บทที่ 149 : ถ้ำมารจันทราชาด (2)
ศพโลหิตลายเงินลุกขึ้นช้าๆ จากบ่อน้ำที่เหือดแห้งราวกับคนที่กำลังตื่นนอน ในเวลาเดียวกันก็ได้ปลดปล่อยกลิ่นอายน่าขนลุกออกมา
วิ้งงงง
ทั้งถ้ำเริ่มสั่นสะท้าน ผู้อื่นไม่อาจหายใจหรือกระทั่งคิดจะต่อต้าน
“ให้อภัยข้าด้วย ท่าน!”
หวงอวิ๋นที่อยู่หน้าสุดคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว
“หวงอวิ๋น! เจ้ากล้าคำนับให้แก่บุตรหลานของมารได้อย่างไร!?”
ซู่เหรินและอีกสามคนรู้สึกละอายและเย็นเยียบ
หัวหน้าได้ยอมแพ้แล้ว ซึ่งทำให้พลังของกลุ่มลดลงอย่างมาก
หวงอวิ๋นคุกเข่าบนพื้นอ้อนวอนศพโลหิตลายเงิน และเขาไม่ได้เอ่ยตอบคำสบถสาปแช่งของผู้อื่น
ยืนด้านของผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ นี่คือกฎของหวงอวิ๋น
เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับลัทธิมารจันทราชาด และไม่ว่าจะเป็นสมาชิกชั้นต่ำเพียงใดก็สามารถฆ่าพวกเขาได้ นอกจากนั้น น้ำเสียงและกลิ่นอายของศพโลหิตลายเงินนั้นราวกับว่ามันมีอำนาจสูงในลัทธิ ไม่ว่าผู้ใดที่มีอำนาจมากในลัทธิมารล้วนสามารถทำลายสำนักเช่นสำนักจันทร์สลายได้อย่างง่ายดาย
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า… ไอ้เด็กเวร นายท่านผู้นี้เป็นหนึ่งในหนึ่งร้อยแปดผู้คุ้มครองแห่งตำหนักรองศพโลหิต หากพวกเจ้ายอมแพ้ในยามนี้ พวกเจ้าอาจมีโอกาสเล็กๆ ในการรอดชีวิต”
ใบหน้าโหดเหี้ยมของซิ่งเฉินปรากฏขึ้นอีกครั้งจากมุมหนึ่ง
“หวงอวิ๋นคารวะท่านผู้คุ้มครองและต้องการรับใช้ท่าน”
ความยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวงอวิ๋นพร้อมกับที่เขาคำนับศีรษะของเขาเพื่อแสดงความซื่อสัตย์ มันมีตำหนักทั้งหมด 12 ตำหนักและ 108 ตำหนักรองในลัทธิซึ่งเกือบจะควบคุมได้ทั้งทวีป
ไม่ว่าจะเป็นตำหนักรองใดใน 108 ตำหนักก็สามารถทำลายแคว้นทั้งสิบสามได้ กระทั่งสองแคว้นใหญ่ก็ไม่อาจต่อต้าน เพียงจากสิ่งนี้ก็สามารถแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตำหนักรองแล้ว
และศพโลหิตลายเงินนั้นเป็นผู้คุ้มครองของตำหนักรองศพโลหิต ต่ำกว่าเพียงจ้าวตำหนักรอง ไม่กี่ร้อยปีก่อน กระทั่งจ้าวสำนักจันทร์สลายยังต้องเชื่อฟังเขา
“เราควรจะทำอย่างไรดี?”
ซู่เหรินลนลานและมองไปยังจ้าวเฟิง เขาไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงควรถามมันกับเด็กหนุ่มผมครามตาเดียวผู้นี้
ตั้งแต่เริ่มต้นภารกิจจนกระทั่งยามนี้ มีเพียงจ้าวเฟิงที่ยังคงมีท่าทีสงบเยอกเย็นซึ่งทำให้ผู้อื่นชื่นชมเขา มันเป็นเพราะเขาที่ทำให้ทั้งกลุ่มยังมีชีวิตรอดจนถึงยามนี้และเข้ามายังถ้ำมารจันทราชาดได้
ในบรรดาทั้งห้า มีเพียงจ้าวเฟิงที่ยังคงความสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้
ภายในมิติในดวงตาซ้ายของเขา
กลิ่นอายเก่าแก่ได้หลอมรวมเข้ากับโลหิตสีครามจางและป้องกันแรงกดดันนั้น
เพี้ยะ!
