บทที่ 148 : ถ้ำมารจันทราชาด (1)
ในทั้งห้าคนนั้น มีเพียงจ้าวเฟิงที่มีความรู้เกี่ยวกับค่ายกลและได้รับฉายาว่า ‘อัจฉริยะทางค่ายกล’ ในสำนัก
ในตอนนี้ อีกสี่คนได้หันมามองเขา กระทั่งหัวหน้ากลุ่ม หวงอวิ๋น ที่เพิ่งพยายามจะฆ่าจ้าวเฟิงก่อนหน้า ยังเผยรอยยิ้มสว่างไสวราวดวงอาทิตย์
“หากข้าขอความช่วยเหลือจากสำนัก เช่นนั้นข้าอาจไม่ได้รับของดีจากด้านใน”
หวงอวิ๋นมีแผนของตน สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้มีเพียงการให้จ้าวเฟิงสลายค่ายกลและเข้าไปด้านใน เขาจะสามารถทำภารกิจให้สำเร็จและรับรางวัลจากสมบัติด้านในได้
สำหรับสมบัติสามส่วนที่เขาสัญญาว่าจะให้จ้าวเฟิงนั้น มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องขำขัน หวงอวิ๋นหัวเราะเสียงเย็นในใจ จะอย่างไรเป้าหมายแต่แรกของเขาคือการฆ่าเด็กหนุ่มตาเดียว หากเขาสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ในด้านใน มันก็จะเป็นการปาหินหนึ่งก้อนฆ่านกสองตัว!
จ้าวเฟิงยืนอยู่เบื้องหน้าเนินเขาขณะที่เขาจ้องมองมันด้วยดวงตาที่หรี่ลง
“ศิษย์น้องจ้าว ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะทางค่ายกลในสำนัก เจ้ามีความสามารถในการสลายค่ายกลนี้หรือไม่?” หวงอวิ๋นยิ้มเจิดจ้าและเอ่ยอย่างสุภาพ
ซู่เหรินและคนอื่นๆ ต่างมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างคาดหวัง
“หยุดพยายามเข้าใกล้ข้าได้แล้ว!”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกของเด็กหนุ่มผมครามนั้นราวกับไม้ที่ฟาดลงไปบนใบหน้าของหวงอวิ๋น ใบหน้าของชายหนุ่มเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง ทว่าด้วยรางวัลที่ไม่อาจทราบ เขาไม่อาจโกรธเคืองได้
“ศิษย์พี่หวง จ้าวเฟิงกำลังสลายค่ายกลในตอนนี้ เราไม่ควรรบกวนเขา”
ซู่เหรินมองไปยังท่าทีเพ่งสมาธิของเด็กหนุ่มก่อนจะดึงหวงอวิ๋นออกมาด้านข้าง
หวงอวิ๋นรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก หัวใจเต็มไปด้วยเปลวเพลิงเห็นความโกรธเคือง แต่เขาไม่อาจทำอันใดได้
จ้าวเฟิงมีสีหน้าเยาะหยันและไม่ได้นำรางวัลสามส่วนที่หวงอวิ๋นสัญญาไว้มาใส่ใจ
สำหรับค่ายกลปกปิดเบื้องหน้าเขา เด็กหนุ่มก็เผยยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ในด้านของค่ายกลนั้น เขาเหนือกว่าผู้เริ่มต้นไปไกล แต่เขายังคงมีระยะห่างกับผู้เชี่ยวชาญค่ายกลที่มาก่อนอยู่บ้าง
หากเด็กหนุ่มต้องการที่จะสร้างค่ายกลขึ้น เขานั้นคงไม่อาจรวดเร็วได้เทียบเท่ากับผู้เชี่ยวชาญค่ายกลที่แก่กว่า
ทว่าหากเป็นเพียงแค่การ ‘สลาย’ อย่างเดียว เขามีความมั่นใจอย่างแท้จริง!
