Skip to content

King of Gods 147

King Of Gods

บทที่ 147 : พลิกโต๊ะ

“ศิษย์น้องจ้าว!”

“จ้าวเฟิง!”

ทั้งสี่คนตะโกนออกมาด้วยความยินดี

จ้าวเฟิงยืนอยู่เหนือยอดไม้ของต้นไม้ใหญ่และได้ยิงธนูออกมาสองดอกด้วยธนูบันไดสุวรรณของเขาเพื่อฆ่าหนึ่งในรองหัวหน้าตระกูล

เมื่อรองหัวหน้าตระกูลสิ้นลมไปหนึ่งคน ทั้งสี่จึงสามารถหลบหนีได้สำเร็จ

“ไอ้หนู! มิใช่ว่าเจ้าหนีไปแล้วหรือ? แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ถูกพบกัน?”

หัวหน้าตระกูลมีปฏิกิริยาขณะที่เขาจ้องไปยังเด็กหนุ่ม

หวงอวิ๋นและคนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่สงสัยเช่นกัน

จ้าวเฟิงได้เข้ามาในป่าก่อนเพื่อตามล่าศัตรู ทว่าเขาพลันหายไป

“ถูกตรวจพบ? จากไอ้ค่ายกลที่ไม่แม้แต่จะนับได้ว่าเป็นระดับพื้นฐานนี่น่ะเหรอ?”

จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเย็นและโยนกระเป๋าออกไป

จากกระเป๋านั้น ศีรษะโชกเลือดสามศีรษะได้กลิ้งออกมา

“บุตรข้า!”

ซิ่งเฉินรู้สึกโศกเศร้าและกราดเกรี้ยวอย่างมากขณะที่เขาจ้องไปยังจ้าวเฟิงด้วยสายตาที่เสียดลึกไปถึงกระดูก

หวงอวิ๋นมองไปยังสิ่งที่ปรากฏออกจากกระเป๋าก่อนค้นพบว่าศีรษะทั้งสามนั้นคุ้นเคยนัก หนึ่งในนั้นคือหัวหน้าข้ารับใช้ ขณะที่อีกสองคือนายน้อยทั้งสอง

“หากไม่มีผู้ใดควบคุมค่ายกลไร้ค่านี่ มันจะหายไปในไม่ช้า” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเยือกเย็น

เยี่ยม!

หวงอวิ๋นและคนอื่นๆ ต่างยินดีอย่างมาก

เมื่อค่ายกลพังลง พวกเขาจะไม่ถูกจำกัดอีกต่อไปและมีโอกาสที่จะพลิกโต๊ะ

“จ้าวเฟิงผู้นี้นับว่าเป็นอัจฉริยะด้านค่ายกลโดยแท้ ด้วยการเคลื่อนไหวธรรมดาเพียงไม่กี่อย่างกลับสามารถพลิกโต๊ะได้” เซี่ยวซุนและคนอื่นๆ มองหน้ากันพร้อมรู้สึกนับถือเด็กหนุ่มผมสีครามขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เด็กหนุ่มได้หายไปเพื่อทำลายค่ายกลวายุมายามฤตยู และที่สำคัญที่สุด เขาได้จัดการหนึ่งในรองหัวหน้าตระกูล ช่วยเหลือคน

มันอาจกล่าวได้ว่าทุกคนนั้นติดหนี้ชีวิตจ้าวเฟิง

เหล่าผู้ที่มีความขุ่นแค้นกับเด็กหนุ่มเช่นซู่เหริน เซี่ยวซุน และหวงอวิ๋นต่างมีความรู้สึกซับซ้อน

“ไอ้เด็กเหลือขอ! ข้าจะกระชากเจ้าเป็นชิ้นๆ ในการที่เจ้าฆ่าบุตรข้า!”

ซิ่งเฉินคำรามขณะที่กลายเป็นเงาพร่าเลือนสีม่วงดำมุ่งไปยังจ้าวเฟิงที่อยู่ห่างออกไปร้อยหลา

ไม่ดีแล้ว!