จ้าวเฟิงพลันยื่นมือออกไปตีไหล่ของหลินฟ่าน
หัวใจของหลินฟ่านสั่นสะท้านและรู้สึกได้ถึงปราณแท้ที่คล่องแคล่วและหนาวเย็นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ช่วยป้องกันแรงกดดันนั้น เขามองไปยังจ้าวเฟิงอย่างซาบซึ้งก่อนจะยืนขึ้นช้าๆ เขาได้จัดการความกลัวในหัวใจเขาไปแล้ว
“ลุกขึ้น!”
ซู่เหรินโบกมือของเขาและทำให้เซี่ยวซุนยืนขึ้นเช่นกัน แต่แม้ทั้งเซี่ยวซุนและหลินฟ่านจะลุกขึ้นแล้ว พวกเขาก็ยังไม่อาจหายใจได้ด้วยแรงกดดันจากศพโลหิตลายเงินนั้น
ในทั้งกลุ่มนั้น มีเพียงหวงอวิ๋นที่คุกเข่าอยู่บนพื้นและไม่กล้าที่จะลุกขึ้น ในขณะที่อีกสี่คนได้รับพลังกลับคืนมาบ้างแล้ว
“เจ้าหนู เจ้ากล้าที่จะไม่ค้อมคำนับแก่ท่านผู้คุ้มครองได้อย่างไร!? หรือเป็นว่าพวกเจ้าต้องการตายแล้ว?” ซิ่งเฉินอุทานออกมาเมื่อเห็นว่าทั้งสี่ลุกขึ้น
คว้างงง
ศพโลหิตลายเงินเปิดปากออกเล็กๆ ก่อนที่เสียงหึ่งๆ แผ่วเบาจะปรากฏขึ้น สร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคน
“จากห้า มีเพียงสองที่สามารถมีชีวิตอยู่และเป็นทาสของข้าได้ ผู้อื่นต้องกลายเป็นเครื่องสังเวยโลหิต” น้ำเสียงของศพโลหิตลายเงินดังก้องไปทั่วถ้ำ สีหน้าของทั้งห้าแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
โดยเฉพาะหวงอวิ๋นที่ปรากฏประกายความต้องการฆ่าในแววตาขณะที่เขาโคจรปราณแท้ของเขาไปพร้อมๆ กัน
“ฮี่ฮี่ หัวหน้าหวงอวิ๋น แม้ท่านจะฆ่าเราสามคน อีกสองคนก็ต้องตายอยู่ดี”
น้ำเสียงเยาะเย้ยของจ้าวเฟิงดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างของหวงอวิ๋นแข็งเกร็ง ทว่าเขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะแผนของเขาถูกมองออกหรือเขากำลังเปลี่ยนใจ
“ถูกแล้ว! มารนี่เพียงต้องการแบ่งกำลังของพวกเราออก อย่าได้ถูกหลอกล่อโดยมัน” หลินฟ่านเอ่ยเสียงดัง
เมื่อเผชิญหน้ากับความตาย จ้าวเฟิงนั้นยังคงเยือกเย็นและไม่ได้รับผลกระทบจากศพโลหิตลายเงิน
“ผู้คุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ ข้า เพิ่งจะฟื้นตื่นและต้องการผู้คน เจ้ากล้าตั้งคำถามแก่ข้าได้อย่างไร!? อยากตายเช่นนั้นหรือ?” น้ำเสียงของศพโลหิตลายเงินนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการฆ่าและความเย็นชา
ทุกคนรู้สึกได้ว่าหัวใจของพวกเขาเย็นยะเยือก พวกเขาไม่มีข้อสงสัยใดๆ กับความต้องการฆ่าของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
หัวใจของหวงอวิ๋นเยือกเย็นลงอีกครั้งก่อนเขาจะครุ่นคิดว่า
“หากข้ายอมแพ้ มันยังมีความหวังอยู่ แต่หากไม่ ข้าก็ไม่มีแม้แต่ความหวัง”
“ท่านผู้คุ้มครอง! หากท่านมีพลังจริงๆ เหตุใดจึงไม่จับและฆ่าพวกเราเพียงด้วยการโบกมือเล่า? เหตุใดต้องมากวาจา?” ดวงตาของจ้าวเฟิงส่องประกายระริกขณะเอ่ยอย่างเย็นชา
หลังจากสิ้นคำพูดนั้น ทุกคนก็แข็งค้าง ซู่เหริน หลินฟ่าน และเซี่ยวซุนต่างเป็นคนฉลาดและเขาใจในความหมายของคำพูดนั้น
โดยไม่ต้องสงสัย ศพเบื้องหน้าพวกเขาต้องอ่อนแออย่างมาก หรือไม่เช่นนั้นมันคงไม่ต้องการเครื่องสังเวยโลหิตเพื่อฟื้นฟูพลังของมัน และหากศพนั้นมีพลัง มันย่อมสามารถฆ่าพวกเขาได้โดยการโบกมือเพียงครั้ง
ความจริงนั้น ศพโลหิตลายเงินเพียงแค่สร้างความหวาดกลัวด้วยวายุเพื่อลดทอนพลังของกลุ่มลงไป
“เจ้า…”
ร่างของศพโลหิตลายเงินแข็งเกร็ง สีหน้ากลายเป็นเย็นเยียบ
“นี่เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่มีพลัง!?”