ดวงตาซ้ายลึกลับของเขาสามารถคัดลอกค่ายกลของสำนักอย่าง ค่ายกลกลั่นจิตวิญญาณในบ่อพันบุปผา กระทั่งช่องว่างของค่ายกลแห่งตำหนักกลวงยังถูกพบโดยเขาซึ่งทำให้เขาได้รับวิชามนุษย์ระดับสูงมา
แต่เด็กหนุ่มแสร้งทำว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย
“ค่ายกลนี้ได้อยู่ที่นี่มาอย่างน้อยสองร้อยปี มันไม่ธรรมดาโดยแท้”
หวงอวิ๋นและคนอื่นๆ ด้านหลังไม่แม้แต่จะกล้าหายใจ กลัวว่าพวกเขาจะทำให้เด็กหนุ่มเบื้องหน้าเสียสมาธิ
หลังจากเวลาผ่านไปนาน จ้าวเฟิงจึงนำธนูบันไดสุวรรณของเขาออกมาและเริ่มยิงธนูออกไปจำนวนมาก
ผึง ฟุ่บ ฟุ่บ
ลูกธนูที่แหลมคมพร้อมด้วยปราณแท้ที่ทรงพลังไปมุ่งตรงไปยังค่ายกล
ทว่าหลังจากที่ลูกธนูจำนวนหนึ่งหายไป ค่ายกลนั้นกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้ามั่นใจหรือว่าทำได้?” หวงอวิ๋นเร่งเร้าอีกฝ่าย
จ้าวเฟิงไม่เอ่ยตอบและยืนนิ่งอยู่ที่จุดเดิม
หลังจากนั้น เนินเขาก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป
วิ้งงง
เนินเขาเบื้องหน้าพวกเขาพลันหายไปและถูกแทนที่ด้วยถ้ำถ้ำหนึ่ง บนถ้ำนั้นปรากฏโลหิตที่มีกลิ่นอายเย็นเยียบและหมองหม่น
ทุกคนจ้องไปยังทางเข้าด้วยความตื่นเต้น
“ค่ายกลสลายแล้ว!”
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจยาวก่อนจะเอ่ยอย่างเย็นชา
“ศิษย์พี่หวง! เหตุใดท่านจึงไม่ขยับเล่า? หรือว่าท่านต้องการให้ผู้อื่นที่อยู่ในนภาที่หนึ่งแห่งขอบเขตปราณเข้าไปก่อนอีก?”
ใบหน้าของหวงอวิ๋นกลายเป็นแดงก่ำและเอ่ยอย่างลังเล
“มีค่ายกลอื่นอยู่ภายในหรือไม่?”
“ฮะฮะ เมื่อซิ่งเฉินอยู่ในนภาที่สอง เขาได้ผ่านค่ายกลนี้เข้าไปโดยบังเอิญและได้รับบางอย่างมากจากมัน หรืออาจเป็นว่าศิษย์พี่หวงไม่มีความมั่นใจในตนเอง?” จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงแผ่ว
หวงอวิ๋นนั้นเจ้าเล่ห์นัก ทว่ากลับมีความกล้าดั่งมุสิก
“หากศิษย์พี่หวงไม่เข้าไปก่อน ข้าเอง” ซู่เหรินนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังและเริ่มที่จะขยับตัว
“ช้าก่อน! ข้าไปเองดีกว่า” หวงอวิ๋นเผยยิ้มมั่นใจก่อนจะเดินเข้าไปในถ้ำ
เซี่ยวซุนและคนอื่นๆ ไม่อาจตอบโต้ได้ทันเวลา ใบหน้าของหวงอวิ๋นเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป จ้าวเฟิงหัวเราะอยู่ในใจ หวงอวิ๋นผู้นี้อาจหวาดกลัวว่าซู่เหรินจะนำสมบัติทั้งหมดไปก่อน และพลังฝึกตนของซู่เหรินก็ใกล้เคียงเขาที่สุด
ในเวลาเดียวกัน หวงอวิ๋นก็ไม่ได้เมินเฉยจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มในนภาที่หนึ่งแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณผู้นี้อาจกระทั่งน่ากลัวกว่า อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดธรรมดาหากพวกเขาฝึกฝนวิชาฝ่ามือวายุอัสนี
ส่วนต้นของถ้ำนั้นเล็กและสามารถเดินได้ทีล่ะคน หลังจากเดินไปสิบหลา ทางเบื้องหน้าจึงค่อยขยายขึ้น
จ้าวเฟิงจดจำไว้ว่ามีร่องรอยของคนผู้อื่นอยู่ที่นี่ ขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปลึกขึ้น กลิ่นของโลหิตและกลิ่นอายเย็นเยียบก็ได้แข็งแกร่งขึ้น กลิ่นอายนั้นทำให้หัวใจของหวงอวิ๋นเต้นเร็วขึ้นด้วยความยินดี หากเขาไม่ผิดพลาด นี่นับเป็นมรดกมาร
มีเพียงคิ้วของจ้าวเฟิงที่ขมวดเข้าหากัน ดวงตาซ้ายของเขากระตุกเร็วขึ้นและรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จากการวิเคราะห์ของเขา โอกาสที่มันจะเป็นมรดกมารนั้นสูงขึ้น แต่มันก็ยังมีอีกสิ่งที่สถานที่แห่งนี้สามารถเป็นได้…
หลังจากเดินไปมากกว่าร้อยหลา ผนังหินก็ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็นสีแดงเลือด
“ดูสิ!”
