บทที่ 138 : จุดเริ่มต้นของตำนาน
จ้าวเฟิงถอนหายใจขณะที่เขาเดินออกจากตำหนักสำนักนอก มันดูเหมือนว่าที่ปิดตาและผมสีครามของเขาจะไม่ได้ดึงดูดความสนใจของสำนัก อย่างไรก็ตาม มันก็มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นทุกวันนั่นแหละ
เด็กหนุ่มไปยังตำหนักภารกิจสำนักเพราะเรื่องอื่น
เขารู้จักผู้เชี่ยวชาญค่ายกลและช่างตีเหล็กบางคนอยู่ แน่นอนว่าจ้าวเฟิงไม่ได้มาเพื่อขอให้ตีอาวุธเพราะเขาไม่ได้รวยเพียงพอที่จะให้ช่างตีเหล็กสร้างให้
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่?”
ช่างตีเหล็กฝึกหัดรับรู้ถึงตัวตนของเด็กหนุ่มในทันที เมื่อเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวผู้นี้ได้ติดตามผู้เฒ่าจางไปรอบๆ และมีฉายาว่า ‘อัจฉริยะ’
จ้าวเฟิงไม่รู้ว่าเขานั้นมีชื่อเสียงในตำหนักสำนักนอก ตำหนักหญ้าไพร และตำหนักภารกิจสำนักอย่างมาก
เขาเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งและมีอายุเพียง 14-15 ปี ในตำหนักหญ้าไพรและตำหนักภารกิจสำนักนั้น เขาเป็นที่รู้จักในนาม ‘อัจฉริยะ’ และรองหัวหน้าตำหนักทั้งสองได้ทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงตัวเขา
“ข้าต้องการที่ปิดตา” จ้าวเฟิงชี้ไปยังดวงตาซ้ายของเขา
“ที่ปิดตา?”
ช่างตีเหล็กฝึกหัดชะงักไป เขาคิดว่าอีกฝ่ายนั้นจะต้องการอาวุธ แต่ที่ปิดตานั้นไม่ได้สร้างยากเย็นอันใด
จ้าวเฟิงนำเศษผ้าที่พันรอบดวงตาของเขาออกช้าๆ และโคจรสายเลือดสีครามเพื่อปิดกั้นแสงจากมิติ
เมื่อช่างตีเหล็กฝึกหัดเห็นดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่ม เขาก็ตะลึงงัน มันเป็นดวงตาที่มืดหม่น ราวกับว่ามันไร้ซึ่งชีวิต
เขา ‘เข้าใจ’ ในที่สุดว่าเหตุใดจ้าวเฟิงจึงต้องการที่ปิดตา และรู้สึกสงสารอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้
“ศิษย์น้องจ้าว อย่าได้เป็นกังวล ข้าจะพยายามถึงที่สุดที่จะทำที่ปิดตาที่เหมาะสมออกมา” ช่างตีเหล็กฝึกหัดนำที่วัดของเขาออกมาและเริ่มทำงานของเขาในทันที
จากนั้นเขาจึงบอกให้เด็กหนุ่มมาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น จ้าวเฟิงให้ผลึกเริ่มต้นจำลองแก่อีกฝ่ายสองผลึก
ในคืนเดียวกัน จ้าวเฟิงปิดเปลือกตาของเขาลงและสำรวจสายเลือดสีครามรวมทั้งพลังของดวงตาซ้าย
ภายในมิติในดวงตาซ้ายของเขา น้ำวนสีครามได้หมุนวนจากในสู่นอก และเมื่อเด็กหนุ่มพยายามที่จะสัมผัสมันด้วยจิตของเขา เขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายเก่าแก