วินาทีที่เอ่ยจบ กลิ่นอายเลือดเย็นก็ได้แผ่พุ่งไปทั่วถ้ำซึ่งทำให้มันสั่นสะท้าน
“ฮะฮะ นี่เป็นเพียงพลังจิตของท่านผู้คุ้มครอง มันไม่ได้หมายความว่าร่างกายของท่านจะแข็งแกร่งมากมาย!”
ดวงตาแหลมคมของจ้าวเฟิงนั้นสงบเยือกเย็น ตั้งแต่ที่เขาเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ดวงตาซ้ายของเขาก็ได้รับพลังจิตมา และศพโลหิตลายเงินนั้นทำเพียงใช้พลังจิตของเขา ซึ่งเพียงเหนือกว่าผู้ฝึกตนในนภาที่เจ็ดทั่วไปเท่านั้น นอกจากนั้น เด็กหนุ่มยังเห็นความอ่อนแอในตัวมัน
กลิ่นอายก่อนหน้านั้นราวกับทำให้ภูเขาสะท้านสะเทือน ทว่ามันเป็นเพียงพลังจิตมายา โชคร้ายที่ดวงตาซ้ายของเขานั้นดูเหมือนจะสามารถต่อต้านภาพลวงตาได้
“นภาที่หนึ่งแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ… เป็นไปได้อย่างไร!?”
ความเหลือเชื่อและลนลานแล่นวูบผ่านแววตาของศพโลหิตลายเงิน
ตามแผนของเขานั้น เขาจะสร้างความหวาดกลัวให้แก่ทั้งหมดด้วยพลังจิตของเขา และทำให้พวกนั้นต่อสู้กันจนเหลือเพียงแค่สองคน
ทว่าเขานั้นไม่ได้คาดว่าจะมีผู้ที่เปลี่ยนแปลงมันได้เช่นจ้าวเฟิง
เด็กหนุ่มผมครามผู้นั้นได้หวาดกลัวและตะลึงในตอนแรก ทว่าหลังจากที่เด็กหนุ่มเยือกเย็นลง จ้าวเฟิงก็ค้นพบช่องว่างของคู่ต่อสู้มากขึ้นเรื่อยๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าก็แค่กำลังเสแสร้งอยู่!”
ซู่เหรินหัวเราะออกมาพร้อมกับที่ผู้อื่นพ่นลมหายใจออก
พวกเขาต่างเป็นคนฉลาดที่สามารถกลายเป็นศิษย์สายในได้ แต่มีเพียงจ้าวเฟิงที่ยังคงความสงบไว้ได้
บัดนี้มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนแล้ว ศพนั้นเพียงเพิ่งฟื้นคืนและบาดเจ็บอย่างมาก ดังนั้นพลังของมันจึงมีจำกัด
อย่างน้อยมันก็ไม่ได้มีพลังที่เหนือกว่าในการฆ่าพวกเขา ดังนั้นทั้งห้าจึงยังสามารถสู้กลับได้ นอกจากหวงอวิ๋นที่ยังไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ความต้องการต่อสู้ก็ได้พลุ่งพล่านขึ้นในร่างของทั้งสี่ พร้อมกับที่จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออก
หากมีเพียงเขา เขาย่อมไม่อาจจัดการซิ่งเฉินและศพโลหิตลายเงินได้ ทว่าหากทั้งกลุ่มร่วมมือกัน มันมีโอกาสสูงกว่าที่จะชนะ
“เจ้าพวกตัวโง่เขลา! เมื่อเจ้าได้ยอมปล่อยโอกาสสุดท้ายในการมีชีวิตรอดไป เช่นนั้นผู้คุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ ข้า จะทำลายพวกเจ้า”
ประกายแสงเย็นเยียบแล่นวูบผ่านดวงตาของศพโลหิตลายเงินพร้อมกับที่ประกายสีม่วงจางจะปรากฏขึ้นจากร่างของเขา มันให้ความรู้สึกน่าสะพรึง
ฟุ่บ!