หยุดเขา!

สีหน้าของซู่เหริน เซี่ยวซุน และหลินฟ่านต่างแปรเปลี่ยนไปขณะที่พวกเขาพยายามที่จะหยุดยั้งอีกฝ่าย จากมุมมองหนึ่ง จ้าวเฟิงเป็นนักธนูและอัจฉริยะค่ายกลที่ไม่ควรเข้าใกล้ศัตรู

ซิ่งเฉินไม่ได้ไร้สติไปด้วยความเคืองแค้น เขารู้ถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี

ทักษะธนูของจ้าวเฟิงนั้นน่าพรั่นพรึงจนเกินไป และเขาจะถูกจัดการ

เคร้ง เปรี้ยง เปรี้ยง

การโจมตีของซู่เหริน เซี่ยวซุน และหลินฟ่านต่างกระทบเข้าที่ร่างของซิ่งเฉิน ทว่ากลับไม่มีความเสียหายมากมายใดๆ หัวหน้าตระกูลซิ่งนั้นอยู่ในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ และร่างของเขาได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางของศพซึ่งทำให้พลังป้องกันของเขาเหนือชั้นอย่างมาก

ในคนจำนวนน้อยนิดนี้ มีเพียงหัวหน้ากลุ่มหวงอวิ๋นที่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้

“หวงอวิ๋น! หยุดเขา!” หลินฟ่านตะโกนอย่างเร่งร้อน

วิชาเคลื่อนไหวและความเร็วของหวงอวิ๋นล้วนยอดเยี่ยม และในฐานะของยอดฝีมือในนภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ เขาสามารถท้าทายผู้ฝึกตนในนภาที่สามได้ด้วยดาบชั้นมนุษย์ของเขา

เคร้ง!

ดาบของหวงอวิ๋นปะทะเข้าไปที่ร่างของซิ่งเฉิน ทว่าแทนที่จะสามารถหยุดยั้งอีกฝ่ายได้ ร่างของเขากลับถูกกระแทกถอยไปกว่าสิบก้าวแทน

เป็นไปได้อย่างไร?

หลินฟ่านจับจ้องไปยังหวงอวิ๋นอย่างกราดเกรี้ยว ในขณะที่ซุ่เหรินและเซี่ยวซุนจมลึกในห้วงความคิด

“มีความขุ่นแค้นกับศิษย์หลักและผู้อาวุโส… อย่าได้กล่าวโทษข้า…”

สีหน้าของหวงอวิ๋นเย็นชา

การที่อยู่ในสำนักนั้น เขารับรู้ถึงกฎของผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอ เขารู้ว่ากวานเฉินและหยวนจื่อกำลังใช้เขา แต่เขาก็ยังคงเลือกด้านที่ ‘แข็งแกร่ง’กว่า

หยวนจื่อนั้นเป็นศิษย์หลักโดยมีผู้อาวุโสหนุนหลัง ในขณะที่จ้าวเฟิงนั้นไม่มีผู้ใด

อยู่ฝั่งที่แข็งแกร่งกว่า ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ตาม!

นี่เป็นสิ่งที่หวงอวิ๋นสรุปได้หลังจากที่อยู่ในสำนักมานับปี ระหว่างจ้าวเฟิงและศิษย์หลัก เขาย่อมเลือกฝ่ายหลัง แม้ว่ามันจะหมายความว่าเขาเป็นเพียงเบี้ยก็ตาม

ดังนั้น…

ในช่วงเวลาสำคัญ หวงอวิ๋นจึงไม่ได้หยุดยั้งซิ่งเฉินอย่างตั้งใจ

“ฮี่ฮี่” จ้าวเฟิงแย้มยิ้มลึกลับขณะที่ยืนอยู่บนยอดไม้

ฟุ่บ!

ร่างของเขาพลันกลายเป็นเงาพร่าเลือนหลายสายและหลอมรวมเข้ากับความมืดมิดยามค่ำคืน

หลังจากเรียนรู้ภาพมัจฉามายา วิชาเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงก็ได้เข้าสู่ระดับใหม่โดยสิ้นเชิง

อันใดกัน!?