หลังจากทดสอบเป็นระยะเวลานาน พลังของดวงตาซ้ายของเขาคือ
- 1. สภาวะสุดยอดการมองเห็น สามารถขยายทุกสิ่งได้ในดวงตา และมีพลังในการ ‘มองทะลุ’ ในระดับหนึ่ง
- 2. ปฏิกิริยาตอบโต้ที่รวดเร็วและการคิดคำนวณ
- 3. การคัดลอกและจดจำทุกสิ่งที่เขาเห็น
- 4. จิตสังหาร
แน่นอนว่ามันเป็นเพียงความสามารถที่จ้าวเฟิงรับรู้ นอกจากนั้นมันยังมีความสามารถที่ใช้ออกอย่างอัตโนมัติเช่นความเยือกเย็นอย่างที่สุด
หลังจากเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มก็แข็งแกร่งขึ้นและมีพลังใหม่สองอย่างคือ ‘มองทะลุ’ และ ‘จิตสังหาร’
เขาไม่อาจทำความเข้าใจจิตสังหารได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่เขาเคยอ่านเกี่ยวกับมันมาก่อน ตัวอย่างเช่น ร่างในชุดคลุมในป่าเมฆาคล้อยได้ใช้พลังจิตในการควบคุมจ้าวสัตว์ปีศาจและนำกองทัพสัตว์ปีศาจ
มันเป็นขอบเขตของพลังจิต ไม่ใช่วิชาต่อสู้
สัญชาตญาณบอกจ้าวเฟิงว่ามันมีสิ่งที่มากกว่าพลังจิตที่เขารู้จัก และดูเหมือนว่ามันคือพลังที่แท้จริงของดวงตาซ้ายของเขา…
หลังจากยืนยันความสามารถของดวงตาซ้ายแล้ว จ้าวเฟิงจึงเริ่มโคจรปราณแท้ทั้งสองในร่าง หนึ่งมาจากวิชากำแพงเงิน และถูกเรียกว่า ‘ปราณแท้วายุเงิน’ ปราณแท้นี้แตกต่างเมื่อมันกำเนิดขึ้นจากร่างกายและหลอมรวมเข้าสู่จุดตันเถียนของเขาช้าๆ
แต่ปัญหาคือในนั้นมีปราณแท้ลมหายใจหวนอยู่ก่อนแล้ว
สถานการณ์ของเด็กหนุ่มนั้นพิเศษมาก มันอาจไม่มีผู้ใดอีกแล้วที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันในในร้อยปีที่ผ่านมา
อย่างแรก มีคนไม่มากที่ฝึกฝนวิชาเสริมกายาจนกระทั่งเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ วิชาเสริมกายานั้นมีการพัฒนาที่เชื่องช้าและต้องการพรสวรรค์ ทรัพยากร และความพยายาม นอกจากนั้น สำนักจันทร์สลายไม่ใช่สำนักที่ให้ความสนใจกับการฝึกฝนวิชาเสริมกายานัก
อย่างที่สอง มีคนไม่มากที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ด้วยทั้งร่างกายและวิชาเสริมกายา มันเป็นเพราะเช่นนี้ทำให้มีปราณแท้สองแบบในร่างของจ้าวเฟิง ซึ่งหมายความว่าเขามีปริมาณปราณแท้มากกว่าผู้อื่นในนภาที่หนึ่งของขอบเขตก่อกำเนิดปราณสองเท่า
คนธรรมดานั้นอาจยอมเสียปราณแท้อันหนึ่งไป แต่ปราณแท้ลมหายใจหวนของจ้าวเฟิงนั้นสามารถหลอมรวมได้กับแทบทุกสิ่ง ปราณแท้ลมหายใจหวนนั้นไม่อาจเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ แต่จ้าวเฟิงก็ได้สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นอีกครั้ง!