ซู่เหรินอุทานออกมาจากด้านหน้า ถ้ำนั้นได้ใหญ่โตขึ้นพร้อมกับที่ว่างที่ปรากฏ บนพื้นที่นั้นได้ปรากฏรูปปั้นสูงสิบหลาที่ได้ส่งกลิ่นอายเก่าแก่ออกมา
ศีรษะของรูปปั้นนั้นถูกสลักเป็นรูปจันทร์เสี้ยวบนหน้าผาก ดวงตาทั้งสองเป็นสีแดงโลหิต หลังศีรษะปรากฏปีกคู่หนึ่งที่ยาวนับสิบฟุตราวกับว่ามันสามารถโอบอุ้มสวรรค์ได้
เมื่อเผชิญหน้ากับมารจันทราชาด หัวใจของจ้าวเฟิงก็กระตุก
เมื่อคิดถึงเรือนผมและดวงตาสีครามของเขาแล้ว เขาก็มีความรู้สึก ‘เชื่อมต่อ’
เพียงแค่รูปปั้นนั้นก็ทำให้ทั้งห้าอยากจะค้อมคำนับ
“หรือนี่จะเป็น…”
เซี่ยวซุนจ้องไปยังมารจันทราชาดด้วยความหวาดกลัว จ้าวเฟิงสามารถเห็นหยาดเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลโชกร่างของชายหนุ่มได้ชัดเจน
“ลัทธิมารจันทราชาด!”
หวงอวิ๋นเอ่ยคำออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้าน แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันคือความตื่นเต้นหรือความหวาดกลัว
ลักธิมารจันทราชาด!
หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุกพร้อมกับที่ข้อมูลของชื่อนี้ปรากฏขึ้นในสมองของเขา
หัวหน้าลัทธิของลัทธิมารจันทราชาดนั้นเป็นผู้ที่มีเอกลักษณ์ แน่นอนว่าเขาได้รับบางอย่างจากมรดกโบราณและได้ฝึกฝนในเส้นทางของมาร ซึ่งทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปนี้
ผู้นำลัทธิได้สร้างลัทธิของเขาขึ้นและไม่มีขั้วอำนาจใดสามารถหยุดยั้งมันได้ กระทั่งสำนักจันทร์สลายและสำนักแนวหน้าในทวีปตะวันตกก็ไม่มีทางต่อต้าน
เมื่อลัทธิได้เข้าสู่จุดสูงสุด มันได้กวาดล้างไปทั่วทวีป ในตอนนั้น ทุกขั้วอำนาจได้รวมมือกันและเอาชนะลัทธิมารจันทราชาดได้อย่างฉิวเฉียด ในตอนนั้น เหล่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง และรกระทั่งขอบเขตแก่นก่อกำเนิดยังออกมาเพื่อต่อต้านลัทธิมารจันทราชาด
แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าผู้นำลัทธิได้ตายไปหรือไม่
บางคนเอ่ยว่าเขาได้ตายไปแล้ว บางคนได้เอ่ยว่าเขาถูกผนึก บางคนได้เอ่ยว่าเขาได้ขโมยร่างของคนผู้หนึ่งและเกิดใหม่ เฝ้ารอวันที่เขาจะทะยานขึ้นไปอีกครั้ง
โดยสรุป ลัทธิมารจันทราชาดนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามของทวีป และเขาเป็นศัตรูของทั้งสำนักและแคว้นของมนุษย์อย่างแท้จริง
พวกเขาห่างจากการควบคุมทั้งทวีปเพียงก้าว ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาในตลอดระยะเวลานับล้านปี
เมื่อรู้ว่าสถานที่นี้มีความเกี่ยวข้องกับลัทธิมารจันทราชาด ทั้งกลุ่มก็สะอึก ราวกับว่าพวกเขาได้เข้ามาในบานประตูแห่งความตายแล้ว
