงกว่านับสิบเท่า

วันเดียวกันนั้น จ้าวเฟิงยังได้รับเสื้อที่มีแถบคาดสีดำพร้อมด้วยจันทร์เสี้ยวบนหลัง มันเป็นเมื่อนั้นเองที่เขาตระหนักได้ว่าทุกสิ่งในสำนักนั้นไม่ธรรมดา วัสดุของเสื้อนี้พิเศษ มันอบอุ่นยามฤดูหนาวและเย็นในฤดูร้อน นอกจากนั้น มันยังสามารถรับการโจมตีของผู้ฝึกตนขั้นเก้าแห่งขอบเขตแห่งการรวบรวมได้อีกด้วย

ผู้คนเช่นเป่ยโม่ย หลันเสี่ยวหยวน และกวานเฉินต่างสวมใส่เสื้อผ้าเช่นนี้

จ้าวเฟิงนั้นต้องรู้ถึงกฎของสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างแรก และรองผู้คุมกฎได้บอกเขาถึงข้อที่สำคัญที่สุด

ศิษย์สายในนั้นไม่เคยมีอายุเกิน 30 ปี เมื่ออายุ 30 ปีแล้ว พวกเขาจะไม่ใช่ศิษย์อีกต่อไปและจะถูกส่งออกไปจัดการงานในด้านต่างๆ และยังมีระบบจัดอันดับในบรรดาศิษย์สายในอีกด้วย

มันมีศิษย์สายในเพียงร้อยกว่าคนในสำนักจันทร์สลาย และมีเพียงแค่สิบอันดับแรกที่ถูกเรียกว่าเป็นศิษย์หลัก

พลังของศิษย์หลักนั้นน่าสะพรึงมากนัก พวกเขาต่างเข้าสู่นภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณหรือสูงกว่า และล้วนเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสและจ้าวสำนัก

นอกจากนั้น ศิษย์หลักอันดับหนึ่งเองยังมีอีกชื่อว่าหัวหน้าศิษย์ หัวหน้าศิษย์ในรุ่นนี้เองก็ได้มีพลังฝึกตนที่น่าประหลาดใจ นภาที่หกแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ และค่อนข้างมีชื่อเสียงในบรรดาสิบสามสำนัก

“ศิษย์หลัก… หัวหน้าศิษย์…” กงล้อปรากฏขึ้นในหัวใจของจ้าวเฟิง

คนเช่นเป่ยโม่ยและกวานเฉินนั้นไม่ได้มีพลังและอำนาจมากเช่นศิษย์หลัก เป็นศิษย์พี่หยวนที่บ่อพันบุปผาในวันนั้นที่อาจเป็นหนึ่งในศิษย์หลักเมื่อนางอยู่ที่นภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ

เมื่อคิดถึงศิษย์พี่หยวน จ้าวเฟิงก็สะอึก ทว่าเด็กหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความสำนึกบุญคุณเมื่อเขาจดจำถึงหลันเสี่ยวหยวนได้

เด็กหนุ่มเดินออกจากสวนของเขาและเริ่มมองไปว่าผู้ใดคือเพื่อนบ้านของเขา และเขาพบว่าเซี่ยวซุน อวิ๋นเมิงเซียง รวมทั้งหลินฟ่านที่ครองอันดับศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งก่อนหน้าเขาต่างอยู่ใกล้ๆ

พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์สายนอกเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นพวกเขาจึงค่อนข้างสนิทกัน

“จ้าวเฟิง!”

ปากของเซี่ยวซุนอ้ากว้างราวกับเขากำลังเห็นผี ชายหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าจ้าวเฟิงจะสามารถกลายเป็นศิษย์สายในได้

ในขณะที่เซี่ยวซุนเป็นศิษย์สายนอกนั้น เขาเกลียดจ้าวเฟิงที่แย่งตำแหน่งศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งไป แต่เขากลายเป็นศิษย์สายในก่อนซึ่งทำให้เขารู้สึกดีขึ้น แต่เขาไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะสามารถเข้ามาได้ในเวลาไม่กี่วันหลังจากเขา

“ศิษย์น้อง… จ้าว?”

อวิ๋นเมิงเซียงและหลินฟ่านที่เดินออกจากที่พักทีล่ะคนต่างมีสีหน้าหลากหลายเมื่อเห็นจ้าวเฟิงราวกับว่าพวกเขากำลังเห็นผี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!