วิชาลมหายใจหวนของเขาได้ก้าวข้ามขั้นหลอมรวม และเมื่อวิชาได้ก้าวข้ามขั้นหลอมรวม มันก็นับว่าเป็นวิชาใหม่ที่แตกต่าง
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องเสียอันใดไป ข้าสามารถหลอมรวมพวกมันเขาด้วยกันและทำให้พวกมันแข็งแกร่งขึ้นได้”
แสงแล่นวาบผ่านดวงตาของเด็กหนุ่ม ดวงตาซ้ายของเขาเริ่มที่จะคำนวณข้อมูลที่เขามี
ไม่ช้า จ้าวเฟิงก็ได้ข้อสรุป
“เมื่อทั้งสองหลอมรวมเข้าด้วยกันและแข็งแกร่งขึ้น ข้าสามารถเข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่หนึ่งในระยะเวลาสั้นๆ และนภาที่สองย่อมไม่ห่างไกล”
เจ็ดนภาแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ เช่นชื่อของมัน ทุกๆ การทะลวงขั้นนั้นมีความแตกต่างราวสวรรค์กับนรก
ความแตกต่างของแต่ล่ะนภานั้นเหนือกว่าความแตกต่างของแต่ล่ะขั้นในหนทางแห่งผู้ฝึกตน ดังนั้นแล้ว แต่ล่ะนภานั้นจึงยากที่จะทะลวงขั้น และผู้ฝึกตนหลายคนต้องรั้งอยู่ที่นภาที่หนึ่งและสองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณโดยไม่อาจทะลวงขั้นได้ไปตลอดชีวิต
เหตุใดเจ้าเมืองกว่านจวินจึงได้ให้ความสำคัญกับพรสวรรค์มากนัก? มันเป็นเพราะเขามีประสบการณ์ในความแตกต่างของแต่ล่ะนภาแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ! หากพรสวรรค์ของคนผู้หนึ่งไม่แข็งแกร่งเพียงพอ แม้ว่าพวกเขาจะเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ พวกเขาก็ไม่อาจทะลวงขั้นและเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ หลังจากที่เข้าร่วมสำนัก จ้าวเฟิงเข้าใจว่าเจ้าเมืองกว่านจวินนั้นเคยคิดสิ่งใด และเหตุใดเขาจึงคาดหวังในตัวเป่ยโม่ยไว้มากนัก
เมื่อเทียบกับผู้อื่น จ้าวเฟิงนั้นเป็นเพียงกายครึ่งจิตวิญญาณ และเขานั้นนับว่าโชคดีอย่างมากแล้วที่สามารถเป็นหนึ่งในศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวินได้
“ชีวิต… โชค…”
จ้าวเฟิงเริ่มที่จะเชื่อในโชคลาง หากไม่ใช่เจ้าเมืองกว่านจวิน เขาอาจไม่แม้แต่จะรับรู้ถึงการคงอยู่ของสำนัก
เขาอาจเผชิญหน้ากับการท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่า และหากไม่มีเหตุไม่คาดฝันใดๆ พรุ่งนี้เด็กหนุ่มก็จะกลายเป็นศิษย์สายในแล้ว
ศิษย์สายใน นั่นคือสถานที่ที่อัจฉริยะที่แท้จริงต่อสู้กัน
เป่ยโม่ย กวานเฉิน ซุนหยวนเฮา หลิวเยว่เอ๋อร์ หลันเสี่ยวหยวน… เช่นเดียวกับอัจฉริยะคนอื่นๆ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์สายใน
เซี่ยวซุนและอวิ๋นเมิงเซียงต่างกลายเป็นศิษย์สายในในไม่กี่วันก่อนเช่นกัน และการที่จ้าวเฟิงจะกลายเป็นหนึ่งในนั้นก็เกือบจะแน่นอนแล้ว แต่เขายังคงต้องการเข้าร่วมสิ่งอื่นอีก การทดสอบยอดนภา
เขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการทดสอบยอดนภามากนัก แต่เขารู้ว่ามันเป็นสถานที่ที่ชีวิตของคนผู้หนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ และเขาได้ทำข้อตกลงกับผู้เฒ่าจางและผู้เฒ่ากวนไปแล้ว
การทดสอบยอดนภานั้นจัดขึ้นทุกๆ ห้าปี และหากจ้าวเฟิงไม่ได้เข้าร่วม มันย่อมหมายความว่าโชคของเขาในการเดินไปในเส้นทางแห่งการฝึกตนนั้นไม่แข็งแกร่งเพียงพอ และเขาควรที่จะเดินไปในเส้นทางของการทำยาและค่ายกลแทน
ค่ำคืนนั้น
จ้าวเฟิงยังคงฝึกตน