หัวใจของซิ่งเฉินกระตุก เขาไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงนั้นใช้วิชาเคลื่อนไหวอันใด สิ่งที่ดวงตาของเขาเห็นมีเพียงเงาพร่าเลือนหลายสาย และเขาไม่รู้ว่าเงาใดที่เป็นร่างหลอกหรือเงาใดที่เป็นร่างจริง เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะตามเงาไหนไป สิ่งที่เขาทำจึงมีเพียงแค่มอง ‘จ้าวเฟิงจำนวนมาก’ หายไป

“นั่นมันวิชาเคลื่อนไหวอันใดกัน!?” ทั้งกลุ่มตื่นตะลึง

หัวใจของหวงอวิ๋นกลายเป็นเย็นเยียบ เขาเห็นดวงตาผิดหวังและเย็นยะเยือกของจ้าวเฟิงก่อนหน้าที่เด็กหนุ่มจะหายไป

ในช่วงเวลาสำคัญ เด็กหนุ่มผมครามได้ช่วยชีวิตทุกคน ทว่ามันยังคงไม่อาจหยุดความต้องการฆ่าของหวงอวิ๋นได้

จ้าวเฟิงหายไปอีกครั้งทำให้ดวงตาของซิ่งเฉินแดงก่ำพร้อมกับที่เขาเริ่มโจมตีทั้งสี่อย่างกราดเกรี้ยว

พลังของค่ายกลวายุมายามฤตยูไม่อาจหายไปได้ในระยะเวลาสั้นๆ และการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของซิ่งเฉินทำให้หวงอวิ๋นเปิดช่องว่าง

“จ้าวเฟิง! เจ้ากล้าหนีไปได้อย่างไร!? หลังจากภารกิจนี้ ข้าจะรายงานให้ผู้อาวุโสไล่เจ้าออกจากสำนัก!”

หวงอวิ๋นโคจรปราณแท้ของเขาขณะที่เขาเอ่ยข่มขู่

หลังจากที่หนึ่งในรองหัวหน้าตระกูลตายลง ทั้งสี่จึงสามารถต่อกรกับอีกสองคนที่เหลือได้ เมื่อเวลาหมดลงและค่ายกลสลายไป พวกเขาจะชนะ

ทว่าเวลาได้ผ่านไป และค่ายกลยังไม่มีทีท่าจะสลายลง

พลังชีวิตของทั้งสี่ยังคงถูกกัดกร่อนและปราณแท้ของพวกเขาได้อ่อนแอลง

“เกิดอันใดขึ้น!? เหตุใดพลังของค่ายกลจึงไม่หายไป?”

ลมหายใจของหวงอวิ๋นถี่กระชั้นขึ้นอย่างมากขณะที่เหงื่อเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนศีรษะของเขา เขาแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม และเพราะเช่นนั้นซิ่งเฉินจึงเพ่งความสนใจมาที่เขาเป็นหลัก

“ฮี่ฮี่ แม้ว่าค่ายกลจะไม่มีผู้ใดคอยควบคุม มันก็จะไม่สลายไปในระยะเวลาสั้นๆ”

เด็กหนุ่มผู้หนึ่งพึมพำกับตนเองในส่วนลึกของป่า

เวลาครึ่งต้มน้ำชาให้หลัง

หวงอวิ๋นได้รับบาดเจ็บและสามารถใช้พลังได้เพียงหกถึงเจ็ดในสิบส่วน ในขณะที่คนอื่นอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจนในบางครั้ง ทว่ากลับไม่มีอันตรายใหญ่หลวง

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

จากส่วนลึกของป่า ลูกธนูจะพุ่งออกมาบางครั้งเพื่อช่วยเหลือหลินฟ่านและคนอื่นๆ

“ดูเหมือนว่าศิษย์น้องจ้าวจะหลบซ่อนอยู่ในป่าเพื่อสนับสนุนพวกเรา”