“นี่อาจเป็นเพียงคลังสมบัติเล็กๆ ของลัทธิมารจันทราชาด เมื่อลัทธินั้นถูกทำลายไปแล้ว มันไม่ควรมีผู้ใดหลงเหลือ หรือมิเช่นนั้นซิ่งเฉินย่อมไม่อาจออกจากที่นี่ไปได้โดยยังมีชีวิตอยู่” หวงอวิ๋นสูดลมหายใจเย็นและบังคับตนเองให้เยือกเย็นลง
ทั้งห้าพูดคุยกันชั่วครู่ ทว่ายังคงตัดสินใจที่จะเข้าไปให้ลึกกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม ซิ่งเฉินได้ออกมาทั้งมีชีวิต ซึ่งหมายความว่ามันย่อมไม่มีสิ่งคุกคามใดๆ อยู่ที่นี่ หรือมิเช่นนั้นลูกหลานของลัทธิย่อมได้ฆ่าซิ่งเฉินไป แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้ที่มีอำนาจเพียงเล็กน้อย
เมื่อเดินเข้าไป พวกเขาก็รับรู้ถึงสายโลหิตสามสายที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ขึ้น โดยที่อันที่อยู่ตรงกลางใหญ่ที่สุด
“มีรอยเท้าในสายโลหิตตรงกลาง หมายความว่าซิ่งเฉินอาจลงไปในนั้น เราต้องฆ่าเขาเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จก่อนที่จะทำอย่างอื่น”
ทุกคนเห็นด้วยกับคำแนะนำของซู่เหรินและต่างมุ่งตรงไปยังทางตรงกลาง
กลิ่นของเลือดนั้นแข็งแกร่งขึ้นเมื่อพวกเขาลงไปลึกขึ้นอีก และความรู้สึกแย่ก็ชัดเจนขึ้นเช่นกัน
หัวใจของหวงอวิ๋นบีบรัดแน่นขณะที่เขากวาดตามองไปรอบๆ
ในที่สุด สายโลหิตนั้นก็มาถึงจุดสิ้นสุด
มันมีกำลังโลหิตอยู่ใกล้ๆ กับบ่อเลือดที่เหือดแห้ง
“ท่าน… พวกเขาผ่านค่ายกลเข้ามาได้จริงๆ! มันเป็นไปได้อย่างไร!?”
ซิ่งเฉินนั่งอยู่ข้างบ่อโลหิตและมองไปยังกลุ่มของทั้งห้าอย่างหวาดกลัว ชัดเจนว่าเขานั้นไม่เคยคิดว่าทั้งห้าจะสามารถผ่านค่ายกลและเข้ามายังที่มั่นของลัทธิมารจันทราชาดได้
ท่าน?
มีผู้อื่นอยู่ที่นี่?
หัวใจของจ้าวเฟิงและคนอื่นๆ กระตุก
หากมีคนจากลัทธิมารจันทราชาดอยู่ที่นี่จริงๆ พวกเขาคงต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย ทั้งหมดมองตามสายตาของซิ่งเฉิน ความสนใจของพวกเขาได้มุ่งไปยังศพโลหิตลายเงิน
ซู่
ของเหลวที่เหลืออยู่และเลือดสดๆ พลันกระเพื่อม ทำให้หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุก
กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นในเสี้ยววินาทีต่อมาที่เกือบทำให้ทุกคนกระอักเลือด
ตุบ! ตุบ!
หลินฟ่านและเซี่ยวซุนไม่อาจรับแรงกดดันนั้นได้และได้คุกเข่าลงบนพื้น
ภายในร่างกายของจ้าวเฟิง โลหิตสีครามได้หมุนวนและขัดขวางแรงกดดันนั้นไว้
“เจ้าหนูทั้งหลาย เจ้ากล้ารบกวนการพักผ่อนของข้า! วันนี้พวกเจ้าจะเป็นเครื่องสังเวยโลหิตเพื่อฟื้นฟูพลังของข้า…”
น้ำเสียงเย็นยะเยียบชวนขนลุกดังขึ้นและก้องไปทั่วถ้ำนั้น
ศพโลหิตลายเงินค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมด้วยดวงตาสีโลหิตคู่หนึ่ง มันยากที่จะจินตนาการว่าศพได้กลับมามีชีวิต หวงอวิ๋นและคนอื่นๆ จมลึกในความหวาดกลัวและไม่อาจหยุดร่างกายที่สั่นสะท้านได้