ศพโลหิตลายเงินพุ่งวูบเข้าหาทั้งห้าพร้อมด้วยซิ่งเฉินที่ตามหลัง
ฉิบหาย!
หวงอวิ๋นม้วนหลังและพยายามที่จะกลับไปยังจ้าวเฟิงและคนอื่นๆ ทว่าเขาได้ดูแคลนความเร็วของศพโลหิตลายเงินไป ความเร็วของมันนั้นเหนือกว่าซิ่งเฉินที่ใกล้เข้าสู่นภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณเสียอีก
ฉัวะ!
กรงเล็บสีเทาได้ตัดผ่านหัวไหล่ของหวงอวิ๋น
“อ๊ากกกก!”
หวงอวิ๋นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขณะที่แขนของเขาร่วงลงบนพื้นพร้อมด้วยเสียง ‘ตุบ!’ ในขณะที่พิษศพได้เข้าสู่ร่างกายของเขา
“ช่วยข้าด้วย!” หวงอวิ๋นกรีดร้องและขอให้จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ ช่วยเหลือ
ทั้งสี่สูดลมหายใจหนาวเหน็บ ศพโลหิตลายเงินนั้นอ่อนแอในบัดนี้ ทว่ามันก็ยังคงแข็งแกร่งอย่างน่าพรั่นพรึง
“ข้าจะไปช่วยหวงอวิ๋นและพยายามรั้งศพนั่นไว้ พวกท่านไปจัดการหัวหน้าตระกูลซิ่น” จ้าวเฟิงดึงธนูบันไดสุวรรณของเขาออกมาก่อนจะเอ่ยบอกทั้งสาม
ซู่เหริน เซี่ยวซุน และหลินฟ่านต่างมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยสายตาล้ำลึกก่อนจะกระโจนไปยังซิ่งเฉินและใช้กระบวนท่าไม้ตายออก
แผนของจ้าวเฟิงนั้นเรียบง่าย มุ่งการโจมตีไปยังซิ่งเฉินและจัดการเขา จากนั้นจึงค่อยให้ความสนใจกับศพโลหิต
แต่ก่อนหน้านั้น ต้องมีใครบางคนรั้งศพนั้นไว้ ว่าจ้าวเฟิงจะสามารถรั้งมันไว้ได้จริงๆ หรือ?
ผึง ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
ลุกธนูสีทองจำนวนหนึ่งพุ่งวาบตรงไปยังร่างของศพโลหิตลายเงิน
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
ลูกธนูทั้งหมดโดนเป้าหมาย ทว่ากลับปรากฏประกายไฟขึ้นแทน ศพโลหิตลายเงินนั้นช้าลงเพียงชั่วขณะจากธนูเหล่านั้น
หัวใจของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน ความแข็งแกร่งของศพนี้ย่อมน่าสะพรึงอย่างมากยามที่มันอยู่ในจุดสูงสุด ในตอนนี้ แม้ว่ามันจะอ่อนแอ แต่ร่างกายของมันก็ยังคงแข็งแกร่ง และมันสามารถทนทานการโจมตีใดๆ จากผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้
“ช่วยข้า…”
หวงอวิ๋นเสียแขนไปข้างหนึ่งและพยายามหลบหนีโดยใช้การโจมตีของจ้าวเฟิงป้องกัน
“หวงอวิ๋น! หากเจ้าทำเพียงแค่หนี เจ้าย่อมตายตก ร่วมมือกับข้าและหยุดเขา!”
จ้าวเฟิงรั้งสายธนูบันไดสุวรรณก่อนจะปลดปล่อยลูกธนูออกไปขณะที่เอ่ยกับอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม หวงอวิ๋นนั้นเป็นยอดฝีมือในนภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณและเขามีอาวุธชั้นมนุษย์ที่ทำให้เขาสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนในนภาที่สามได้ หากเขาร่วมมือกับจ้าวเฟิง บางทีพวกเขาอาจตอบโต้ได้ ทว่าหวงอวิ๋นนั้นหวาดกลัวเกินไปและพุ่งไปยังทางออกของถ้ำ
ฉัวะ!
แสงสีม่วงได้พุ่งวาบพร้อมกับที่ร่างของหวงอวิ๋นถูกผ่าครึ่ง เสียงกรีดร้องเงียบลงในทันที
หัวใจของจ้าวเฟิงเย็นเยียบก่อนที่เด็กหนุ่มจะส่ายศีรษะพร้อมถอนหายใจ ดูเหมือนว่าหวงอวิ๋นนั้นไม่ควรค่าแก่การเชื่อใจจริงๆ