หลินฟ่านรู้สึกซาบซึ้งและยินดีอย่างมาก ซู่เหรินและเซี่ยวซุนต่างได้รับการสนับสนุนบ้างบางครั้งและรู้สึกซาบซึ้งเช่นกัน

มีเพียงหวงอวิ๋นที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากจ้าวเฟิง แม้ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์เฉียดตาย จ้าวเฟิงก็ไม่ได้ทำอันใด

“จ้าวเฟิง! ไอ้เด็กเหลือขอไร้ยางอาย! เจ้าต้องการจะฆ่าข้าหรือ? เมื่อข้ากลับไปยังสำนัก ข้าจะรายงานไปยังตำหนักกฎเกณฑ์!” หวงอวิ๋นคำราม

ตำหนักกฎเกณฑ์!

เมื่อได้ยินชื่อนั้น หัวใจของเซี่ยวซุนและคนอื่นๆ ก็บีบรัดแน่น

ในสำนักจันทร์สลาย ตำหนักกฎเกณฑ์นั้นแข็งแกร่งที่สุด มันได้รับอำนาจที่เหนือกว่าโดยสิ้นเชิงและเป็นฝันร้ายของผู้ที่ไม่เชื่อฟังสำนัก

“ไอหย๋า คำพูดของศิษย์พี่หวงนับว่าไม่ถูก ข้าสามารถปกป้องได้เพียงแค่สามคนเช่นเดียวกับที่ศิษย์พี่หวงพยายามถึงที่สุดทว่าไม่อาจปกป้องข้าได้ก่อนหน้า” น้ำเสียงของจ้าวเฟิงดังขึ้น

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวงอวิ๋นก็ชะงักไป เขาได้ปล่อยให้ซิ่งเฉินหลุดรอดไปก่อนหน้า และในตอนนี้จ้าวเฟิงอาจจงใจไม่ช่วยเหลือเขา

หวงอวิ๋นไร้คำพูดและร้อนรนด้วยความลนลานอย่างแท้จริง อีกด้านหนึ่ง หัวหน้าตระกูลซิ่งหัวเราะ โชคดีที่คนกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน หรือมิเช่นนั้นมันย่อมเป็นเรื่องยากลำบาก…

ในขณะที่เขาคิดเช่นนั้น สถานการณ์ก็ได้เปลี่ยนไป

ฟุ่บ

ธนูสีทองจำนวนหนึ่งแล่นวูบฝ่าอากาศและมุ่งตรงไปยังร่างของรองหัวหน้าตระกูลและซิ่งเฉิน

ฉึกก!

ขาของรองหัวหน้าตระกูลถูกยิงโดยธนูและล้มลงพอดีกับที่การโจมตีของซุ่เหรินและคนอื่นๆ ปะทะเข้าที่ร่างของเขา

ทักษะธนูของจ้าวเฟิงนั้นเหนือกว่าที่จินตนาการไปไกลนัก ถึงจุดที่ว่าจุดที่ลูกธนูได้แทงลงไปในขาของรองหัวหน้าตระกูลนั้นคือจุดชีพจร

ฟุ่บบบบ

ลูกธนูดอกหนึ่งได้พุ่งเฉียดเปลือกตาของซิ่งเฉินไปจนทำให้เจ้าตัวต้องเหงื่อแตกพลั่ก

ในตอนนั้นเอง จ้าวเฟิงได้ทำให้ศัตรูเปิดช่องว่าง

ฉัวะ!

ร่างร่างหนึ่งกระโจนลงไป

ฝ่ามือวายุอัสนี!

ทั้งรองหัวหน้าตระกูลและซิ่งเฉินรู้สึกได้ถึงเสียงฟ้าคำรามในใบหู

เปรี้ยง!

เพราะข้าของรองหัวหน้าตระกูลได้รับบาดเจ็บ การเคลื่อนไหวของเขาจึงเชื่องช้าลงและฝ่ามือนั้นได้ปะทะเข้าที่หลังศีรษะของเขาโดยตรง

โพล๊ะ!