การหลอมรวมปราณแท้ทั้งสองเข้าด้วยกันนั้นเป็นกระบวนการที่เชื่องช้า และเด็กหนุ่มประมาณไว้ว่าเขาต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนเพื่อที่จะหลอมรวมทั้งสองเข้าด้วยกัน ซึ่งมันจะทำให้เขาเข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่หนึ่งแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
ศิษย์สายในธรรมดานั้นต้องการเวลา 1-2 ปีเพื่อที่จะเข้าสู่ระดับนั้น แต่หากมีความช่วยเหลือจากนักปรุงยา ย่อมสามารถย่นระยะเวลาได้อย่างมาก ในขณะที่ปราณแท้ทั้งสองกำลังหลอมรวมกัน จ้าวเฟิงก็เริ่มจัดการวิชาของเขา
วิชากำแพงเงิน: ระดับสิบ – เข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณด้วยร่างกาย
ด้วยเพียงแค่ร่างกายของเขา เขาสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนในนภาที่หนึ่งได้
ฝ่ามือวายุอัสนี: ระดับสาม – นับว่าเป็นขั้นต่ำ
เท่าที่จ้าวเฟิงรู้ มีเพียงคนจำนวนน้อยที่ได้ฝึกวิชามนุษย์ระดับกลางจนเข้าสู่ขั้นต่ำ
กระบวนท่าวายุทั้งสี่: สามกระบวนท่าแรกถูกทำความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ และกระบวนท่าสุดท้ายถูกทำความเข้าใจไปกว่าเจ็ดถึงแปดในสิบส่วน แต่แม้กระนั้น พลังทำลายของกระบวนท่าที่สี่ก็ยังเหนือกว่ากระบวนท่าที่สาม
พลังของมันเพียงอย่างเดียวกระทั่งเหนือกว่าดรรชนีดาราที่หลอมรวมกับกระบวนท่าวายุกรรโชก
ภาพมัจฉามายา: ทำความเข้าใจถึงลักษณ์ที่ห้า
แม้ว่าภาพมัจฉามายาจะไม่มีพลังโจมตี แต่มันช่วยในเรื่องของการเคลื่อนไหวและค่ายกลอย่างมาก
ตังอย่างเช่น เมื่อจ้าวเฟิงหลอมรวมความเข้าใจที่ได้รับจากภาพมัจฉามายาเข้าไป การโจมตีและการเคลื่อนไหวของเขาจะมีภาพมายาที่ลวงหลอกคู่ต่อสู้
ภาพมัจฉามายานั้นเน้นในคำว่ามายา และเด็กหนุ่มเพียงเริ่มที่จะทำความเข้าใจมัน
กระทั่งบัดนี้ จ้าวเฟิงทำเพียงทำความเข้าใจกระบวนท่าเหล่านี้ และวิชาอื่นๆ ต่างเข้าสู่ขั้นสุดยอด แต่ว่าพวกมันอ่อนด้อยเกินกว่าที่จะใช้
นั่นหมายความว่าเด็กหนุ่มนั้นมีเพียงสองวิชาที่เขาฝึกฝน วิชากำแพงเงินและฝ่ามือวายุอัสนี
วิชากำแพงเงินนั้นได้เข้าสู่ระดับสิบจากสิบเอ็ดระดับ และมันไม่ค่อยมีประโยชน์มากนักเมื่อเขาเข้าสู่นภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
มันมีขีดจำกัดของวิชามนุษย์ระดับต่ำธรรมดาอยู่
เป็นฝ่ามือวายุอัสนีที่สามารถฝึกฝนจนเข้าสู่นภาที่หกแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้
จ้าวเฟิงตื่นเช้าในเช้าวันที่สองและไปยังตำหนักภารกิจสำนัก
“ศิษย์น้องจ้าว ที่ปิดตาของเจ้าเสร็จแล้ว”
ช่างตีเหล็กฝึกหัดยื่นที่ปิดตาโลหะขนาดเท่าฝ่ามือให้ ที่ปิดตานั้นประณีตและมีสีเงิน ให้ความรู้สึกเย็นและนุ่มลื่นยามที่จับ
“ที่ปิดตานี้พิเศษ มันสามารถป้องกันการโจมตีจากผู้ฝึกตนในนภาที่หนึ่งแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้”
ช่างตีเหล็กฝึกหัดเอ่ยอธิบายขณะที่จ้าวเฟิงกำลังสวมที่ปิดตานั้น ความรู้สึกเย็นปรากฏขึ้น ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มถูกปกปิดจนหมด
“ดี!” จ้าวเฟิงผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ
ท่ามกลางสายลมที่พัดโชย เรือนผมสีครามพลิ้วไหว เมื่อรวมกับที่ปิดตาสีเงินแล้ว เขาดูชั่วร้ายกว่าสามส่วนและธรรมดาอยู่เจ็ดส่วน
ช่างตีเหล็กฝึกหัดที่อยู่ใกล้ๆ นิ่งไปอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของจ้าวเฟิงนั้นมีความเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้