รองหัวหน้าตระกูลไม่แม้แต่จะมีโอกาสกรีดร้องก่อนที่ศีรษะของเขาจะระเบิดเป็นซาก

เมื่อร่างของเขาล้มลงบนพื้นสิ้นชีพ คนอื่นยังคงได้ยินเสียงของฟ้าคำรามอยู่

พลังของฝ่ามือนั้นกระทั่งทำให้สีหน้าของซิ่งเฉินแปรเปลี่ยนไป

ฟิ้วว

ในเวลาเดียวกัน โลหิตสีม่วงจางที่ครอบคลุมพื้นที่ไว้ก็ได้ร่วงลงบนพื้นพร้อมกับที่พายุหมุนได้สลายไป

“ค่ายกลสลายแล้ว! ทุกคนร่วมมือกันและฆ่าซิ่งเฉิน!” หวงอวิ๋นถอนหายใจก่อนจะตะโกนออกมา

ความต้องการต่อสู้ของทั้งห้าพลุ่งพล่านขณะที่พวกเขาทะยานไปยังร่างของซิ่งเฉิน

หนี!

ซิ่งเฉินลนลานและรู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้เพื่อพลิกโต๊ะกลับ

หากไม่มีค่ายกลจำกัดพลังของพวกเขาไว้ พลังของทั้งห้ามีเพียงแต่จะเพิ่มขึ้น ในฐานะของผู้ฝึกตนในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ความเร็วของซิ่งเฉินจึงมากมาย และมีเพียงหวงอวิ๋นและจ้าวเฟิงที่สามารถตามได้ทัน

หวงอวิ๋นประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าจ้าวเฟิงที่อยู่ในนภาที่หนึ่งจะรวดเร็วเพียงนี้ ทุกคนควรจะรู้ว่าความเร็วของหวงอวิ๋นนั้นเป็นหนึ่งในสุดยอดของศิษย์ในนภาที่สอง

ฟุ่บ! เคร้ง!

ในตอนนั้นเอง ร่างของซิ่งเฉินก็ได้พุ่งวูบและหายไปในเนินเขา

ทั้งกลุ่มมองด้วยดวงตาเบิกกว้างเมื่อเป้าหมายของพวกเขาหายไปในอากาศ

“มันมีค่ายกลปกปิดบางอย่างเอาไว้ บางทีอาจเป็นความลับของซิ่งเฉิน” ดวงตาของหวงอวิ๋นส่องประกายระริกด้วยความตื่นเต้น

ประกายแสงแล่นวาบในดวงตาของจ้าวเฟิงเมื่อเขาเข้าใจบางอย่าง

จากรายงานที่พวกเขาได้รับ ซิ่งเฉินนั้นอยู่เพียงแค่นภาที่สอง เทียบเท่าได้กับเจ้าเมืองกว่านจวิน และเขายังไม่ได้ทะลวงขั้นเป็นเวลานาน

เช่นนั้น เหตุใดเขาจึงสามารถเข้าสู่นภาที่สามได้อย่างรวดเร็วและเรียนรู้วิชามาร?

โรคติดต่อที่ครอบคลุมตระกูลซิ่นนั้นมาจากที่ใดกัน?

หวงอวิ๋นทำได้เพียงคาดเดาว่ามันมี ‘สมบัติมาร’ อยู่ในนั้น

ซู่เหรินและอีกสองคนมาถึงยังหุบเขาเช่นกันพร้อมกับเริ่มคาดเดาว่ามีสิ่งใดอยู่ด้านใน

คำตอบนั้นอยู่เบื้องหน้าพวกเขา

“ศิษย์น้องจ้าว ข้าจะให้ของที่อยู่ด้านในสามส่วนแก่เจ้าหากเจ้าสลายค่ายกลนี้”

หวงอวิ๋นฝืนยิ้มออกมาขณะที่เขาเอ่ยกับเด็กหนุ่มผมสีครามตาเดียวข้างกาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!